เล่ม 1 ตอนที่ 339-1 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 339-1 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (2)

เฟิ่งชิงเกอนอนหลับยาวจนฟ้าสว่างจ้า นางถูกกู้มามาทรมานจนใกล้จะเหลือแต่เปลือกร่างเปล่าๆ มาหลายวัน ในที่สุดเมื่อคืนถึงได้นอนเติมพลังสักหน่อย วันนี้สีหน้าของนางจึงแดงระเรื่อ แต่พอหันกลับไปดูจีซั่งชิง เขากลับไม่โชคดีเช่นนั้น

เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นอยู่ข้างหูทั้งคืน ปิดหูไปก็ไร้ประโยชน์ ซุกหัวอยู่ใต้หมอนก็ไร้ประโยชน์ ใช้สำลีอุดหูก็ไร้ประโยชน์…สรุปก็คือไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เขาถูกเสียงดังลั่นจู่โจมอย่างจังอยู่ตลอดทั้งคืน ทุกครั้งที่ง่วงไม่ไหวจนใกล้จะหลับก็ถูกเสียงประหนึ่งฟ้าผ่าปลุกให้สะดุ้งตื่นทุกครั้ง เขารู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นอ่อนแรงลงมาก

เฟิ่งชิงเกอเห็นเขามีขอบตาดำคล้ำวงใหญ่จนใหญ่มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วสองข้างก็ทำสีหน้าฉงนงงงวย “เอ๋ ท่านเป็นอะไรไป”

จีซั่งชิงบอกไม่ได้ว่าข้าถูกเสียงกรนของเจ้าทำร้ายมา เขาพูดไม่ออกแล้วก็ถามไม่ลงด้วย

จีซั่งชิงไม่พูด เฟิ่งชิงเกอจึงเดินปร๋อไปอาบน้ำอย่างสบายอุรา กู้มามาสั่งคนให้นำของที่องค์หญิงเจาหมิงชอบใช้ที่สุดเมื่อสมัยยังมีชีวิตมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ เฟิ่งชิงเกอเรียนมาตอนอยู่เรือนสี่ประสานแล้วว่าใช้อย่างไรจึงไม่ทำผิดพลาดประการใด ทว่าตอนที่ทายาเกล็ดหิมะ เจ้าแห่งการละครบางคนก็อดรนทนไม่ไหวเริ่มแต่งเรื่องเพิ่มเองอีกหน นางไม่เพียงประแป้ง ทาชาด แต่ยังวาดดอกหมู่ตานสีแดงดอกหนึ่งกลางหว่างคิ้ว คนดูงามหยดย้อย ชั่วพริบตามีบรรยากาศอ่อนหวานทรงเสน่ห์เพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

สาวใช้หยิบกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์มาให้แต่นางไม่เอา นางเปิดตู้เลือกกระโปรงคาดเอวสีเหลืองอ่อนชุดหนึ่งออกมาแล้วแล้วหวีผมเกล้าเป็นมวยผมทรงเฟยเซียน[1]

มิเสียทีเป็นองค์หญิง สมบัติมากมายนัก เพียงเครื่องประดับศีรษะก็มีเต็มห้ากล่องใหญ่ กู้มามาเคยเตือนเฟิ่งชิงเกอว่าเครื่องประดับศีรษะขององค์หญิงมักจะจัดวางไว้เฉยๆ นางไม่ชมชอบประดับนัก แต่เฟิ่งชิงเกอไหนเลยจะจดจำได้มากมายเพียงนั้น ต่อให้จำได้ก็หักห้ามความปรารถนาที่อยากจะลองประดับเครื่องประดับศีรษะทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี

เฟิ่งชิงเกอเลือกปิ่นระย้าลายดอกหมู่ตานที่ทำจากทองสีชมพูเล่มหนึ่งกับปิ่นดอกหมู่ตานไข่มุกประดับหยกขาวสองเล่ม และต่างหูลายดอกหมู่ตานทำจากทองสีชมพูอีกคู่หนึ่ง หลังจากประดับเสร็จแล้วช่างดูเฉิดฉายสะกดตาคนยิ่งนัก

จีซั่งชิงมองเจาหมิงที่เปลี่ยนไปมากอย่างตกตะลึง ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“เหตุใดท่านมองข้าเช่นนั้น” เฟิ่งชิงเกอถาม

จีซั่งชิงตอบอย่างอึ้งๆ “ไม่…ไม่มีอะไร เจ้าแค่ไม่ค่อยเหมือนแต่ก่อนนัก”

มือที่แตะปิ่นระย้าของเฟิ่งชิงเกอหยุดชะงัก “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นเช่นไร”

จีซั่งชิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้า…เจ้าไม่ใช้ของพวกนี้เลย”

คงไม่ความแตกเร็วถึงเพียงนี้กระมัง

เฟิ่งชิงเกอแววตาวูบไหว นางเดินมาข้างกายเขาแล้วขยับมาริมหูกระซิบบอกเบาๆ “ข้าจะบอกความลับท่านเรื่องหนึ่ง ท่านห้ามไปบอกผู้อื่น”

ลมหายใจของเจาหมิงลอยมากระทบใบหูของเขา ใบหูของเขาร้อนผะผ่าว เขาปรามความตื่นเต้นและหัวใจที่เต้นระรัว แล้วถามนางเสียงเบาว่า “ข้าจะไม่บอกผู้อื่น เจ้าว่ามาเถิด”

เฟิ่งชิงเกอเอ่ยทีละคำ “ความจริง…ข้าไม่ใช่เจาหมิง”

ร่างกายของจีซั่งชิงแข็งทื่อ!

เฟิ่งชิงเกอเอ่ยต่อ “ข้าคือเทพบุปผา”

ร่างกายที่แข็งทื่อของจีซั่งชิงค่อยๆ ผ่อนคลายกลับมาเป็นปกติอีกหน

เฟิ่งชิงเกอเริ่มคุยโม้อย่างเบิกบานใจ “ข้าลงมายังโลกมนุษย์เพื่อผ่านด่านเคราะห์ รอข้าผ่านด่านเคราะห์สำเร็จแล้วก็จะหวนกลับสรวงสวรรค์ ท่านอย่าได้แพร่งพรายความลับนี้ออกไป มิเช่นนั้นท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์”

จีซั่งชิงมองนางอย่างปวดใจ สมองเสียหายจนเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่จะไม่เหมือนแต่ก่อน จีซั่งชิงจับมือของนางแล้วเอ่ยเบาๆ “ได้ ข้าจะไม่แพร่งพราย”

เฟิ่งชิงเกอถามเสียงหวาน “เหตุใดท่านไม่ถามว่าข้าเป็นเทพแห่งดอกไม้อะไร”

จีซั่งชิงคิดเสียว่าตนเองกำลังเล่นกับเด็กน้อย เขาคลี่ยิ้มถามนางว่า “เจ้าเป็นเทพแห่งดอกไม้อะไรหรือ”

เฟิ่งชิงเกอตอบอย่างภาคภูมิใจ “เทพแห่งดอกหมู่ตาน ข้าเป็น…ดอกหมู่ตานที่สวยที่สุด ใหญ่ที่สุด…ในใต้หล้า…และบนสรวงสวรรค์”

จีซั่งชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ต่อจากนั้นก็ยิ้มเขินๆ ชมว่า “มิน่าเจ้าจึงงามสะคราญเลอค่าเช่นนี้”

เฟิ่งชิงเกอถูกชมก็เลิกคิ้วอย่างหลงระเริง พอคิดอะไรได้ก็บอกด้วยสีหน้าระแวดระวังอีกหน “สตรีคนนั้นเมื่อวาน นางไม่ใช่มนุษย์ บนร่างนางมีไอปีศาจ ดังนั้นข้าจึงกลัวว่านางจะทำร้ายท่าน” ไม่ลืมอธิบายอาการผิดปกติเมื่อวานเสียด้วย กล่าวได้ว่าฉลาดยิ่งนัก รอบคอบยิ่งนัก ไม่ปล่อยให้ความลับรั่วแม้แต่น้อย!

ความจริงแล้วจีซั่งชิงไม่สงสัยการกระทำเมื่อวานของนางเลย คำพูดเหล่านั้นหากเป็นผู้อื่นมาฟังคงรู้สึกว่ามีพิรุธมากมาย แต่ในสายตาของเขา มันเป็นเพียงการกระทำไม่ปกติของคนที่สมองไม่ค่อยปกตินักคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย แน่นอนเขาไม่มีทางเชื่อว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง เพียงแต่นางเล่าอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก เขาจึงไม่สะดวกใจจะขัดความสนุกของนาง เขาจิบชาคำหนึ่งแล้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้นนางเป็นปีศาจอะไรเล่า”

เฟิ่งชิงเกอไม่เสียเวลาคิดสักนิดตอบทันที “นางเป็นดอกหญ้า”

จีซั่งชิงพ่นน้ำชาออกมาจากปาก!

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็มาจับชีพจรให้ ‘องค์หญิงเจาหมิง’ เฟิ่งชิงเกอนั่งบนเก้าอี้อย่างสง่างาม แล้วยื่นข้อมือให้เฉียวเวยจับชีพจร

เฉียวเวยมองใบหน้าที่แย้มยิ้มประหนึ่งบุปผาของนางกับหน้ากากที่มุมข้างหนึ่งตรงริมหูเผยอขึ้นมา นางกดหน้ากากลงไปแล้วกระซิบว่า “เลิกยิ้ม หน้ากากจะหลุดแล้ว”

เฟิ่งชิงเกอหุบยิ้มทันที

จีซั่งชิงเดินเข้ามา ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ร่างกายท่านแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉียวเวยยิ้มละไมตอบว่า “เมื่อวานกินยาไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

จีซั่งชิงตอบว่า “กินแล้ว”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “มิน่าชีพจรถึงดีขึ้นบ้างแล้ว กินยาต่อไป กินไปก่อนสักสามวันแล้วข้าค่อยมาดูว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนยาหรือไม่”

จีซั่งชิพยักหน้า ทำท่าเหมือนอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป

“ท่านพ่อยังมีเรื่องใดหรือ” เฉียวเวยถาม

“เจ้ามานี่หน่อย” จีซั่งชิงเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง

เฉียวเวยใช้สายตาประเมินระยะห่างจากตรงนี้ไปถึงตรงนั้น ด้วยประสาทหูของเฟิ่งชิงเกอ คาดว่าคงไม่มีคำใดฟังไม่ชัด แต่นางก็ยังคงแสร้งทำเป็นเดินตามไป “ท่านพ่อ เป็นอะไรหรือ”

จีซั่งชิงอ้าปากอย่างลำบากใจ “สวินซื่อนาง…”

เฟิ่งชิงเกอเบ้ปาก

เฉียวเวยมองเฟิ่งชิงเกอแวบหนึ่ง นางขยับตัวมาบังเฟิ่งชิงเกอโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แล้วยิ้มน้อยๆ บอกว่า “แผลบนหน้าของนางไม่น่าจะร้ายแรง เมื่อวานข้าให้ปี้เอ๋อร์นำยาไปให้นางแล้ว ขอเพียงนางทายาตามเวลาก็จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้”

จีซั่งชิงตอบอย่างไม่สบายใจ “ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉียวเวยยิ้ม “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน” พูดพลางก็ทำเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามจีซั่งชิงว่า “เรื่องของสวินซื่อ ท่านพ่อบอกท่านแม่แล้วหรือยัง”

จีซั่งชิงตอบเสียงเบา “ยัง ข้ากลัวว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจนาง”

เฉียวเวยบอกว่า “ท่านพ่อทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ลืมเลือนทุกสิ่งหมดสิ้นแล้ว แต่จดจำชื่อท่านพ่อได้เพียงสิ่งเดียว บ่งบอกว่าในหัวใจของท่านแม่ ท่านเป็นคนที่นางใส่ใจมากที่สุด หากนางทราบว่าท่านตบแต่งสตรีอีกนางหนึ่งเข้ามาลับหลังนาง นางจะต้องอาการกำเริบแน่”

จีซั่งชิงเอ่ยอย่างละอายใจ “หากข้ารู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีวันแต่งกับผู้อื่น”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงใจ “ข้าทราบ ข้าเข้าใจ”

[1]มวยผมทรงเฟยเซียน มวยผมที่เกล้าเป็นเส้นสองเส้นแล้วขดเป็นวงแหวนสองข้างคล้ายปีกที่กำลังโบยบินอยู่เหนือศีรษะ