ตอนที่ 350-1 ท่านพ่อจีถูกกดขี่

สถานะของสวินหลันในบ้านตระกูลจีเวลานี้ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อย ผู้อาวุโสไม่ชอบหน้า พี่น้องไม่รักเอ็นดู บ่าวไพร่ก็คอยจิกจิ้ม มีแค่จีซั่งชิงเท่านั้นที่คอยคุ้มครองนาง แต่จีซั่งชิงก็มี “เจาหมิง” เป็นบ่วงพันธนาการเสียอีก ไม่เกินไปสักนิดที่จะกล่าวว่าสวินหลันอยู่ในจุดที่ไม่เป็นที่ต้อนรับเอาเสียเลย เฉียวเวยไม่รู้ว่านางอดทนมาได้อย่างไร หากเป็นตนยังไม่แน่ว่าจะทำได้เช่นนี้

นิสัยใจคอของสวินหลันเป็นเช่นไรคงพอวิเคราะห์ได้แล้ว

สวินหลันไม่พูดอะไรสักคำ เดินออกจากทะเลสาบไปเงียบๆ

เฉียวเวยดึงสายตากลับไปมองจีซั่งชิงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง นางเห็นชัดเจนว่าบนหน้าจีซั่งชิงมีแววรู้สึกผิดปรากฏให้เห็น

จึ๊ พ่อสามีผู้นี้ต้องคิดว่าสวินหลันกำลังเสียใจแทบสลาย แต่เพราะไม่กล้าทำให้องค์หญิงไม่พอใจถึงได้เดินจากไปเงียบๆ เขาคงไม่นึกเอะใจเลยว่าสวินหลันไม่คิดอยากครองคู่กับเขามาตั้งแต่แรก อยากจะเห็นเขาถูกเจาหมิงเหนี่ยวรั้งเอาไว้ข้างกายแทบทนไม่ไหวแล้วกระมัง

เฟิ่งชิงเกอแสดงบทโศกไปยกหนึ่ง หากว่าตามที่นางบอกคือนางกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จำเป็นต้องบำรุงดูแลอย่างดี ดังนั้นห้องครัวจึงยุ่งวุ่นวายกันขึ้นมา

เรื่องนี้ย่อมไม่ผ่านไปง่ายเพียงนั้น เฟิ่งชิงเกอไม่สนใจจีซั่งชิงเลยทั้งวัน จวบจนเวลาค่ำ จีซั่งชิงจะขึ้นมานอนเตียงเดียวกับนาง นางก็ถีบเขาตกไปทันที “เจ้าไปหาแม่ดอกหญ้าของเจ้านู่น! ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าอีกแล้ว!”

เหตุผลนี้ทรงอานุภาพกว่า “พวกเราเป็นดอกโบตั๋นที่บอบบาง เจ้าห้ามแตะต้องข้า” กับ “ข้าจะบำเพ็ญตนแล้ว เจ้าห้ามรบกวนข้า” มากนัก

จีซั่งชิงรู้ตัวดี จึงหอบเอาผ้าห่มไปลงนอนบนพื้นอย่างสงบเงียบ

เฟิ่งชิงเกอเกิดความคิดชั่วร้าย ตั้งใจถลกแขนเสื้อขึ้นมาให้เห็นแขนขาวผ่องส่องประกายของตน

จีซั่งชิงเห็นท่อนแขนที่ขาวผ่องนั่นกวัดแกว่งไปมาต่อหน้าตนก็รู้สึกเพียงปากคอแห้งผากไปหมด

เฟิ่งชิงเกอกระตุกมุมปาก พลิกตัวหันหลังให้เขา ลากชายเสื้อขึ้นมาคล้ายไม่ได้ตั้งใจจนเห็นเอวบางที่ไร้ส่วนเกินของตน จีซั่งชิงเห็นแล้วเลือดในกายพลุ่งพล่านไปหมด ขยับลุกขึ้นนั่ง ท่าทางเหมือนพร้อมจะโผเข้ามาขย้ำเฟิ่งชิงเกอได้ตลอดเวลา เฟิ่งชิงเกอหันไปมอง สีหน้าดูโกรธเกรี้ยว “ห้ามเข้ามานะ! บนตัวเจ้ามีไอมารร้ายจากตัวแม่ดอกหญ้าอยู่ ไอมารร้ายของนางแผดเผาใบของข้า เดี๋ยวข้าจะบาดเจ็บเอาได้!”

จีซั่งชิงกลับลงนั่งด้วยสีหน้าทุกข์ทรมานเหลือแสน

เฟิ่งชิงเกอยืดเอวบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง แน่นอนว่าไม่ใช่การบิดขี้เกียจจริงๆ แต่เป็นการบิดตัวเล็กน้อย คล้ายงูสาวงามที่มากล้นด้วยเสน่ห์ ยั่วยวนจนจีซั่งชิงร้อนรุ่มจนตัวแทบระเบิด

“เจาหมิง…” เขารวบรวมกำลังใจเดินเข้ามา ตัดสินใจว่าไม่ว่าเจาหมิงจะว่าอย่างไร เขาจะปฏิบัติกิจฉันสามีภรรยาเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ใครจะรู้ว่าพอดึงตัวเจาหมิงให้หันมาก็เห็นว่าเจาหมิงน้ำตานองหน้า เขาร้อนรนขึ้นมาทันที “เจาหมิงเจ้าเป็นอะไรไป”

เฟิ่งชิงเกอร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า จับหน้าอกเอ่ยว่า “ข้า…ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…แค่ข้าคิดว่าเจ้ากับแม่ดอกหญ้านั่นอยู่ด้วยกัน…ตรงนี้ของข้า…ตรงนี้ของข้าก็รวดร้าวไปหมด…ฮือๆๆๆ…”

จีซั่งชิงได้ยินก็ถึงกับใจสลาย ทั้งสุขใจที่ในใจเจาหมิงมีเขา แต่ก็รู้สึกผิดเพราะตนทำให้เจาหมิงเสียใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางอย่างไรดี ได้แต่เงอะๆ งะๆ เอ่ยว่า “อย่าเสียใจไปเลย…ข้าไม่ได้รับปากเจ้าแล้วหรือว่าต่อไปจะไม่ไปอยู่กับนางอีก….”

เฟิ่งชิงเกอร้องไห้สะอึกสะอื้น “แต่บุรุษอย่างพวกเจ้าชอบกล่าววาจากลับกลอกที่สุดแล้ว”

“ใครบอกเจ้าอย่างนั้น” จีซั่งชิงมองนางด้วยสายตาประหลาด ด้วยสติปัญญาของเจาหมิงในเวลานี้ น่ากลัวว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมาเองไม่ได้

เฟิ่งชิงเกอตาพลันมีประกาย “องค์…องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่บอกข้า!”

แปดส่วนคงเป็นบ่าวคนใดที่ปากมากแล้วเจาหมิงไปได้ยินเข้าเป็นแน่ จีซั่งชิงเอ่ยปลอบ “ที่ข้าพูดเป็นความจริง”

เป็นจริงสิแปลก หากคำพูดบุรุษเชื่อถือได้ แม่หมูก็คงคิดเลขเป็นแล้ว!

เฟิ่งชิงเกอกระตุกมุมปากอย่างชั่วร้าย เอนกายไปพิงซบกับอกเขา ลำตัวที่อ่อนนุ่มและหอมกรุ่นของนางอิงแอบเข้ากับอกของจีซั่งชิง แผงอกของเขาร้อนระอุขึ้นมาทันที เฟิ่งชิงเกอทำเสมือนไม่รับรู้ว่าตนได้จุดไฟขึ้นมาแล้ว บิดตัวที่อ่อนนุ่มของตนขณะถามว่า “ซั่งชิงเจ้าช่างดีเหลือเกิน เจ้าเป็นบุรุษที่ดีเลิศที่สุดในปฐพีนี้ พวกเรามาให้กำเนิดโบตั๋นดอกน้อยกันเถิด!”

จีซั่งชิงมองเฟิงชิงเกออย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า…เจ้าๆๆ…เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

เฟิ่งชิงเกอถามอย่างน่าสงสารว่า “เจ้าไม่อยากให้กำเนิดโบตั๋นน้อยกับข้าหรือ”

จีซั่งชิงยินดียิ่งนัก “อยาก! ต้องอยากสิ!”

รอมานานเพียงนี้ ในที่สุดพอเมฆหายก็เห็นฟ้ากระจ่างเสียที ไม่มีเรื่องใดน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว!

เฟิ่งชิงเกอเอ่ยด้วยความขวยเขิน “ยามข้าผสมเกสรข้าจะเขินมาก เจ้าให้คนในเรือนออกไปให้หมดที”

ผสมเกสร เจาหมิงของข้าน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว!

จีซั่งชิงเดินออกจากห้องไปด้วยหน้าตาที่สดใส เขาไล่บ่าวไพร่ทุกคนออกไป บอกว่าคืนนี้พวกเขาไม่ต้องกลับมาอีก

“เจาหมิง!” เขาตื่นเต้นจนเดินยังเหมือนเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ

เฟิ่งชิงเกอพูดเสียงหนีบว่า “ข้าไม่อยากอยู่ในห้อง ข้าอยากไปผสมเกสรที่สนามจะได้หรือไม่”

นี่ นี่ นี่คืออยากจะเข้าจังหวะกลางแจ้ง?

ตื่นเต้นไปแล้ว จีซั่งชิงถึงกับหายใจไม่ค่อยสะดวก

เฟิ่งชิงเกอถามเสียงนุ่มว่า “เจ้าไปเตรียมตัวก่อน ข้าเปลี่ยนชุดเสร็จจะตามออกไป”

จีซั่งชิงออกไปที่สนามทันที เขาไปหามุมในร่มไม้เหมาะๆ รอบด้านเต็มไปด้วยดอกไม้ กิ่งไม้ใบไม้รกหนาเหนือศีรษะมีแสงจันทร์ส่องลอดลงมา นอกจากยุงที่อกจะเยอะไปหน่อยแล้ว ก็แทบจะไม่มีเรื่องไหนให้ติติงอีก

จีซั่งชิงถอดเสื้อผ้าออกลวกๆ จนเหลือเพียงกางเกงด้านในตัวเดียว

หลังจากนั้นครึ่งเค่อ เฟิ่งชิงเกอก็ออกมา เนื้อตัวห่อห่มแน่นหนา เดินเข้าไปนั่งลงข้างหน้าเขา “เรียบร้อยแล้ว เจ้าก็นั่งลงสิ คืนนี้มีลม เจ้าพัดเกสรเจ้ามาใส่กายข้าได้แล้ว ไว้ข้าผสมเกสรเสร็จก็สามารถให้กำเนิดโบตั๋นน้อยให้เจ้าได้แล้ว”

จีซั่งชิงตาค้าง ที่เจ้าบอกว่าผสมเกสรคือการผสมเกสรจริงๆ อย่างนั้นหรือ…

ใจหวิวไปหมดแล้ว…

การผสมเกสรในสวนโดยไม่ใส่เสื้อผ้านั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทานทนเพียงใดหนอ ไม่เพียงต้องเป็นเหยื่อให้ยุง แต่ยังต้องเป็นเหยื่อแมลงทั้งหลายอีกด้วย

จีซั่งชิงถูกกัดจนตุ่มขึ้นเต็มตัว

“เจาหมิงพวกเราเข้าข้างในกันเถิด…”

“เจ้าไม่อยากให้กำเนิดโบตั๋นน้อยกับข้าหรือ ข้าเสียใจยิ่งนัก!”

จีซั่งชิงแทบอยากจะเป็นบ้า

บ้านชิงเหลียน เฉียวเวยอาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปดูเด็กน้อยทั้งสามที่ห้องด้านข้าง อากาศร้อนกว่าปีที่ผ่านมา ยุงริ้นไรใดๆ ก็มากขึ้นกว่าปกติ แต่เพราะมีเสี่ยวไป๋ที่เหมือนยากันยุงตามธรรมชาติอยู่ ภายในห้องจึงไม่มียุงให้เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว

ไม่มียุง แต่กลับมีอย่างอื่นแทน

ครึ่ก…

ประตูถูกเปิดออก

เสี่ยวไป๋รีบเอาของบางอย่างยัดลงใต้เตียง

เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างจับผิด “เจ้าซ่อนอะไรไว้อีกแล้ว”

เสี่ยวไป๋ส่ายหาง

ไม่ได้ซ่อนๆ ไม่ได้ซ่อนอะไรทั้งนั้น!

เฉียวเวยเห็นมันท่าทางมีพิรุธ ไม่ซ่อนสิแปลก “ต้าไป๋!”

ต้าไป๋วิ่งฉิวแล้วกระะโจนเข้าไปใต้เตียงแล้วจับงูพิษตัวอวบอ้วนน่าอร่อยตัวหนึ่งออกมา

เฉียวเวยพลันขนตั้ง “เจ้าเลี้ยงงูไว้ในห้องอีกแล้ว!”

เสี่ยวไป๋ขนลุกซู่ หวาดกลัวจนมุดเข้าไปใต้เตียง

เฉียวเวยกัดฟันกรอด “เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”

ไม่ออก เป็นตายยังไงก็ไม่ออก

“ข้าจะถามอีกรอบหนึ่ง จะออกมาไหม”

ไม่ออกหรอก! เก่งนักก็เข้ามาเองสิ!

เจ้าตัวดี เสร็จแน่

เฉียวเวยหรี่ตาเดินเข้าไปยกเตียงขึ้น

เสี่ยวไป๋: …

เสี่ยวไป๋ถูกซ้อมจนสภาพดูไม่จืด เดินกะโผลกกะเผลกไปที่ห้องใต้เท้าเจ้าสำนัก ทิ้งตัวลงนอนข้างใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกซ้อมจนสภาพบอบช้ำเหลือแสนเช่นกัน มันเปรียบเทียบรอยบอบช้ำตามตัวของมันกับคนบนเตียง พอเห็นว่าส่วนบอบช้ำของตนน้อยกว่าอีกฝ่าย เลยสบายใจขึ้นมาทันที

เสี่ยวเวยอย่างไรก็ยังรักข้าอยู่

วันต่อมายังคงร้อนอบอ้าวเช่นเดิม เฉียวเวยเอาเสื้อชั้นกลางออกไปให้เด็กๆ ใส่แค่อาภรณ์ชั้นเดียวบางๆ การแต่งกายเช่นนี้ออกจะไม่เหมาะสมกับกฎเกณฑ์เท่าไรนัก แต่จะสนใจมากเช่นนั้นคงไม่ได้ ที่นางไม่รู้ก็คือ ซาลาเปาน้อยทั้งสามได้สร้างกระแสใหม่ หลังจากนั้นเด็กทั้งสำนักศึกษาก็เริ่มใส่แค่เสื้อผ้าชั้นบางๆ กันบ้าง