ตอนที่ 349-1 การตายของท่านเขย

หมู่บ้านหานอวี้เป็นถิ่นของจีอู๋ซวง เมื่อนานมาแล้วยังเคยเป็นสำนักใหญ่แห่งยุทธภพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก่อน ตอนหลังเมื่อจีอู๋ซวงยอมสวามิภักดิ์มาติดตามจีหมิงซิว จิตใจที่มุ่งมั่นในความเป็นใหญ่แห่งยุทธภพจึงค่อยๆ จางหายไป คนในสำนักก็ค่อยๆ หายกันไป จนถึงทุกวันนี้เหลือเพียงบ่าวไพร่ที่ไว้ทำงานจิปาถะทั่วไปเท่านั้น จำนวนคนในหมู่บ้านหานอวี้ก็มีไม่มาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหมู่บ้านนี้อยู่กันอย่างไร้ความระแวดระวัง ในทางกลับกันภายในหมู่บ้านมีค่ายกลติดตั้งกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด คนที่ไม่ชินทางมีโอกาสที่จะสิ้นชื่อจากค่ายกลได้ง่ายๆ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่จีอู๋ซวงไม่ได้รับสมัครองครักษ์ให้มากเกินไปนัก

วันนี้เป็นสือชีที่อยู่เฝ้าตรงสระเหมันต์

เยี่ยนเฟยเจว๋กลับไปที่ห้อง

ภายในห้อง จีอู๋ซวงตรวจชีพจรให้จีหมิงซิวจึงได้รู้ว่ายาเม็ดที่คราก่อนตนปรุงขึ้นนั้นมีฤทธิ์ในการรักษาฝ่ามือพิษได้น้อยลง “เกิดอะไรขึ้น เจ้าเดินกำลังภายในหรือ”

“อื้อ” จีหมิงซิวตอบรับเสียงเรียบ “ประมือกับมู่ชิวหยางไปครั้งหนึ่ง”

จีอู๋ซวงจึงบอกว่า “หลังจากนี้อย่าได้ต่อสู้อีกเลย ทุกครั้งที่เจ้าลงมือจะทำให้เลือดลมภายในเจ้ายิ่งสับสนวุ่นวายหนักขึ้น ตัวยาเลยยิ่งยากจะกดมันเอาไว้ได้” พอเห็นสีหน้าจีหมิงซิวดูไม่ใส่ใจจึงรู้ทันทีว่าเขาไม่สนใจคำเตือนของตน “เอาเถิด พูดกับเจ้าไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าเคยฟังข้าเสียเมื่อไร พี่น้องตระกูลมู่ใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันกันได้ทั้งสิ้น การตายขององค์หญิง แปดส่วนคงต้องเกี่ยวข้องกับจวนมู่อ๋องเป็นแน่”

จีหมิงซิวไม่อาจปฏิเสธได้

จีอู๋ซวงจึงเอ่ยต่อว่า “ฝ่ามือเก้าสุริยันของเจ้าฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว”

จีหมิงซิว “ขั้นสี่”

จีอู๋ซวงพยักหน้า “ในตำราลับใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว เวลานี้ตามหาพี่น้องตระกูลมู่พบแล้ว อีกสี่ขั้นที่เหลือก็ไม่น่าจะอีกไกล หากเจ้าโชคดี ฝ่ามือเก้าสุริยันของพวกเขาฝึกไปถึงขั้นที่เก้าแล้ว เวลานี้ก็น่าจะแก้ฝ่ามือพิษในตัวเจ้าได้แล้ว”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องแก้พิษไว้ค่อยว่ากัน”

จีอู๋ซวงเอ่ยด้วยความจนใจ “เจ้าน่ะต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังไม่สะทกสะท้าน”

จีอู๋ซวงเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “ร้อนรนไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าร้อนใจกันมาตั้งหลายปีเพียงนั้น ได้หนทางแก้ไขกลับมาด้วยหรือ”

คำพูดนี้ถือว่ากล่าวได้ถูกต้อง ตั้งแต่ลั่นคำสัตย์สาบานเลือดกับจีหมิงซิวเป็นต้นมา พวกจีอู๋ซวงก็คิดทำทุกวิถีทางที่จะแก้ฝ่ามือพิษในตัวเขา แต่ต่อให้พวกเขาเคร่งเครียดกันจนผมแทบขาว ทุกอย่างก็ยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี แต่ผลที่ได้เป็นเรื่องหนึ่ง สภาพจิตใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นายน้อยยังคงเฉยชาไม่ว่าภูเขาไท่ซานจะถล่มลงตรงหน้าได้อย่างไร เขานึกอยากรู้ยิ่งนัก

จีหมิงซิวรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กว่าตนไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น มารดาของตนไม่ใช่ภรรายาตามแบบฉบับทั่วไป ความไม่ธรรมดานั้นไม่ได้มาจากฐานะของนางที่เป็นองค์หญิง แต่เกิดจากในคืนที่เงียบสงัดไร้ผู้คน นางยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เหม่อมองไกลออกไป ความสลดหดหู่ใจที่เผยออกมาทางสีหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจของนางทำให้จีหมิงซิวรู้สึกคล้ายมารดาช่างอยู่ห่างไกลตนเหลือเกินขึ้นมาทันที

เขามักพยายามที่จะไขว่ขว้านางไว้ แต่ในปีที่เขาอายุสิบปี เขาก็ยังสูญเสียนางไปอยู่ดี

เขามองมารดาที่นอนตัวเย็นชืดอยู่ในโลงศพ ท่าทางเงียบสงบนั้นคล้ายว่าแค่เพียงหลับไป แต่เขาเฝ้ารออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเสียที

หลังจากผ่านการรอคอยและผิดหวังเช่นนั้นมา เขาก็ได้รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องใด…ที่ตนอดทนรอไม่ได้อีกแล้ว

ปัง!

ระหว่างที่อยู่ในภวังค์ความคิด จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดจนเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงโดยแรง จีอู๋ซวงตกใจจนสะดุ้งโหยง หันไปมองสือชีที่พุ่งเข้ามาราวกับลมหอบแล้วขมวดคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

สือชีจับมือจีหมิงซิวเดินออกไปข้างนอก

จีอู๋ซวงตามไป

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่ห้องติดกันได้ยินเสียงเลยสะดุ้งตื่น กระชับอาวุธลับวิ่งออกมา “มีอะไรๆ”

สือชีพาพวกเขาไปที่สระเหมันต์

ในสระเหมันต์ที่ส่องประกายไม่มีร่างผู้ใดให้เห็นอีก ฉินปิงอวี่นอนหงายอยู่บนพื้นไม้แข็งเย็น สีหน้าม่วงคล้ำ มุมปากมีฟอง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดจากการถูกพิษ

จีอู๋ซวงรีบก้าวเข้าไปย่อตัวลงข้างๆ สำรวจลมหายใจเขาก่อนจะจับชีพจรที่คอแล้วส่ายหน้า “ตายแล้ว”

เยี่ยนเฟยเจว๋ตกใจ “ตายได้อย่างไร มีใครมาที่นี่หรือ”

สือชีสีหน้างงงวย

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมา แต่กลับสังหารฉินปิงอวี่ที่อยู่ปลายจมูกพวกเขาได้

วิทยายุทธของสือชีนับว่าสูงมากแล้ว หลังจากกินผลสองภพเข้าไปสองลูกเพื่อเพิ่มวรยุทธ์ก็ยิ่งล้ำเลิศขึ้นไปใหญ่ เยี่ยนเฟยเจว๋ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่ลงมือใต้สายตาของสือชีได้

จีหมิงซิวถามสือชี “เมื่อครู่มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

สือชีชี้ไปยังนกตายตัวหนึ่งที่อยู่ในสระ

จีอู๋ซวงรีบเอาตาข่ายตักตัวนกตายตัวนั้นขึ้นมา นี่เป็นนกกระจอกธรรมดาๆตัวหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้มีตรงใดพิเศษ แต่ตัวมันแข็งเกร็ง ตรงขาเขียวคล้ำ เห็นชัดว่าถูกพิษมา จีอู๋ซวงมองนกที่อยู่ในตาข่ายแล้วหันไปมองฉินปิงอวี่ที่สิ้นลมหายใจไปแล้วก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “วิหกปลิดชีพ?”

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นอย่างนึกสนุกว่า “ให้นกคาบเอายาพิษมา นับเป็นวิธีการที่ไม่เลวจริงๆ”

ถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ติดภูเขาแม่น้ำ มีฝูงนกบินไปมาตลอดทั้งปี ใครจะมาระวังนกกระจอกตัวหนึ่งเช่นนี้”

เยี่ยนเฟยเจว๋เอ่ยด้วยความเสียดาย “ให้ตายสิ เหตุใดถึงมาตายเสียแล้ว ถึงจะไม่เสียดายที่เขาตาย แต่อย่างน้อยบอกมาให้หมดก่อนแล้วค่อยตายสิ!”

จีอู๋ซวงเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ดูท่าคงมีคนไม่อยากให้เขาพูดมันออกมา”

เยี่ยนเฟยเจว๋ส่ายหน้า “คนผู้นั้นรู้ว่าเขาพูดไปครึ่งหนึ่งเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง?”

“เรื่องนี้…” จีอู๋ซวงพูดต่อไม่ถูก การไม่ระวังนกตัวหนึ่งนับเป็นสิ่งไม่คาดคิดในสิ่งไม่คาดฝัน แต่คนไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในสระเหมันต์ได้ หากเข้ามาจะต้องถูกสือชีพบเข้าแน่นอน

จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “อาจจะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไป แต่ตัวข้ามาถึงที่นี่แล้ว อีกฝ่ายน่าจะเดาได้ว่าเขาคิดจะสารภาพ หากเขายังไม่สารภาพก็ดีที่สุด แต่หากเขาสารภาพไปแล้ว ก็จะใช้ข้ออ้างในการเป็นผู้ทรยศกำจัดเขาได้พอดี”

“เช่นนั้นเวลานี้จะทำอย่างไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม “เขาตายแล้ว พวกเราไม่มีวันรู้อีกแล้วว่าความลับที่เขาจะบอกคืออะไร”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานใส “มีคนไม่อยากให้พวกเรารู้ คนที่ไม่อยากให้พวกเรารู้ความลับก็เป็นคนที่รู้ความลับนั้นไม่ใช่หรือ”

จีอู๋ซวงพยักหน้าเห็นด้วย ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายลงมือช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ฉินปิงอวี่ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเผยความลับข้อใหญ่ที่สุดออกมาแต่กลับเปิดเผยเงื่อนงำที่จะนำไปสู่ความลับนั้นมาให้แล้ว ฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังจะต้องอยู่ในคนสามสี่คนที่เขาเอ่ยถึงเมื่อวานเป็นแน่ “ข้าจะไปส่งข่าวให้ไห่สือซานให้รีบตามล่าตัวฆาตกรมาให้ได้ หลังจากนี้นายน้อยวางแผนไว้อย่างไร”

“กลับเมืองหลวง”

ภายในรถม้าที่ร้อนระอุ มู่ชิวหยางหลับตาพักผ่อน

จู่ๆ หลินชวนก็เลิกผ้าม่านเข้ามา “ซื่อจื่อ”

มู่ชิวหยางหลับตาถามอย่างเกียจคร้าน “มีเรื่องอะไร”

หลินชวน “พวกเราสืบทราบมาว่า จีหมิงซิวออกจากหมู่บ้านหานอวี้แล้วขอรับ”

สีหน้ามู่ชิวหยางไม่เปลี่ยนไปมากนัก “มุ่งหน้าไปทางใด”

“ดูเหมือนจะเป็นเมืองหลวง” หลินชวนตอบ

“เขาจะกลับเมืองหลวงแล้ว?” มู่ชิวหยางลืมตา “เร็วเพียงนี้เชียว”

หลินชวนบอกว่า “ใช่น่ะสิขอรับ ซื่อจื่อ เขากำลังจะกลับมาแล้ว แต่คุณหนูยังอยู่ในบ้านตระกูลจีอยู่เลย พวกเราควรทำเช่นไร”

มู่ชิวหยางเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “จะรอถึงเขากลับมาไม่ได้ แค่จั๋วหม่าน้อยจากชนเผ่าลึกลับคนเดียวก็จัดการยากพอแล้ว ถ้ามีโหราจารย์เข้ามาอีกคนน่ากลัวว่าชาตินี้พวกเราคงพาตัวนางกลับไปไม่ได้แล้ว เจ้าไปสั่งการทางนู่นทีว่าให้รีบลงมือเดี๋วยนี้”

“ขอรับ”