เล่ม 1 ตอนที่ 337-1 เจาหมิงหวนคืน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 337-1 เจาหมิงหวนคืน

เดือนหกอากาศกำลังดี สายลมจากทะเลสาบพัดมาเป็นระลอก เย็นฉ่ำทำให้คนรู้สึกสบาย เหนือทะเลสาบงามริ้วคลื่นเขียวครามกระเพื่อมเป็นระลอก เรือวิจิตรงดงามลำหนึ่งแล่นผ่านมา ประตูหน้าต่างของเรือล้วนโอ่อ่า สายลมเหนือทะเลสาบพาไอน้ำเย็นชื่นใจพัดมาอย่างเงียบๆ คุณชายเยาว์วัยรูปงามกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งประธาน สองมือดีดสายพิณอย่างละเมียดละไม บทเพลงเศร้าสร้อยโบยบินออกมาจากปลายนิ้วของเขา

ฝั่งตรงข้ามของเขามีสตรีรูปโฉมงามลออนางหนึ่งนั่งอยู่ หญิงสาวดูเหมือนจะเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ นางประทินโฉมงามสะคราญ กลางหว่างคิ้วแต้มจุดแดงหนึ่งจุด ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาฉ่ำวาวอ่อนหวาน มีเสน่ห์อย่างที่ผู้คนยากจะต้านทาน

ระหว่างที่คุณชายบรรเลงพิณ หญิงสาวเอนกายพิงผนังมองเขาอย่างเกียจคร้าน เมื่อเพลงจบลง นางจึงยื่นมืออกมาเช็ดเหงื่อบนขมับให้ชายหนุ่ม

เริ่มแรกคุณชายเอาแต่มองนางด้วยสีหน้าขัดเขิน ทว่าเมื่อปลายนิ้วของนางเหมือนจะสัมผัสถูกใบหน้าเขาอย่างไม่ตั้งใจจนนางตกใจคิดจะถอยหลบ เขากลับคว้ามือนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนางไว้ แล้วมองมาอย่างหลงใหล “เม่ยเหนียง เจ้างามจริงๆ”

หญิงสาวยิ้มเอียงอาย นางคิดจะชักมือกลับ แต่ถูกพละกำลังมากมายของเขายื้อเอาไว้ จากนั้นทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา นางทำหน้าตกใจ ใช้กำปั้นบอบบางทุบหน้าอกเขา ดวงหน้างามกระเง้ากระงอด “ไม่กลัวทับพิณที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษของท่านพังหรือไร”

คุณชายตอบเสียงอ่อนโยน “พังเพื่อเม่ยเหนียง ก็นับเป็นวาสนาของมันแล้ว”

หญิงสาวยื่นปลายนิ้วขาวผ่องดุจลำต้นหอมออกมาแตะริมฝีปากของเขา “พวกบุรุษเช่นท่านก็รู้จักแต่ปะเหลาะหลอกล่อให้หญิงสาวเบิกบานใจ”

ชายหนุ่มอุ้มนางขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างลุ่มหลง “ข้ามิได้หลอกเจ้า ข้าจริงใจ เม่ยเหนียง ข้าสู่ขอเจ้าเป็นภรรยาดีหรือไม่”

แขนนุ่มนิ่มของหญิงสาวคล้องคอเขาพลางมองด้วยแววตารักใคร่ลึกซึ้งแต่แฝงความกังวล “ท่านจะสู่ขอข้าจริงหรือ ข้าเป็นเพียงหญิงสาวกำพร้าในยุทธภพคนหนึ่ง ท่านสู่ขอข้า บิดามารดาของท่านจะยอมหรือ”

คุณชายตอบว่า “ข้าจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาเอง”

หญิงสาวแค่นเสียงดังเหอะ “ภรรยาของท่านเล่า สามภรรยาสี่อนุของท่านเล่า ข้ามิปรารถนาจะปรนนิบัติสามีร่วมกับสตรีนางอื่น”

คุณชายชูนิ้วกล่าวว่า “เม่ยเหนียงโปรดวางใจ นับตั้งแต่พานพบเจ้า ข้าก็ไม่เคยแตะต้องพวกนางอีก ข้ามีเจ้าก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้ข้าจะรักเจ้าเพียงผู้เดียว”

ดวงหน้างามสะคราญของหญิงสาวแย้มรอยยิ้ม ซุกกายอิงแอบในอ้อมแขนของเขาอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นกลอกตาอย่างดูแคลนในจุดที่เขามองไม่เห็น

คุณชายก้มหน้าลงมาหมายจะหอมแก้มนวล ทว่าทันใดนั้นเองเรือน้อยลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนอย่างแรง เรือลำงามโคลงเคลง พิณหล่นร่วง น้ำชาสาดกระจาย ทั้งสองคนต่างอยากจะดูว่าผู้ใดกันไม่มีตาจนแล่นเรือมาชนเรือของพวกเขา ไหนเลยจะคิดว่ากลับมองเห็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำหัวเกรียนท่าทางโหดเหี้ยมคนหนึ่งถือดาบเล่มโตกระโดดข้ามเรือมา

แววตาของหญิงสาวเผยความลนลานออกมาวูบหนึ่ง นางคว้าพัดฉลุลายบนโต๊ะขึ้นมากางปิดบังใบหน้าของตนเอง

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับจำนางได้อย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ สาเหตุสำคัญก็คือพัดเล่มนั้น นอกจากนางก็ไม่มีผู้ใดใช้อีกแล้ว บุรุษร่างกำยำคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เฟิ่งชิงเกอ! เจ้าไปเที่ยวยั่วยวนบุรุษข้างนอกลับหลังข้าอีกแล้ว! เจ้ามีชีวิตอยู่จนเบื่อหน่ายแล้วใช่หรือไม่!”

คุณชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้าคือผู้ใด เหตุใดจึงมาก่อเรื่องบนเรือของข้า เด็กๆ! ลากเขาออกไป!”

องครักษ์หลายคนวิ่งปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันแตะถูกเส้นผมสักเส้นของบุรุษหนุ่มร่างกำยำก็ถูกบุรุษร่างกำยำโยนลงไปในทะเลสาบจนหมด

เฟิ่งชิงเกอลุกขึ้นมาจากอ้อมแขนของคุณชายอย่างเงียบๆ แล้วขยับตัวไปที่ประตูข้าง

“เม่ยเหนียง เจ้าอย่าไป!” คุณชายคว้ามือของเฟิ่งชิงเกอ

บุรุษหนุ่มเห็นเข้าก็ตาแดงก่ำ เงื้อมือขึ้นมาซัดหนึ่งฝ่ามือส่งคุณชายลงไปในน้ำ

เฟิ่งชิงเกอเห็นท่าไม่ดี ยกเท้าได้ก็สับขาวิ่ง!

วิชายั่วสวาทของเฟิ่งชิงเกอนับว่าล้ำเลิศ แต่วรยุทธ์ไม่นับว่ายอดเยี่ยมเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับพระหนุ่มฝีมือแกร่งกล้าผู้บุกฝ่าค่ายสิบแปดอรหันต์ของวัดเส้าหลินได้สำเร็จมาแล้วคนหนึ่ง นางสู้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หากพูดถึงวิชาตัวเบาก็เกรงว่าคงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน

บุรุษหนุ่มไล่ตามมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเกอกระโดดเหินหนีอย่างหวาดผวา หากรู้ว่าคนที่ออกบวชจะตามตื๊อได้ขนาดนี้ ตอนแรกก็ไม่น่ามือบอนวิ่งไปยั่วยวนผู้อื่นให้ศีลแตกเลยจริงๆ ครานี้เป็นอย่างไรเล่า เขากลับมาเป็นฆราวาสตามตื๊อนางแล้ว บุรุษของเฟิ่งชิงเกอไม่เคยอยู่พ้นหนึ่งเดือน แต่พระหนุ่มรูปนี้ได้อยู่ข้างกายนางมานานเกินครึ่งปี หากปล่อยให้เขาอยู่ต่อไป ชื่อเสียงเทพธิดาเม่ยอินของนางคงจบสิ้นกันพอดี!

ตอนที่เฟิ่งชิงเกอเกือบจะถูกบุรุษหนุ่มคว้าตัวไว้ได้นั่นเอง คนของพรรคโลหิตพิฆาตก็ปรากฏตัวขึ้น

เฟิ่งชิงเกอเหมือนเห็นฟางช่วยชีวิต นางกระโดดขึ้นเรือของอีกฝ่ายทันควัน “เร็วเข้าๆ! รีบไปเร็วๆ เลย!”

คนของพรรคโลหิตพิฆาตจึงพาตัวเฟิ่งชิงเกอมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เฟิ่งชิงเกอยังไม่ทราบว่าตนเองจะถูกพาตัวไปทำอะไร หากรู้ น่ากลัวว่านางคงยอมถูกพระหนุ่มตามฆ่าเสียดีกว่า

เฉียวเวยนัดพบคนที่เรือนสี่ประสานบนถนนชิ่งเฟิง หลังจากพรรคโลหิตพิฆาตรับตัวเฟิ่งชิงเกอมาแล้วจึงนำคนไปส่งที่นั่นทันที แล้วส่งสัญญาณลับให้เฉียวเวย ตอนแรกเฉียวเวยไม่ทราบว่าเฟิ่งชิงเกออยู่ที่เมืองหลวง นางยังคิดว่าต้องเสียเวลาสักหลายวันเสียอีก คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียงวันเดียวก็หาคนพบแล้ว เช่นนี้ก็ดี หาเฟิ่งชิงเกอพบเร็วหน่อยก็จัดการแม่เลี้ยงสาวได้เร็วหน่อย

ได้ยินว่าเฉียวเวยจะออกไปข้างนอก ใต้เท้าเจ้าสำนักก็โวยวายว่าจะไปด้วย เขาย่อมไม่ยอมไปคนเดียวตามลำพัง แต่ไปเกลี้ยกล่อมฟู่เสวี่ยเยียนให้ไปด้วยกัน ด้วเยหตุนี้หลังอาหารเย็นพวกเขาทั้งหมดจึงออกเดินทางอย่างเอิกเกริก

เรือนสี่ประสานไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว ลี่ว์จูต้อนรับพวกเขาอย่างดีอกดีใจ นางชงชา ยกขนมมาให้ จากนั้นก็ไปช่วยพ่อครัวหยางเตรียมอาหารมื้อดึกที่ห้องครัว

เฉียวเวยมาพบเฟิ่งชิงเกอที่เรือนตะวันออก เฟิ่งชิงเกอสวมกระโปรงคาดเอวสีชมพู จัดแต่งเรือนผมเฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน มองอายุจริงของนางไม่ออกอย่างสิ้นเชิง เฉียวเวยคิดว่าต่อให้ผ่านไปอีกแปดปีสิบปี ใบหน้าของนางก็คงจะไม่เปลี่ยนไปมากเท่าใดนัก นี่เรียกได้ว่าเป็นรูปโฉมที่สวรรค์ประทานมาให้อย่างแท้จริง

ระหว่างทางที่มาเฉียวเวยแนะนำเฟิ่งชิงเกอให้ทุกคนฟังแล้ว พวกเขาทราบว่านางคือลูกน้องของจีหมิงซิว คนในยุทธภพเรียกขานนางว่าเทพธิดาเม่ยอิน แต่เฟิ่งชิงเกอยังไม่รู้จักพวกเขา สัญชาตญาณของผู้หญิงย่อมไม่สนใจพวกเดียวกัน เฟิ่งชิงเกอจึงเมินผ่านฟู่เสวี่ยเยียนตามสัญชาตญาณ แล้วหัวเราะคิกคักเดินไปตรงหน้าใต้เท้าเจ้าสำนัก ยิ้มหวานหยดย้อย ดวงตาทอประกายลุ่มลึก “นี่ผู้ใดกันเล่า”

ไม่รอให้ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ ฟู่เสวี่ยเยียนก็บีบคอนางทันที!

วิชายั่วสวาทที่เฟิ่งชิงเกอเพิ่งเริ่มใช้ออกมาถูกเก็บกลับไปทันที แรงสะท้อนกลับกระแทกภายในร่างของนางจนเส้นเอ็นเจ็บแปลบ หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา

เฉียวเวยรีบบอกว่า “แม่นางฟู่ เย็นไว้ เย็นไว้ คนของเราเอง”

ฟู่เสวี่ยเยียนปล่อยนางอย่างเย็นชา

เฟิ่งชิงเกอสูดลมหายใจได้ก็สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าปอดดังเฮือกแล้วไอโขลกๆ เมื่อครู่ประมาทไปแล้วจริงๆ คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแจกันดอกไม้ที่มีดีเพียงรูปโฉมคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือในด้านวรยุทธ์ที่ไม่เผยความสามารถ แม้แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอี้เชียนอินก็เกรงว่าจะรวดเร็วและทรงพลังได้ไม่เท่านี้

“นางเป็นผู้ใดกัน” เฟิ่งชิงเกอเดินมาข้างกายเฉียวเวยแล้วบ่นเสียงเบา

เฉียวเวยบอกเบาๆ “นางคือว่าที่ฮูหยินน้อยรองของตระกูลจี เจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าไปหาเรื่องนาง แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับหมิงเยี่ยด้วย”

“เขาก็คือหมิงเยี่ยหรือ” เฟิ่งชิงเกอหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก เรื่องที่จีหมิงซิวได้น้องชายกลับมา นางก็เคยได้ฟังมาจากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงอยู่บ้าง เพียงแต่ยังไม่เคยพบหน้าด้วยตนเองเท่นั้น

เฉียวเวยพยักหน้า แล้วชี้โต๊ะกับเก้าอี้ “นั่งกันก่อนเถิด เข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้นอย่าได้เก็บมาใส่ใจ รีบจัดการงานสำคัญให้ลุล่วงก่อนเดีกว่า”

เฟิ่งชิงเกอนั่งลง ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งตรงข้ามกับนาง ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งติดกับฟู่เสวี่ยเยียน เขาหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ฟู่เสวี่ยเยียน แต่ฟู่เสวี่ยเยียนหันหน้าหนีอย่างเย็นชา

เฉียวเวยออกคำสั่ง “ซิ่วฉิน ปิดประตู”

“เจ้าค่ะ” ซิ่วฉินปิดประตูห้อง

เฉียวเวยรินชาให้ทุกคน เฟิ่งชิงเกอนับได้ว่าเป็นลูกน้องที่ขายชีวิตให้จีหมิงซิวแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังนาง เฉียวเวยเล่าเรื่องที่ฟู่เสวี่ยเยียนเป็นคนเยี่ยหลัวให้นางฟังอย่างสั้นกระชับ แน่นอนว่าติดที่ใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่ด้วย เฉียวเวยจึงเว้นเรื่องระหว่างฟู่เสวี่ยเยียนกับว่าที่ราชาเยี่ยหลัวไป

เฟิ่งชิงเกอฟังจบก็รู้สึกว่าตนเองตกลงมายังก้นหลุมลึกขนาดมโหฬาร “ท่านให้พรรคโลหิตพิฆาตไปตามหาข้าเพื่อให้ข้าช่วยท่านจัดการเผ่าเยี่ยหลัวหรือ”

เผ่าเยี่ยหลัวแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น นางจะจัดการไหวได้อย่างไรเล่า

เฉียวเวยตอบว่า “เผ่าเยี่ยหลัว พวกข้าจะเป็นคนจัดการเอง เจ้าเพียงแต่ต้องจัดการเรื่องเละเทะพวกนั้นในตระกุลจีให้เรียบร้อยก็พอแล้ว”

เฟิ่งชิงเกอพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ขอเพียงไม่ต้องต่อกรกับคนเยี่ยหลัว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวแล้ว

“เรื่องเละเทะอะไรบ้างเล่า” นางถามขึ้นมา

เฉียวเวยจึงเล่าเรื่องที่สวินหลันกลับมาที่จวนให้นางฟัง

เฟิ่งชิงเกอตาโตอ้าปากค้าง ทำเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ พ่อสามีของท่านโง่ใช่หรือไม่ สตรีใจอสรพิษเช่นนี้มีสิ่งใดให้สงสาร ยังจะวิ่งไปหานางจนทำนางท้องป่องอีก เขากลัวว่าลูกชายสองคนของเขายังห่างเหินกับเขาไม่พอใช่หรือไม่

เฟิ่งชิงเกอหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก นางอยากรู้นักว่าในใจเจ้าหนูคนนี้รู้สึกอย่างไร

ใต้เท้าเจ้าสำนักเท้าคางแค่นเสียงหยันออกมาคำหนึ่ง “ไม่ต้องมองข้า ข้าไม่ใช่คนโง่เขลาตระกูลจี!”

เฟิ่งชิงเกอเบ้ปาก แล้วหันไปมองเฉียวเวยอีกหน “ท่านอยากให้ข้าช่วยท่านสังหารสวินหลันหรือ”

เฉียวเวยตอบว่า “ยังมีปริศนาหลายอย่างที่ยังไม่กระจ่าง หากจะสังหารนางตอนนี้คงเร็วเกินไป”

“ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร” เฟิ่งชิงเกอถาม

เฉียวเวยไม่ตอบคำถามของนาง แต่ยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์มานานแล้วกระมัง”

เฟิ่งชิงเกอกอดแขนตนเองอย่างระแวง “ท่านคิดจะให้ข้าปลอมเป็นผู้ใด”

“ปลอมเป็นนาง!” ใต้เท้าเจ้าสำนักจับมือของฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ทำเช่นนี้คนที่ถูกทำร้ายก็คือเจ้า ไม่ใช่นางแล้ว!”

เฟิ่งชิงเกอพองขน “ท่านต้องไร้มโนธรรมถึงเพียงนี้หรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเสมองฟ้า “เจ้าเป็นวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ”

แล้วยอดดวงใจของท่านไม่เป็นวรยุทธ์หรือไร ท่านไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ข้าเกือบจะถูกนางบีบคอตายในกระบวนท่าเดียวอยู่แล้ว

สายตาของเฟิ่งชิงเกอกวาดผ่านหน้าท้องของฟู่เสวี่ยเยียน มือของฟู่เสวี่ยเยียนมักจะวางไว้ตรงนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ นางเข้าใจความหมายทันที นางกดโทสะตอบอย่างจนปัญญา “อีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยตั้งท้อง ข้ากลัวว่า…”

สายตาเย็นยะเยือกของฟู่เสวี่ยเยียนตวัดมาทันใด!

เฉียวเวยยัดขนมกุหลาบชิ้นหนึ่งใส่ปากนาง “ขนมนี่รสชาติไม่เลวเลยนะ!”

เฟิ่งชิงเกออมขนมกุหลาบ มองฟู่เสวี่ยเยียนที มองเฉียวเวยที แล้วหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่ทำหน้ามึนงง จากนั้นนางก็หัวเราะ

ใต้เท้าเจ้าสำนักรู้สึกสันหลังเย็นวาบอย่างไม่รู้สาเหตุ!

เฟิ่งชิงเกอกินขนมอย่างอ้อยอิ่ง นางวางท่าสง่างามถามว่า “ในเมื่อไม่คิดจะให้ข้าปลอมเป็นสตรีเยี่ยหลัวผู้นี้ ถ้าเช่นนั้นต้องการให้ข้าปลอมเป็นแม่เลี้ยงสาวผู้นั้นของท่านหรือ”

เฉียวเวยส่ายหน้า

เฟิ่งชิงเกอถาม “ถ้าเช่นนั้นท่านจะให้ข้าปลอมเป็นผู้ใดเล่า”

เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ “ปลอมเป็นคนผู้หนึ่งที่ต่อให้นางมีป้ายทองอาญาสิทธิ์ในมือ ชั่วชีวิตนี้ก็มิอาจเอาชนะได้”

วันนี้แสงตะวันสว่างไสว กู้มามานำหนังสือที่ชื้นออกมาวางตากแดดในลาน ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ลานด้านหน้าก็มีหนังสือวางเรียงรายเต็มยี่สิบแถว กู้มามาจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มใหม่ในหีบมาอีก ตอนนี้เองมือเรียวสวยข้างหนึ่งก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งยื่นมาตรงหน้านาง

นางมองไล่ตามมือเรียวสวยขาวผ่องประหนึ่งหยกข้างนั้นขึ้นไปอย่างเชื่องช้าจนมองเห็นใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ ดวงหนึ่ง นางลุกขึ้นยืนคำนับนิ่งๆ “ฮูหยินน้อย”

เฉียวเวยประคองนางลุกขึ้น “กู้มามาไม่ต้องมากพิธี”

กู้มามาดึงแขนกลับมาเบาๆ นางถามอย่างเคารพแต่ก็ห่างเหิน “ฮูหยินน้อยมาถึงจวนองค์หญิงมีธุระใดหรือเจ้าคะ”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ต้องการไหว้วานกู้มามา”