เล่ม 1 ตอนที่ 339-2 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 339-2 สามีภรรยาพบหน้า ตบสวินหลัน (2)

ภายในจวนหลังใหญ่ไม่มีเรื่องใดปิดบังผู้คนได้ นับประสาอะไรกับเมื่อจีเหล่าฮูหยินส่งคนมาประจำที่เรือนถงเพิ่มอย่างโจ่งแจ้งเพื่อขัดขวางไม่ให้สวินหลันลอบสานสัมพันธ์กับจีซั่งชิง แทบจะในเวลาเดียวกับที่เฟิ่งชิงเกอเข้ามาพักที่เรือนถง เรือนลั่วเหมยก็ทราบข่าวแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเหล่าฮูหยินพักผ่อนแล้ว หรงมามาจึงรอจนถึงเช้าวันนี้จึงเพิ่งรายงานนาง

องค์หญิงเจาหมิงจากโลกไปสิบแปดปีแล้ว สาวใช้ของเรือนถงล้วนไม่เคยเห็นนางมาก่อน พวกนางย่อมไม่ทราบว่านางคือองค์หญิงเจาหมิง จีเหล่าฮูหยินได้ยินว่าบุตรชายพาสตรีคนหนึ่งกลับมาจากข้างนอก ปฏิกิริยาแรกกลับไม่ใช่ความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นความยินดี

ขอเพียงบุตรชายของนางไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสวินหลัน จะโปรดปรานผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น แค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรือ จะสองคนหรือสามคนนางก็ไม่ถือสา ตระกูลจีเลี้ยงไหวอยู่แล้ว!

“ท่านจะเรียกคนมาหาหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” หรงมามาถาม

จีเหล่าฮูหยินค่อยๆ คลี่ยิ้ม “แค่สตรีจากข้างนอกคนหนึ่งเท่านั้น มีอะไรต้องเรียกมาดูหน้า ไม่ต้องสนใจเขา ให้เขาจัดการตัวเองไป ขอเพียงเขาไม่ไปหาสวินซื่อ ข้าก็ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น!”

บ่าวรับใช้ในตระกูลจีต่างทราบอย่างรวดเร็วยิ่งนักว่านายท่านมียอดดวงใจเพิ่มมาอีกคน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดทราบว่ายอดดวงใจคนนั้นก็คือ ‘องค์หญิงเจาหมิง’ ในอดีต

วันนี้นายท่านกับยอดดวงใจนั่งชมบุปผากันอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้ บังเอิญว่าสวินหลันก็อยู่ด้วย

เฟิ่งชิงเกอถลึงตาใส่สวินหลันอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านอย่าให้นางเข้ามา นางจะแย่งปุ๋ยของข้า!”

จีซั่งชิงมองนาง เจาหมิงของเขา…เป็นบ้าได้น่ารักยิ่งนัก นางไม่ทราบเรื่องระหว่างเขากับสวินหลัน แต่นางพูดออกมาว่าสวินหลันจะแย่งปุ๋ยของนาง ดูท่าต่อให้สตรีเสียสติไปแล้ว สัญชาตญาณในบางเรื่องก็ยังแม่นยำจนน่าตกใจอยู่ดี

จีซั่งชิงโบกมือใส่สวินหลัน ส่งสัญญาณให้สวินหลันออกไป

สวินหลันไม่ไป นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างดื้อรั้น

จีซั่งชิงปวดหัว!

บ่าวรับใช้ยกขนมจานหนึ่งกับน้ำผึ้งชามน้อยเข้ามา ขนมชนิดนี้ต้องจิ้มกับน้ำผึ้งจึงจะอร่อย เฟิ่งชิงเกอไม่ทราบ คิดว่าแยกกันกินจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำผึ้งเข้าปากคำแล้วคำเล่า แต่นางกลับไม่รู้สึกเลี่ยน!

ท่ากินของนางแตกต่างจากเมื่อสมัยก่อนมากนัก แต่เมื่อนึกได้ว่าสมองของนางเสียหายไปแล้ว จีซั่งชิงจึงรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็นับว่าปกติ

“เจาหมิง” จีซั่งชิงเรียก

“มีอะไร” เฟิ่งชิงเกอถามงึมงำ

“ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากบอกเจ้า…หลังจากเจ้าฟังจบแล้วอย่าเพิ่งโกรธ ข้ากับสวินหลัน…ข้ากับนาง…ข้า…”

“เอ๋ เหตุใดนางยังยืนอยู่ไม่ไปอีกเล่า” เฟิ่งชิงเกอมองสวินหลันที่อยู่ไม่ไกล แล้วขมวดคิ้วเอ่ยขัดจีซั่งชิง “ถ้านางไม่ไป ข้าไปเอง!”

กล่าวจบก็วางช้อนกับชามแล้วลุกขึ้นอย่างไม่รักษามารยาทสักนิด เดินออกไปจากศาลาทันที

“เจาหมิง! เจาหมิง!” จีซั่งชิงสาวเท้าเร็วไวไล่ตามไป

จังหวะที่เดินผ่านข้างกายสวินหลัน สวินหลันก็จับแขนของเขาไว้แล้วบอกเสียงเบา “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

จีซั่งชิงเห็นแผ่นหลังของเจาหมิงเดินไกลออกไปทุกที หัวใจก็ร้อนรน ดึงมือของสวินหลันออกแล้วบอกว่า “มีเรื่องใดวันหลังค่อยพูดเถิด! เจาหมิงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จดจำเรื่องราวมากมายไม่ได้แล้ว ข้าจะหาโอกาสบอกเรื่องของพวกเรากับนางตามตรง แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าอย่าไปรบกวนนาง”

สวินซื่อกำนิ้วมือแน่น

การฝึกฝนของเฟิ่งชิงเกอจบลงแล้ว เฉียวเวยจึงไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างมาอยู่ที่เรือนสี่ประสานทั้งวันอีกต่อไป เฉียวเวยเดินกลับมาจากเรือนถงก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดมาก แต่ทำเป็นหลายสิ่ง อยู่กับนางไม่เบื่อหน่ายอย่างแน่นอน

เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนเล่นหมากเรียงห้า[1]กันอยู่ ทันใดนั้นปี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามาจากทางเชื่อมฝั่งประตูข้าง “ฮูหยิน สวินซื่อมาเจ้าค่ะ”

“นางมาทำอะไร” ฟู่เสวี่ยเยียนถามเรียบๆ

เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “แปดส่วนน่าจะถูกเฟิ่งชิงเกอยั่วโมโหจนทนไม่ไหว จึงอยากจะมาระบายโทสะกับข้า ช่างเถิด พวกเจ้าสองคนเล่นกันต่อก็แล้วกัน”

เฉียวเวยยกที่นั่งให้ใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วเดินกลับบ้านชิงเหลียนด้วยกันกับปี้เอ๋อร์

สวินซื่อนั่งอยู่ในห้องตรวจที่ปกติเฉียวเวยเอาไว้รักษาคนไข้ เฉียวเวยก้าวเข้าไปในห้องก็สบตากับนายบ่าวทั้งสองคน นางยิ้มกว้างจนเต็มแก้ม “วันนี้เหตุไฉนฮูหยินมีเวลาว่างแวะมาเยือนบ้านชิงเหลียนของข้าได้ ยาที่ส่งไปให้ใช้ไม่ได้ผลจึงมาเปลี่ยนเป็นยาขวดใหม่หรือไร”

“เจ้าออกไปก่อน” สวินหลันสั่งโจวมามา

“ฮูหยิน…” โจวมามาไม่วางใจ

สวินซื่อตวาดเบาๆ “ข้าบอกว่าให้เจ้าออกไป!”

โจวมามาถลึงตาใส่เฉียวเวย แล้วเดินออกไปอย่างไม่ค่อยจะยินยอม แต่นางเดินไปไม่ไกล มายืนเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่แปลกที่นางจะรอบคอบเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวคนนั้นรังแกคนเกินแล้วจริงๆ หนก่อนที่ทำนางล้ม จนตอนนี้นางก็ยังปวดอยู่เลย หากนางทำให้ฮูหยินหกล้มบ้างย่อมรักษาเด็กในท้องไว้ไม่ได้แล้ว!

เฉียวเวยส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์เดินออกไปยืนอยู่ที่ประตูด้วย

โจวมามาถลึงตาใส่ปี้เอ๋อร์ ส่วนปี้เอ๋อร์ก็แค่นเสียงใส่อย่างดูแคลน

เฉียวเวยรินชาให้สวินหลันถ้วยหนึ่งด้วยตนเอง “ฮูหยินเชิญดื่มชา หากฮูหยินไม่กลัวข้าวางยาพิษล่ะก็นะ”

สวินหลันยกถ้วยชาขึ้นจิบนิ่งๆ แล้วเปิดปากเข้าประเด็น “เรื่ององค์หญิงเป็นมาอย่างไรกันแน่”

เฉียวเวยยิ้มละไม “โอ๊ะ ท่านคิดจะมาหลอกถามข้าหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ความลับของฝั่งข้ามิสะดวกจะให้ศัตรูล่วงรู้”

สวินหลันตอบว่า “เจ้าอย่าคิดว่าหาตัวปลอมมาคนหนึ่งแล้วจะหลอกลวงได้ตลอดรอดฝั่ง”

เฉียวเวยตอบว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นตัวปลอม”

สวินหลันมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล “เจาหมิงตัวจริงตายไปแล้ว”

เฉียวเวยจ้องนาง “เจ้าแน่ใจว่านางตายแล้วหรือ”

สวินหลันตอบเรียบๆ “แน่นอน”

เฉียวเวยลูบคางอย่างมีเลศนัย “เหตุใดเจ้าจึงแน่ใจเช่นนั้น หรือว่าในตอนนั้นเจ้าเป็นคนสังหารองค์หญิง”

สวินหลันตวัดสายตาเย็นยะเยือกมามอง

เฉียวเวยยกมุมปากนิดๆ ขยับเข้ามากระซิบริมหูของนาง “หากข้าหาตัวปลอมมาคนหนึ่ง แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้”

สวินหลันเดินออกมาจากบ้านชิงเหลียนอย่างเย็นชา

โจวมามาเดินกะโผลกกะเผลกตามมา นับตั้งแต่ล้มครั้งนั้น ถึงตอนเดินจะไม่มีปัญหาอะไร แต่พอวิ่งขาขวาจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไรนัก “ฮูหยิน…”

สวินหลันเหลือบตามองเรือนเสี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้าง “กลับเรือนค่อยคุยกัน”

ภายในเรือนเสี่ยวอวี่ มือที่กำลังจะวางเม็ดหมากของฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งค้าง กำลังภายในระดับนางย่อมได้ยินทุกสิ่งชัดเจน แต่อีกฝ่ายกลับรอบคอบรู้จักหลบเลี่ยงนาง

สองนายบ่าวกลับมาถึงเรือนหลีฮวา

ตอนนั้นโจวมามาเฝ้าประตูอยู่ นอกจากประโยคสุดท้าย นางจึงได้ยินทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นชัดเจน ตามความเห็นของนางไม่ว่าเฉียวเวยจะยอมรับหรือไม่ องค์หญิงคนนั้นต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน “ฮูหยิน พวกเราต้องคิดหาวิธีเปิดโปงนางนะเจ้าค่ะ!”

สวินหลันถามเรียบๆ “เปิดโปงอย่างไรเล่า”

ลูกตาของโจวมามากลอกไปมา แล้วยิ้มเย็นยะเยือก “บ่าวมีความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง”

[1]หมากเรียงห้า ใช้ตัวหมากล้อมเล่น มีกติกาว่าให้วางหมากได้ตาละตัว ฝ่ายใดเรียงหมากเป็นเส้นตรงแนวตั้ง แนวนอนหรือแนวทแยงได้ครบห้าตัวก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ