ตอนที่ 349-2 การตายของท่านเขย

หน้าร้อนปีนี้ดูเหมือนจะร้อนอบอ้าวกว่าปีก่อนๆ อยู่เล็กน้อย ระหว่างนั้นมีฝนตกลงมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ช่วยให้อากาศเย็นขึ้น ดอกไม้ในสนามถูกแสงแดดแผดเผาจนพากันคอตก แสงอาทิตย์ที่ส่องตรงลงมายังพื้นดินทำให้กระทั่งภาพทิวทัศน์ดูบิดเบี้ยวซ้ำยังสั่นไหวเล็กน้อยอีกด้วย

“ให้ตายสิ ร้อนจะตายอยู่แล้ว!” เฟิ่งชิงเกอนอนแผ่อยู่ในห้องของเฉียวเวย มือกอดกระบะน้ำแข็งพยายามดับร้อนเต็มที่

เฉียวเวยเองก็ร้อนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน อาภรณ์ในสมัยโบราณใส่ทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า แขนขาไม่มีได้ออกมาเจออากาศ แม้แต่นิ้วเท้าก็ยังต้องห่อพันเอาไว้ ร้อนจนแทบทนไม่ไหว

ปี้เอ๋อร์หิ้วน้ำจากบ่อมาสองถัง

เฟิ่งชิงเกอไม่พูดพร่ำทำเพลง เอาหน้าจุ่มลงไปทันที

นางในตอนนี้ย่อมไม่ใส่หน้ากาก

เรื่องนี้จะโทษนางไม่ได้ เป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปจริงๆ นางทนใส่หน้ากากไม่ไหวถึงได้มาหลบร้อนอยู่กับเฉียวเวยที่นี่

เฉียวเวยปรายตามองอีกคนในห้อง “เจ้ามาอยู่กับข้าบ่อยๆ เช่นนี้ไม่กลัวพ่อสามีข้ามาเจอเข้าหรือ”

เฟิ่งชิงเกอเงยหน้าพลางถอนหายใจด้วยความสบาย “ข้าชอบเจ้านี้ เขาจะมาเจออะไรได้”

เฉียวเวยถามปี้เอ๋อร์ว่า “พ่อสามีข้าเล่า”

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “ไปที่เรือนหลีฮวาแล้วเจ้าค่ะ”

พ่อสามีผู้นี้นี่นะ ช่วงนี้ออกจะไปที่เรือนสวินหลันบ่อยไปแล้ว…

เรือนหลีฮวา สวินหลันกับจีซั่งชิงนั่งรับลมกันอยู่ในห้อง เพราะนึกถึงสุขภาพของนาง จีซั่งชิงจึงไม่อนุญาตให้นางใช้น้ำแข็ง แต่กลายเป็นว่าพอถึงตอนกลางวันก็ร้อนจนเป็นลมไป พอดีว่าเจาหมิงไม่อยู่ จีซั่งชิงเลยรีบมาดูนาง

โจวมามาป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ที่เรือนบ่าวด้านหลัง เวลานี้จึงเป็นหงเหมยที่มารับใช้ใกล้ชิดแทน

จีซั่งชิงให้หงเหมยเอาน้ำแข็งเข้ามาสองกะละมัง ในห้องเลยค่อยๆ เย็นขึ้น แต่ก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองยังคงเหงื่อไหลกันไม่หยุดอยู่ดี

สวินหลันไปเปิดหน้าต่าง แต่ลมที่พัดเข้ามากลับเป็นเพียงลมร้อน หน้านางจึงพลันซีดขาว จับโต๊ะพยุงตัวไว้อย่างอ่อนแรง

จีวั่งชิงรีบเดินเข้าไปหา “เป็นอะไรไป จะเป็นลมแดดอีกแล้วหรือ”

“รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย” สวินหลันตอบอย่างอ่อนแรง

จีซั่งชิงประคองสวินหลันกลับไปยังเตียงที่ปูเสื่อเย็นไว้ ปลดเสื้อตัวนอกให้นางรู้สึกเย็นขึ้นสักนิด ขนตาสวินหลันสั่นไหว จับมือเขาไว้ “ข้าทำเอง”

จีซั่งชิงเลยรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน แต่ตั้งแต่สวินหลันกลับมา เวลาเขาอยู่ต่อหน้าสวินหลันก็มักรู้สึกไม่เหมือนเดิม

สวินหลันค่อยๆ ปลดกระดุมออกสองเม็ด

จีซั่งชิงเหลือบไปเห็นเนินอกของนางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจจึบรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พอดีว่าในตอนนั้นหงเหมยเอาฝักบัวสดๆ เข้ามา “นายท่าน ฮูหยิน”

“ไปเอามาจากไหน” จีซั่งชิงถาม

หงเหมยระบายยิ้ม “จางมามาไปเด็ดมาเจ้าค่ะ นางบอกว่าฝักบัวในทะเลสาบสุกหมดแล้ว ตรงทะเลสาบนับว่าเย็นมากอยู่เจ้าค่ะ!”

ในทะเลสาบมีเงาไม้ปกคลุมอยู่ส่วนหนึ่ง ใต้เงาไม้นั้นมีลมเย็นพัดอ่อนๆ พอตกเย็นจึงถือว่าเย็นกว่าในสนามมากจริงๆ

สวินหลันลุกขึ้นนั่ง หยิบเอาฝักบัวไปเด็ดเม็ดบัวออกมาแล้วยื่นไปป้อนให้เขา

จีซั่งชิงกระแอมเบาๆ

สวินหลัน “ไม่กินหรือ?”

“กิน กิน” จีซั่งชิงกินเม็ดบัวนั้นลงไป ในใจคิดว่าภาพนี้จะให้เจาหมิงมาเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจาหมิงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่ เพราะรู้สึกผิดเกินไป จึงไม่ค่อยรับรู้รสชาติของเม็ดบัวที่กินลงไปเท่าไรนัก

สวินหลันวางฝักบัวลง “ท่านควรกลับไปได้แล้ว หากยังไม่กลับไปอีกองค์หญิงจะไม่พอใจเอาได้”

จีซั่งชิงลุกขึ้น พอกวาดสายตามองไปก็ดันเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าอีก เขากระแอมเบาๆ แล้วเบือนหน้าหนี “ข้าควรกลับได้แล้ว…เจ้า…เจ้าดูแลตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรก็ให้คนไปเรียกข้า”

“อื้อ” สวินหลันตอบรับเรียบๆ แล้วหยิบฝักบัวขึ้นมาดึงเล่น

จีซั่งชิงเห็นท่าทางห่อเหี่ยวของนางแล้วรู้สึกทนไม่ได้ จึงถอนหายใจบอกว่า “ข้าไปเดินเล่นตรงริมทะเลสาบเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน ที่นั่นอากาศเย็นหน่อย”

ส่วนเฟิ่งชิงเกอที่อยู่ในบ้านชิงเหลียนก็กำลังร้อนจนหนังแทบสุก นางลากเฉียวเวยกับพวกใต้เท้าเจ้าสำนักไปที่เรือเริงรมย์

พระอาทิตย์กำลังร้อนจัด เรือเริงรมย์จอดนิ่งอยู่ใต้เงาไม้ตรงริมตลิ่ง เฟิ่งชิงเกอให้คนเอาไพ่มาวาง นางวางหมากไม่เก่ง แต่เรื่องเล่นไพ่กลับพอมีฝีมืออยู่บ้าง

เฉียวเวยกับนางนั่งตรงข้ามกัน ฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งตรงข้ามกัน เฉียวเวยกับฟู่เสวี่เยียนเป็นคนที่เห็นอะไรแล้วจำได้ด้วยกันทั้งคู่ ใครลงไพ่อะไรไป ในมือเหลือไพ่อะไรบ้างพวกนางรู้ดีกันหมด เฟิ่งชิงเกอก็มีฝืมือพอใช้ หลังจากเล่นไปครบรอบ อีกสามคนชนะ ใต้เท้าเจ้าสำนักแพ้อยู่คนเดียว เงินที่จีหมิงซิวให้ไว้ใช้ก่อนเดินทางไปเลยเสียไปจนหมดตัว!

ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าตาบูดบึ้ง แต่ไม่นานหน้าเขาก็ยิ่งบึ้งหนักเข้าไปอีก

จีซั่งชิงมาเดินเล่นรับลมเย็นกับสวินหลันที่ริมทะเลสาบ ไหนเลยจะคิดว่าจะได้มาเจอกับพวกเจาหมิง เขาเกือบคิดจะวิ่งหนีไปแล้ว แต่ในตนนั้นสายตาของบุตรชายมองมาพอดี

ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าตาบูดบึ้ง “เจ้ามาทำไม”

เมินเฉยต่อสวินหลันที่อยู่ข้างเขาไปโดยสิ้นเชิง

จีซั่งชิงกระแอมเบาๆ ด้วยความประดักประเดิด “ข้ามาเดินเล่นน่ะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถึงได้เลื่อนสายตาไปมองสวินหลันที่อยู่ข้างกายเขาแล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “มาเดินเล่นกับนาง? เจ้าเห็นแม่ข้าเป็นอะไร ถึงว่าท่านแม่ข้ากลับมาตั้งนานเพียงนี้เจ้าก็เอาแต่ปิดบังคนในบ้าน ปิดบังคนนอกบ้าน ที่แท้ไม่ใช่เพราะกลัวว่าท่านแม่ข้าจะถูกคนจับตัวไปหรอก แต่เพราะคิดจะอยู่ครองคู่กับแม่ดอกหญ้าของเจ้าคนนี้สินะ!

เขาย่อมรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเกอเป็นตัวปลอม แต่การได้ประชดประชันคนตระกูลจีหน้าโง่สักนิดก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย!

เฟิ่งชิงเกอดึงผ้าเช็ดหน้าตรงอกเสื้อขึ้นมาอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่ พูดเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ซั่งชิงเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าไปหาแม่ดอกหญ้าลับหลังข้า เจ้าทำข้าเสียใจมาก…”

จีซั่งชิงก้าวเร็วๆ ไปที่เรือเริงรมย์แล้วจับมือเฟิ่งชิงเกอไว้ “ขอโทษด้วยนะเจาหมิง ข้าไม่ได้ตั้งใจ นางเป็นลมไปข้าถึงได้ไปดูนาง ข้ากับนางไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น เจ้าเชื่อข้านะ”

เฟิ่งชิงเกอสะอื้นต่อ “เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าห้ามไปหานางอีก! ห้ามพูดคุยกับนางด้วย! และยิ่งห้ามมาเดินเล่นกับนาง! ข้าไม่ชอบ!”

จีซั่งชิงถึงกับเป็นใบ้พูดไม่ออก

“ฮือๆๆ… เจ้ามีแม่ดอกหญ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว…สู้ข้าไม่กลับมาเสียยังดีกว่า…ข้าไปล่ะ…ข้าจะกลับสวรรค์แล้ว…ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก…” เฟิ่งชิงเกอร้องห่มร้องไห้จะเดินลงไป

จีซั่งชิงพลันร้อนรน รีบจับแขนนางไว้ “ก็ได้ๆๆ ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทั้งหมด เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย”