เล่ม 1 ตอนที่ 343-1 ขับออกจากตระกูลจี สวินหลันคิดสั้น

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 343-1 ขับออกจากตระกูลจี สวินหลันคิดสั้น

ภายในโรงหมอ กระดาษตรงหน้าต่างถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่าง ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปที่เตียงหลังใหญ่ ตกกระทบบนใบหน้าที่ประณีตประหนึ่งหยก

เจ้าของใบหน้านั้นถูกแสงแดดแยงตาจนขนตาสั่นไหวเล็กน้อย พอลืมตาขึ้นก็ได้เห็นภายในห้องกับผ้าม่านที่ดูไม่คุ้นตา เหนือศีรษะมีสตรีนางหนึ่งนั่งเอนหลังหลับตาอยู่ มือของนางถูกตนจับเอาไว้ นิ้วหัวแม่มือของเขาขยับเล็กน้อย ไล้ผ่านหลังมือเนียนละเอียดเป็นประกายของนาง

ผลั่ก…

ประตูถูกผลักเปิด

เขารีบหลับตา

ซิ่วฉินค่อยๆ เดินเข้ามาที่เตียงนอน มองคุณชายรองกับคุณหนูที่ยังคงหลับสนิท นางคิดอยากจะปลุกทั้งสองให้ตื่น แต่หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ นางก็เดินกลับออกไป

หลังจากได้ยินเสียงประตูดังอีกครั้ง ใต้เท้าเจ้าสำนักค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นจึงเห็นว่าในห้องไม่มีซิ่วฉินอยู่แล้ว ประตูก็ปิดกลับลงอย่างเดิม ลูกตาที่ดำขลับของเขาสั่นไหวเล็กน้อย เปิดผ้าห่มออก มองมือทั้งสองที่จับประสานอยู่ด้วยกัน มุมปากยกขึ้นเป็นองศาได้ใจโดยไม่รู้ตัว

เขาค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง เขยิบเข้าไปใกล้ใบหน้าคนที่นั่งอยู่ เพราะอยู่ใกล้มาก ทำให้เขาถึงขั้นนับเส้นขนตาของนางได้ ลมหายใจของทั้งสองสอดประสานกันอยู่กลางอากาศ ทั้งคอและปากของเขาพลันแห้งผาก ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย ก่อนจะหอมไปที่แก้มขาวผ่องเนียนละเอียดของนางทีหนึ่ง!

หลังจากนั้นเขาก็รีบกลับลงนอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมศีรษะ

เขารออยู่ในผ้าห่มพักใหญ่ก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายส่งกำปั้นที่ราวกับเป็นเกล็ดหิมะของนางมาเสียที ใต้เท้าเจ้าสำนักแอบลดผ้าห่มลงเล็กน้อย โผล่ศีรษะของตนออกมามองอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นกระคนหวาดกลัว พอเห็นว่านางยังคงหลับสนิทไม่มีทีท่าจะตื่น จึงลุกขึ้นอีกครั้งอย่างเจ้าเล่ห์ สายตาหยุดมองริมฝีปากแดงฉ่ำ ในหัวเริ่มมีความคิดต่อสู้กัน

ทูตน้อยฝั่งร้าย: อาศัยตอนที่นางยังไม่ตื่น รีบจุมพิตเลย หากรอให้นางตื่นจะหมดโอกาสแล้วนะ!

ทูตน้อยฝั่งดี: ฉวยโอกาสตอนคนหลับ เรียกว่าสัตว์เดรัจฉานชัดๆ!

ทูตน้อยฝั่งร้าย: แค่ช่วยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่กล้าทำ สู้สัตว์เดรัจฉานยังไม่ได้เลย!

พูดจบทูตน้อยฝั่งร้ายก็ลอยตัวยกเท้าถีบทูตน้อยฝั่งดีกระเด็นไป!

ทูตน้อยฝั่งดีรีบขดตัวจนเหลือเล็กเพียงห้ามิลลิเมตร

ทูตน้อยฝั่งร้ายกลับโอหังจนตัวใหญ่ขึ้นเป็นห้าเมตร เบ่งกล้ามใส่อีกฝ่ายอย่างยิ่งใหญ่

ใต้เท้าเจ้าสำนักเผยอริมฝีปากที่แดงฉ่ำยิ่งกว่าสตรีของตน แล้วแตะเบาๆ ลงบนกลีบปากของอีกฝ่ายช้าๆ

เสียงเปิดประตูดังขึ้น ประตูเปิดออก

ใต้เท้าเจ้าสำนักตกใจจนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง!

อาจารย์ตาฮั่วยืนอยู่หน้าประตู พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ฟ้าสว่างแล้ว ควรกลับได้แล้ว”

ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงแกล้งตายต่อไป

ฟู่เสวี่ยเยียนขนตาสั่นไหว ลืมตาขึ้น ดึงมือตนเองออกจากมือใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาด้วยสีหน้างงงวย เมื่อครู่นางตื่นอยู่…นางตื่นอยู่…นางตื่นอยู่…

คณะพวกเขาขึ้นรถม้านั่งกลับจวน เมื่อมีอาจารย์ตาฮั่วนั่งวางท่าอยู่นอกรถ เจ้าตัวร้ายทั้งหลายเลยไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ พวกเขาเลยกลับถึงบ้านตระกูลจีกันได้อย่างปลอดภัย

เมื่อคืนในบ้านตระกูลจีเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย บรรยากาศภายในจวนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว มองไปทางไหนก็จะเห็นบ่าวไพร่กระซิบกระซาบกัน ถ้าลองตั้งใจฟังก็ไม่ยากที่จะได้ยินโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในเรือนหลีฮวา แต่ไม่ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักก็ดี ฟู่เสวี่ยเยียนก็ดี หรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์ตาฮั่วเองนั้นไม่สนใจเรื่องภายในบ้านตระกูลจีสักนิด ต่างคนต่างกลับเขาเรือนของตนไป

เฉียวเวยออกไปส่งบุตรของตนเข้าเรียน

ท่านหมอหลูหลังจากบอกว่าการช่วยเหลือล้มเหลวแล้วก็หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านตระกูลจีไป ก่อนไปเขาได้เขียนใบสั่งยาปรับสมดุลร่างกายไว้ให้ และกำชับให้บ่าวไปจับยามาให้สวินหลันดื่มตามเวลา

บ่าวทั้งหลายปากก็ตอบรับ แต่จะต้มให้สวินหลันกินหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลังจากท่านหมอหลูกลับไปได้ไม่นาน เรือนลั่วเหมยก็ส่งคนมาเรียกจีซั่งชิงให้ไปพบเหล่าฮูหยิน เห็นได้ชัดว่าเรื่องเมื่อคืนไม่อาจพ้นสายตาของผู้อาวุโสท่านนี้ไปได้ จางมามาเป็นคนมาบอกเรื่องนี้กับนาง

ภายในห้องหลักของเรือนหลีฮวา สวินหลันนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สวมใส่อาภรณ์บางเบา ตรงกางเกงยังมีรอยเลือดให้เห็น เลือดเหล่านั้นราวกับได้สูบเอาเลือดทั้งตัวของนางไป ท่าทางดูเหี่ยวเฉา ไม่มีสีเลือดให้เห็นสักนิด

โจวมามาได้สติแล้ว พอรู้ว่าตนกระทำบาปอะไรลงไปก็เอาแต่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ ตบหน้าตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ระหว่างที่ตบยังพูดไปด้วยว่า “เป็นเพราะข้า! เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง! ข้าทำร้ายคุณชายน้อย! ข้าสมควรตาย! ข้าสมควรตาย!”

สวินหลันมองเข้าไปในกระจกด้วยใบหน้าเฉยชา คล้ายกำลังมองตนเองในกระจก แต่ก็คล้ายดูเหม่อลอย

โจวมามาคลานมาที่เท้าของสวินหลัน ร้องห่มร้องไห้เสียหน้าตาดูไม่ได้ นางคว้าชายกางเกงของผู้เป็นนายพลางบอกว่า “ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ… หากข้ารู้สักนิดว่าองค์หญิงตัวปลอมนั่นจะเบี่ยงหลบ…ข้าจะไม่มีวันเข้าไปเดินกระแทกนาง…ข้าคิดเพียงว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว…จะตายอย่างไรก็ต้องลากสักคนไปรองหลัง…คิดไม่ถึงว่า…ฮือ….ฮือ…”

โจวมามาทุบอกตัวเองพลางร้องโหยหวน

สวินหลันคล้ายไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย ยังคงมองเหม่อเข้าไปในกระจกอยู่อย่างนั้น

โจวมามาร้องไห้อยู่พักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดผู้เป็นนายก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักที นางเหลือบตาขึ้นมองก็ต้องตกใจกับใบหน้าที่ดำคล้ำราวกับขี้เถ้า เสียงร้องไห้พลันหยุดชะงัก นางคลานเข่าอ้อมไปตรงหน้าผู้เป็นนาง ยืดตัวขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความหวั่นใจ “ฮูหยิน ท่านอย่าไม่พูดอะไรสิเจ้าคะ ท่านอย่าทำบ่าวตกใจ…ท่านเสียใจก็อย่าเอาแต่ข่มกลั้นไว้…ท่านร้องไห้ออกมา…ท่านตีข้า…ท่านตีข้าเลย!”

นางพูดพลางคว้าข้อมือสวินหลัน เอามือของสวินหลันตบหน้าตนเองแรงๆ แต่สวินหลันเพียงทิ้งมือลงอย่างอ่อนแรง

โจวมามาตกใจมากจริงๆ นางคลานเข่าเข้าไปอีกหลายก้าว คว้าแขนผู้เป็นนายไว้ “ฮูหยิน ฮูหยินอย่าเป็นเช่นนี้สิเจ้าคะ…ลูกเดี๋ยวก็มีใหม่ได้…ท่านยังเด็ก…ต่อไปยังมีโอกาสมีลูกได้อีกหลายคน…”

ในที่สุดสวินหลันก็เอ่ยปาก “ไม่มีอีกแล้ว”

โจวมามาอึ้งงันไป ฮูหยินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าหลังจากนี้นางจะมีบุตรไม่ได้อีกแล้ว หรือว่า…ไม่มีโอกาสมีลูกให้นายท่านแล้ว

“ไม่หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน! ท่านยังสาว! ของเพียงตั้งใจบำรุงร่างกายให้ดี จะต้องรักษาสุขภาพกลับมาได้แน่! ตอนนั้นที่ท่านคลอดหลิวเกอร์ ท่านหมอก็ไม่ได้บอกว่าท่านจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้วหรอกหรือ? แต่ท่านดูสิ ท่านก็ตั้งครรภ์อีกได้นี่เจ้าคะ ท่านอย่าเพิ่งหมดหวังสิ…” พอเห็นสีหน้าสวินหลันไม่ไหวติงสักนิด โจวมามาก็พูดต่อว่า “หากท่านเป็นกังวลเรื่องนายท่านก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย นายท่านไม่มีทาง…”

ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

สวินหลันยังคงนิ่งเฉย กลับเป็นโจวมามาที่มองตามเสียงไป ประตูเปิดออก หรงมามาเดินหน้าเครียดเข้ามา สายตามองไปยังสวินหลันที่นั่งหันหลังให้ตน จึงได้เห็นสีหน้าดำคล้ำของสวินหลันจากในกระจก

จำต้องบอกว่า บางคนเกิดมาก็มีองค์เทพคอยประทานอาหารให้ ต่อให้รู้ว่าสตรีนางนี้กระทำเรื่องเลวทรามมามากมาย แต่เมื่อเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของนาง ในใจหรงมามาก็นึกทนดูไม่ได้ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แต่ไม่นานความรู้สึกทนไม่ได้นั้นก็มีสติเข้ามาแทนที่

หรงมามาบอกว่า “สวินซื่อ เหล่าฮูหยินมีคำสั่ง ให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วยาม ย้ายออกจากบ้านตระกูลจีไปเสีย”

โจวมามามองหรงมามาอย่างไม่อยากเชื่อ “ย้าย…ย้ายออกจากบ้านตระกูลจี? ไปที่ใด”

หรงมามามองบ่าวที่ทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่านจนถึงแก่ชีวิต นางไม่อาจปั้นสีหน้าดีๆ ให้ได้จริงๆ “เจ้าคิดว่าไปที่ใดได้เล่า”

โจวมามาเอ่ยด้วยความร้อนรน “เจ้าได้ยินมาผิดรึไม่ เหล่าฮูหยินกล่าวเช่นนี้จริงๆ หรือ ฮูหยินเพิ่งแท้งลูกมาหมาดๆ ร่างกายยังอ่อนแอเพียงนี้ จะขับออกนางจากบ้านในเวลานี้ได้อย่างไร เหล่าฮูหยินไม่มีทางทำเช่นนี้แน่! เจ้าต้องฟังผิดมาแน่ๆ!”

หรงมามาเอ่ยด้วยความรำคาญ “ถึงข้าจะอายุมากกว่าเจ้าหลายปีแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน เหล่าฮูหยินพูดอะไร ไม่พูดอะไร ข้ารู้ดีกว่าเจ้า! ไม่ต้องอ้อยอิ่งแล้ว รีบย้ายออกไปเถิด!”

โจวมามารีบลุกขึ้นยืน ก้าวเร็วๆ ไปกอดแขนอีกฝ่ายไว้ “พี่หรง ข้าผิดไปแล้ว ข้าพูดจากับใครเขาไม่เป็น เจ้าอย่าได้ถือสาข้าเลย! เจ้าใจเย็นก่อน! อาการของฮูหยินเป็นเช่นไรเจ้าก็เห็นอยู่ เจ้าช่วยขอร้องกับเหล่าฮูหยินให้ฮูหยินข้าหน่อยได้หรือไม่…”

หรงมามาเอามืออีกฝ่ายออก “หากรู้จะเป็นเช่นนี้ ไยจึงต้องทำเช่นนั้น”

โจวมามาเข้าไปจับไว้อีกครั้ง “เจ้าก็ช่วยไปขอร้องหน่อยสิ! ข้าขอร้องเจ้าล่ะพี่หรง ข้ายอมคุกเข่าให้เจ้าแล้ว!”

นางพูดพลางทรุดตัวลงไปคุกเข่าจริงๆ

หรงมามารีบดึงตัวนางขึ้น ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าขอร้องข้าจะมีประโยชน์อะไร ข้าก็เป็นเพียงบ่าว จะมีอำนาจก้าวก่ายการตัดสินใจของผู้เป็นนายหรือ”

ดังนั้นโจวมามาจึงไปที่เรือนถง แต่ก็จนใจเมื่อได้ยินบ่าวในเรือนถงบอกว่านายท่านไม่อยู่ โจวมามาเลยรีบไปที่เรือนลั่วเหมย เหล่าฮูหยินอยู่ที่เรือน แต่น่าเสียดายที่เหล่าฮูหยินไม่อยากพบหน้านาง

นางคุกเขาลงบนพื้นหินที่เมื่อครู่เพิ่งมีการสาดน้ำล้าง หัวเขานางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ร้องห่มร้องไห้ตะโกนบอกว่า “เหล่าฮูหยิน ท่านจะไล่ฮูหยินไปไม่ได้นะเจ้าคะ…ฮูหยินเพิ่งเสียบุตรไป…นางพังทลายไปหมดแล้ว…ท่านมาไล่ฮูหยินไปตอนนี้…เพราะอยากเอาชีวิตนางหรือ…เหล่าฮูหยินข้าขอร้องท่านแล้ว…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…ท่านช่วยมีเมตตาหน่อยเถิด…”