เล่ม 1 ตอนที่ 337-2 เจาหมิงหวนคืน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 337-2 เจาหมิงหวนคืน

“อะไรนะเจ้าคะ” ภายในห้องหนังสือ กู้มามาผู้นั่งอยู่บนพื้นมองร่างเล็กของเฉียวเวยที่กำลังนั่งคุกเข่าหลังตรงแหน็วอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่มันบ้าบอชัดๆ!”

เฉียวเวยมองนางโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “มีสิ่งใดบ้าบอเล่า”

กู้มามาเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าจะไม่มีวันยอมให้ผู้ใดใช้วิธีการใดก็ตามทำให้ชื่อเสียงขององค์หญิงแปดเปื้อน! องค์หญิงจากโลกใบนี้ไปแล้ว ข้ามิอาจให้ดวงวิญญาณของนางที่อยู่ในปรโลกไม่สงบสุข”

เฉียวเวยกล่าวนิ่งๆ “กู้มามา หากดวงวิญญาณขององค์หญิงในปรโลกจะไม่สงบสุขก็เป็นเพราะเรื่องเดียวเท่านั้น และเรื่องนั้นไม่มีวันเป็นเรื่องของตัวนางเอง จุดนี้เชื่อว่าเจ้าคงจะรู้ดีแก่ใจยิ่งกว่าข้า”

กู้มามาเงียบงัน

เฉียวเวยรินชาให้กู้มามาถ้วยหนึ่ง “เรื่องที่องค์หญิงเป็นคนเผ่าเยี่ยหลัว คิดว่าเจ้าคงรู้มานานแล้วกระมัง”

ขนตาของกู้มามากระพือไหว

“เจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาอยู่ข้างกายองค์หญิง แต่เดิมเจ้าควรจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แต่เจ้ากลับไม่เคยทรยศองค์หญิง ข้าขอบคุณเจ้าแทนองค์หญิงกับหมิงซิว” เฉียวเวยพูดพลางก็ประสานสองมือไว้ตรงหน้าผาก ก้มตัวคำนับนางหนึ่งหน

กู้มามาแววตาวูบไหว

เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “สิ่งที่องค์หญิงปล่อยวางไม่ลงที่สุดตอนยังอยู่ก็คือเรื่องที่บุตรทั้งสองจากไปก่อนวัยอันควร บุตรคนโตไร้หนทางช่วย แต่หมิงเยี่ยรอดกลับมาได้ ใจของกู้มามาคงจะดีใจแทนองค์หญิงอย่างยิ่งใช่หรือไม่”

ดวงตาของกู้มามาค่อยๆ แดงระเรื่อ

เฉียวเวยหลุบตาลง ถอนหายใจเบาๆ “หมิงเยี่ยลำบากมามาก ในร่างเขามีพิษประหลาด จนบัดนี้ก็ยังแก้ไม่ได้ เขาถูกโจรลักพาตัวไป ถูกบิดาบุญธรรมทุบตี ถูกอันธพาลบนถนนข่มเหงรังแก กว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมายังตระกูลจีได้ไม่ง่ายเลย ตอนนี้เขากำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว…”

กู้มามาขัดคำพูดของเฉียวเวย “ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ หมิงเยี่ยกำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้วหรือ”

เฉียวเวยมองนางอย่างไม่หลบสายตาสักนิด “ใช่แล้ว แม่นางฟู่ที่ย้ายเข้ามาคนนั้น นางตั้งท้องเลือดเนื้อของหมิงเยี่ยอยู่ แต่ครอบครัวของนางไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างหมิงเยี่ยกับนาง จึงคิดหาวิธีจะจับตัวนางกลับไปให้ได้ หากนางถูกจับตัวกลับไป ก็คงจะปกป้องเด็กเอาไว้ไม่ได้แล้ว กู้มามา ท่านคงไม่ต้องการให้ลูกของหมิงเยี่ยเป็นอะไรไปใช่หรือไม่”

วันรุ่งขึ้นกู้มามาขอลาหยุดกับจีเหล่าฮูหยินบอกว่าหลานชายที่บ้านจะแต่งงานจึงเชิญนางไปดื่มเหล้ามงคลสักสองสามวัน ฝากให้จีเหล่าฮูหยินส่งคนไปดูแลจวนองค์หญิงฝั่งนี้สักหน่อย นางเป็นคนของจวนองค์หญิง แต่เดิมก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากจีเหล่าฮูหยินอยู่แล้ว นางทำเช่นนี้เพราะว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดนึกสงสัยก็เท่านั้น

จีเหล่าฮูหยินบอกให้นางไปได้อย่างสบายใจ หลังจากนั้นก็เรียกเฉียวเวยมา คิดจะให้เฉียวเวยรับช่วงดูแลเรื่องในจวนองค์หญิง คิดไม่ถึงเฉียวเวยกลับบอกว่า “บังเอิญจริงเชียว ท่านย่า พวกจิ่งอวิ๋นสามคนเพิ่งจะกลับมาเหมือนจะปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ตอนเที่ยงข้าจะไปที่โน่นรับพวกเขาออกมาทานอาหารกลางวัน”

จีเหล่าฮูหยินรักเจ้าตัวน้อยทั้งหลายที่สุด เมื่อได้ยินคำนี้ก็ฝากเรื่องในจวนองค์หญิงไว้กับหลี่ซื่อทันที

ณ เรือนสี่ประสาน เฉียวเวยกับเฟิ่งชิงเกอนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะกลม ฟังกู้มามาเล่าเรื่องขององค์หญิงอย่างอดทน “องค์หญิงมีสิ่งที่ชอบสามอย่าง สิ่งที่ไม่ชอบสามอย่าง สิ่งที่ชอบสามอย่างคือดอกไม้ ชาและตัวอักษร ฝีมือการจัดดอกไม้ การชงชาและการคัดอักษรขององค์หญิงเป็นเอกในเมืองหลวง สมัยนั้นไม่มีผู้ใดเทียบเคียงนางได้ สิ่งที่ไม่ชอบสามอย่างคือขี่ม้า ยิงธนูและละคร”

เฟิ่งชิงเกอบีบนิ้วมือเงียบๆ สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คือฟังละคร สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการขี่ม้าและกิจกรรมที่ชอบที่สุดก็คือการล่าสัตว์…

กู้มามาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “มา เจ้าจัดดอกไม้ให้ข้าดูสักแจกันก่อน”

เฟิ่งชิงเกอกับเฉียวเวยส่งสายตาให้กัน เฉียวเวยเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้นางเริ่ม เฟิ่งชิงเกอหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดกิ่งดอกไม้บนโต๊ะดังฉับๆ ดอกไม้แต่ละกิ่งถูกตัดจนโล่งเตียน แม้แต่เปลือกกิ่งก็ถูกลอกออกมาด้วย เหลือแต่ดอกไม้ดอกใหญ่บนปลายกิ่งเพียงดอกเดียว หลังจากนั้นก็ปักพรวดเข้าไปในแจกัน

กู้มามาเงยหน้าขึ้นมาเห็นก็เกือบจะเป็นลมหงายหลังตึง!

ที่แถวหลังฟู่เสวี่ยเยียนกับเฉียวเวยกำลังจัดดอกไม้อยู่เหมือนกัน ความจริงเฉียวเวยไม่ค่อยเข้าใจศาสตร์นี้นัก แต่ยามนางเห็นดอกไม้ที่ฟู่เสวี่ยเยียนจัด นางรู้สึกราวกับมองเห็นหญิงสาวเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรกลุ่มหนึ่งอมยิ้มอย่างเอียงอาย ทว่าพอหันไปมองดอกไม้ของเฟิ่งชิงเกอ นางกลับรู้สึกเหมือนเห็นป้าแก่ๆ ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกลุ่มหนึ่งเดินมาโดยไม่สวมอาภรณ์สักชิ้น

ความแตกต่างเช่นนี้ เฉียวเวยทนมองไม่ได้จริงๆ

ต่อไปกู้มามาก็ให้เฟิ่งชิงเกอชงชา

ดีเลวเฟิ่งชิงเกอก็เปิดหอคณิกา ปกติการต้อนรับแขกเหรื่อย่อมขาดการชงชาสักสองสามกาไม่ได้ ฝีมือด้านนี้สมควรไม่แย่เท่าใดนัก อย่างน้อยเฉียวเวยดูขั้นตอนที่นางทำก็ค่อนข้างจะดูมืออาชีพพอสมควร ไหนเลยจะคิดว่าพอเฉียวเวยกับกู้มามาชิมชาที่นางชงได้คำเดียว ทั้งคู่ก็พ่นชาออกมาดัง พรูด!

ชาที่ฟู่เสวี่ยเยียนชงรสชาติดียิ่งนัก กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้คนรื่นรมย์ กลิ่นหอมอบอวลติดอยู่บนริมฝีปากและบนฟัน แรกลิ้มรสขมเล็กน้อย แต่สุดท้ายกลับมีรสหวานติดปลายลิ้น

กู้มามาดื่มชาที่ฟู่เสวี่ยเยียนชงไปห้าถ้วยติด ในที่สุดก็ช่วยชีวิตต่อมรับรสกลับมาจากชาพิษของเฟิ่งชิงเกอได้

เฉียวเวยหันไปมองเฟิ่งชิงเกออย่างไม่เข้าใจ “เจ้ามีฝีมือเพียงเท่านี้ ตอนแรกเอาความมั่นใจที่ไหนมาปลอมตัวเป็นข้า”

เฟิ่งชิงเกอมองดอกไม้ในแจกันที่สภาพทนมองไม่ได้ของเฉียวเวย (กลีบดอกไม้ร่วงหมด เหลือแต่เกสร) กับชาที่ชงออกมาอนาถดูไม่ได้ (ถ้วยชาแตกไปหลายใบ) รวมถึงตัวอักษรแสลงตาจนดูไม่ไหวที่วางอยู่ตรงหน้าเฉียวเวย

เฉียวเวยเสตามองฟ้า

การจัดดอกไม้กับการชงชาย่ำแย่ถึงเพียงนี้ กู้มามาไม่คาดหวังกับฝีมือการเขียนอักษรของเฟิ่งชิงเกอเท่าไรนักแล้ว นางหันไปดูตัวอักษรของฟู่เสวี่ยเยียน แล้วเอ่ยชมออกมายกใหญ่ “ตัวอักษรคล้ายขององค์หญิงเมื่อสมัยนั้นอยู่บ้าง”

ค่ำคืนนั้นกู้มามาพาเฉียวเวยกับเฟิ่งชิงเกอเข้าไปในจวนองค์หญิงจากประตูหลัง

“ตอนองค์หญิงยังอยู่ท่านอ่านหนังสือมากมาย รู้ตั้งแต่ศาสตร์การดูท้องฟ้าไปจนถึงเรื่องเกี่ยวกับภูมิประเทศ องค์หญิงชำนาญหกภาษา หนังสือที่เก็บอยู่ในหอตำรานางเคยอ่านแล้วทุกเล่ม จำได้แม่นจนท่องได้” กู้มามาเล่าพลางเปิดประตูใหญ่ของหอตำรา

เฟิ่งชิงเกอมองชั้นหนังสือที่ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวหลายสิบแถว แล้วเป็นลมไปทันที…

วิถีทางขององค์หญิงต่างจากเฟิ่งชิงเกอมากเกินไปแล้ว

“เร็วเกินไป!”

“ยั่วยวนเกินไป!”

“ผู้ใดให้เจ้าบิดเอว”

“ก้าวยาวเกินไป!”

“ก้าวสั้นเกินไป!”

“อย่าลากรองเท้า!”

“หลังเหยียดตรง!”

“ดวงตาอย่าหลุกหลิก!”

เฟิ่งชิงเกอเทินน้ำชามหนึ่งไว้บนศีรษะ บนบ่าวางหนังสือสองเล่ม เท้าสองข้างผูกเชือกล่ามไว้ด้วยกัน นางถูกกู้มามาสั่งสอนจนไม่เหลืออารมณ์จะโมโห นางสาบานว่าทำท่านั่งม้ายังไม่เหนื่อยเท่านี้!

นางฟุบอยู่บนขั้นบันไดของเรือนสี่ประสาน แสงจันทร์นวลตาเย็นเยือกดั่งสายน้ำส่องบนใบหน้างามที่เปียกโชกของนาง นางเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ตอนจั๋วหม่าน้อยของตำหนักธิดาเทพคนนั้นปลอมตัวเป็นท่าน…ก็ทุ่มเทกำลังมากมายถึงเพียงนี้หรือ…”

เฉียวเวยตอบว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ชนเผ่าลึกลับไม่รู้จักนิสัยของข้าแต่ประการใด ข้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าตัวปลอมนั่นอยากจะปลอมตัวเป็นข้าอย่างไรก็ปลอมตัวเป็นข้าอย่างนั้น แต่เจ้าไม่เหมือนกัน องค์หญิงอยู่ที่ตระกูลจีมานานถึงเพียงนั้น หากแตกต่างมากเกินไปผู้คนย่อมมองพิรุธออก”

เฟิ่งชิงเกอตาเหลือก “แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ให้เวลาข้าอีกสิบปี ข้าก็ยังมีพิรุธเต็มไปหมดอยู่ดี…”

คำพูดนี้หาใช่คำลวง แม่เลี้ยงสาวใช้เวลาตั้งหลายปีเพิ่งจะเลียนแบบบรรยาอากาศอ่อนโยนขององค์หญิงมาได้เพียงสองสามส่วน หากพูดถึงฝีมือพิณภาพหมากอักษรเหล่านั้น นางยังไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้องค์หญิง เฟิ่งชิงเกอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ให้นางทำตัวเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ภายในเวลาเพียงพริบตาเดียว คงจะทำให้นางลำบากเกินไปอยู่บ้างจริงๆ

แต่ไม่ทำเช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรได้อีกเล่า

ในศาลาอันเงียบสงบ จีซั่งชิงนอนฟุบอยู่บนโต๊ะหิน เขาหลับลึกจนกระทั่งเงาคนร่างหนึ่งเดินเข้ามาห่มผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งบนร่างเขา

“เจาหมิง!” เขาสะท้านเฮือกสะดุ้งตื่นจากฝัน พอเห็นผ้าคลุมกันลมบนร่างก็หันไปมองสวินหลันที่มาปรากฏตัวตรงนี้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ดวงตาฉายแววซับซ้อนจางๆ “เหตุใดถึงเป็นเจ้า”

สวินหลันตอบเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าเดินผ่านด้านนี้เห็นท่านหลับอยู่ในศาลา” พูดพลางก็เหลือบมองกาสุราบนโต๊ะ “ท่านดื่มสุราหรือ”

จีซั่งชิงตอบว่า “ดื่มนิดหน่อย”

สวินหลันนั่งลงข้างกายเขา “เมื่อครู่ท่านตะโกนเรียกองค์หญิง ท่านฝันเห็นนางหรือไร”

จีซั่งชิงตอบงึมงำคำหนึ่ง

ใบหน้าของสวินหลันไม่มีสีหน้าริษยาปรากฏออกมาแม้แต่น้อย นางเพียงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “กลางวันเฝ้าคะนึงหาย่ำราตรีคอยเฝ้าฝันถึง ท่านคิดถึงองค์หญิงมากเกินไปแล้ว”

จีซั่งชิงกระแอม “เจ้า…เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

สวินหลันตอบเสียงเบา “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ลูกกำลังขยับ ท่านอยากจับเขาหรือไม่”

จีซั่งชิงมองท้องของนาง แววตาวูบไหว อยากจะยื่นมือออกไปยิ่งนัก แต่พอนึกถึงคำเตือนของเหล่าฮูหยินขึ้นมาได้ เขาก็กดความคิดนั้นไว้

สวินหลันดึงมือเขามา เขาตั้งใจจะชักมือกลับ แต่ถูกสวินหลันจับเอาไว้แน่นกว่าเดิม

จีซั่งชิงวางมือลงบนหน้าท้องของนาง เพียงสัมผัสถูกก็กระตุกมือกลับราวกับถูกฟ้าผ่า

สวินหลันเอ่ยเสียงแผ่ว “เหล่าฮูหยินบอกว่าเมื่อข้าให้กำเนิดเด็กคนนี้แล้วก็จะให้ข้ากลับไปเฝ้าสุสาน ท่านก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”

จีซั่งชิงอ้าปาก “ข้า…”

สวินหลันลุกขึ้นยืนอย่างผิดหวัง หางตาของจีซั่งชิงมองเห็นความผิดหวังลึกๆ ในดวงตาของนางได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่รู้ภูตผีตนใดดลใจให้เขาเอื้อมมือออกไปจับมือของนาง

“ซั่งชิง”

เสียงอ่อนหวานอันคุ้นหูดังขึ้นในสวนดอกไม้ จีซั่งชิงกับสวินหลันต่างสะดุ้งในใจพร้อมกัน พวกเขาหันไปมองก็เห็นสตรีสวมอาภรณ์สีขาวนางหนึ่งยืนอยู่กลางพุ่มดอกไม้ท่ามกลางสายลมที่โชยพัด เมื่อเห็นใบหน้าดวงนั้นชัด ทั้งสองคนก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ตกตะลึงนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน