ตอนที่ 350-2 ท่านพ่อจีถูกกดขี่
อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้หลายคนความอยากอาหารน้อยลงเล็กน้อย จิ่งอวิ๋นกินข้าวต้มถั่วเขียวไปครึ่งถ้วยแล้วก็ไม่กินอย่างอื่นอีก วั่งซูกินบะหมี่ไปหนึ่งชาม ไข่หนึ่งฟอง ซาลาเปาสองลูก น่องไก่หนึ่งน่อง ผักต้มหนึ่งจานแล้วก็ไม่กินอะไรอีก
หลิวเกอร์กลับกินข้าวต้มหมดไปหนึ่งชาม แต่ยังไม่ทันเดินออกจากเรือนก็อาเจียนโอ้กออกมาแล้ว
เป็นหวัดแดดเสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้เลยไปเข้าเรียนไม่ได้ เด็กน้อยอีกสองคนปีนขึ้นรถม้า เฉียวเวยกำลังจะตามขึ้นไป หางตากลับเหลือบไปเห็นรถม้าอีกคันหนึ่งที่หยุดจอดอยู่ไม่ไกล มีบุรุษสองคนก้าวลงมาจากรถม้า คนหนึ่งคือท่านหมอประจำตัวของสวินหลัน ท่านหมอหลู อีกคนหนึ่งเฉียวเวยไม่เคยเห็นหน้า บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นมองดูแล้วอายุประมาณยี่สิบกว่าปี มีตะกร้ายาใบใหญ่สะพายอยู่ด้านหลัง เดินตามอยู่ข้างหลังท่านหมอหลูอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
บ่าวที่เผ้าอยู่หน้าประตูรู้จักท่านหมอหลูแต่กลับไม่รู้จักบุรุษผู้นั้น หลังจากพูดคุยกับท่านหมอหลูครู่หนึ่งก็เปิดทางให้เข้าไป
“พวกเจ้านั่งอยู่ในนี้กันก่อนนะ เดี่ยวแม่กลับมา” เฉียวเวยให้บุตรทั้งสองนั่งจนเรียบร้อยแล้วก็ก้าวขาเดินออกไป “รอเดี๋ยว”
ทั้งสองถูกเรียกไว้ ท่านหมอหลูหันไปพอเห็นว่าเป็นเฉียวเวยก็ประสานมือทำความเคารพ “ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยเหลือบมองบุรุษด้านหลังเขาแล้วถามว่า “เขาเป็นใครหรือ”
ท่านหมอหลูตอบอย่างมีมารยาทว่า “เขาเป็นเด็กต้มยาของข้า”
การที่ท่านหมอมีเด็กต้มยานั้นไม่นับว่าแปลก เฉียวเจิงก็มี เพียงแต่เด็กต้มยาของเขาคือจูเอ๋อร์ที่เป็นลิงน้อยตัวดำตัวนั้น แต่เฉียวเวยไม่เคยเห็นเขาพาเด็กต้มยามาด้วยมาก่อน เมื่อจู่ๆ วันนี้พามา จึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
เหมือนเขาจะสังเกตเห็นความสงสัยในสีหน้าของเฉียวเวย ท่านหมอหลูจึงอธิบายว่า “สวินซื่อตั้งแต่แท้งบุตร สุขภาพก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงดังเดิมเสียที หลายวันนี้อากาศร้อนอบอ้าว นางรู้สึกไม่สบายหนักขึ้น จึงเรียกให้ข้ามาช่วยดูอาการให้ ข้าคิดว่าหากต้องไปๆ กลับๆ จวนกับโรงยาคงจะวุ่นวายน่าดู เลยนำสมุนไพรที่ต้องใช้บ่อยๆ มาด้วยเสียเลย”
“ข้าขอดูได้รึไม่ว่าเป็นสมุนไพรอะไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
ท่านหมอหลูจึงบอกว่า “ย่อมได้ เจิ้งเอ๋อร์ เอาให้ฮูหยินน้อยดูสิ”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าเจิ้งเอ๋อร์ปลดตะกร้าสมุนไพรลงจากหลัง เปิดวางลงตรงหน้าเฉียวเวยอย่างใจกว้าง
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่กล้าตรวจสอบ ใครใช้ให้เฉียวเวยหนังหน้าหนาเล่า นางตรวจดูทุกชิ้นทุกใบโดยละเอียดทั้งนอกและใน
ท่านหมอหลูยิ้มแหยๆ “มีแต่สมุนไพรที่ใช้ประจำทั้งนั้น ไม่มีอย่างอื่น”
เฉียวเวยตอบอื้อเรียบๆ
ท่านหมอหลูให้เด็กต้มยาเอาตะกร้ากลับขึ้นหลังเหมือนเดิมแล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปตรวจชีพจรให้สวินซื่อก่อนนะขอรับ”
“ช้าก่อน” เฉียวเวยเรียกเขาไว้อีกครั้ง
เขาหันกลับไปด้วยความงงงวย “มีเรื่องอะไรอีกหรือ ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยเหลือบมองเด็กต้มยาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “เจ้าเข้าไปได้ เจ้าอยู่ที่นี่”
ท่านหมอหลู “เอ่อ…”
“เจ้าไม่ได้ขาดคนช่วยสะพายตะกร้าหรอกหรือ” เฉียวเวยเหลือบมองบ่าวเด็กเฝ้าประตู “เจ้าไปตามใครสักคนมาที ให้มาช่วยท่านหมอหลูสะพายเข้าไป”
“ขอรับ!”
บ่าวเด็กไปเรียกเพื่อนบ่าวที่คล่องแคล่วมาจากสวนด้านข้าง เพื่อนบ่าวเอาตะกร้าจากมือเด็กต้มยาแล้วเดินตามท่านหมอหลูเข้าไปในจวน
เด็กต้มยาหลุบสายตาลง ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่เงียบๆ ดูไม่ออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจหรือประดักประเดิดจากการถูกปฏิเสธสักนิด
เฉียวเวยพูดกับบ่าวเฝ้าประตูว่า “กฎในบ้านตระกูลจีเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว อย่าได้ปล่อยให้ใครที่ไม่รู้จักเข้าไปซี้ซั้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”
บ่าวเฝ้าประตูถึงกับปาดเหงื่อ อันที่จริงเขารู้ว่าบ้านตระกูลจีมีกฎระเบียบมาก ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าออกอย่างอิสระ แต่ท่านหมอหลูตรวจโรคให้คนในบ้านตระกูลจีมานานปี นับว่าเห็นหน้าค่าตากันมานาน เขาพาเด็กต้มยาเข้าไปด้วยสักคนคงไม่ใช่ปัญหาอะไร ตนจึงให้ปล่อยให้ทั้งสองเข้าไปข้างใน คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ฮูหยินน้อยไม่พอใจ
ที่ได้ยินว่าฮูหยินน้อยไม่ลงรอยกับสวินซื่อ ดูท่าคงจะเป็นเรื่องจริง
“ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ปล่อยใครเข้าไปอีกขอรับ!” เขายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
เฉียวเวยตอบอื้อเสียงเรียบ สายตากวาดมองไปยังเด็กต้มยาที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วหมุนตัวขึ้นรถม้าไป
…
ท่านหมอหลูไปที่เรือนหลีฮวา ตรวจชีพจรให้สวินหลันแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “อาการของฮูหยินนี้เรียกว่าไข้ใจ คิดหนักเป็นกังวลมากเกินไป เลือดลมจึงเสียหาย ยานั้นรักษาที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ ฮูหยินรักษาให้สุขภาพใจโล่งโปร่งเข้าไว้ อย่างคิดอะไรให้มาก ถึงจะค่อยๆ หายดีได้”
สวินหลันถือผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอสองทีแล้วเอ่ยอย่างอ่อนหล้าว่า “หงเหมย ไปส่งท่านหมอหลูที”
“เจ้าค่ะ” หงเหมยทำท่าเชื้อเชิญ “ท่านหมอหลู”
ท่านหมอหลูเอ่ยว่า “ข้าจะจัดยาไว้ให้”
สวินหลันบอกว่า “ไม่ต้องหรอก กินไปก็ไม่หายอยู่ดี”
ท่านหมอหลูถอนหายใจแล้วเดินออกไปพร้อมกับหงเหมย ระหว่างทางหงเหมยเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จึงถามเกี่ยวกับอาการป่วยของสวินหลันไปพอสมควร ท่านหมอหลูก็ตอบให้ทีละข้อ
หงเหมยนึกเป็นห่วง “สุขภาพของฮูหยินย่ำแย่เพียงนั้นจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ท่านหมอหลูเอ่ยด้วยความจนใจ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงอายุไม่ยืนยาว”
หงเหมยเอ่ยอย่างใจอ่อน “ฮูหยินช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
“น่าสงสารอะไร ใครน่าสงสาร” จีซั่งชิงเดินออกมาจากทางเดินเล็กๆ ด้านข้าง เขาถูกทั้งแมลงทั้งยุงกัดจนตัวลาย ใบหน้ายังดูบวมเล็กน้อย
ทั้งสองหันไปมองแล้วทำความเคารพเขา ท่านหมอหลูเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “นายท่านเป็นอะไรไปขอรับ”
จีซั่งชิงกระแอมด้วยความประดักประเดิด “ไม่มีอะไร ถูกยุงกัดเท่านั้น เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ”
ท่านหมอหลูเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้ากำลังคุยกับหงเหมยเรื่องอาการป่วยของฮูหยินอยู่ขอรับ”
จีซั่งชิงขมวดคิ้ว “นางป่วยอีกแล้วหรือ”
หงเหมยพยักหน้า “เมื่อวานที่ออกไปพร้อมนายท่าน พอกลับมาอาการก็ไม่สู้ดี ข้าถามฮูหยินว่าเกิดอะไรขึ้นฮูหยินก็ไม่ยอมบอก แค่เพียงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ไม่กินไม่ดื่ม นายท่านอาจจะไม่ทราบ มีเพียงเวลาที่ท่านอยู่เท่านั้น ฮูหยินถึงได้ยอมกินข้าวสักสองสามคำ พอท่านไม่อยู่พวกเราเกลี้ยกล่อมอย่างไรฮูหยินก็ไม่ยอมกินอะไรเลยเจ้าค่ะ”
จีซั่งชิงหน้าขรึมไป “นี่นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”
หงเหมยเอ่ยว่า “เมื่อคืนวานฮูหยินเริ่มไอ ตื่นมาก็มีไข้ต่ำๆ ข้าบอกให้เชิญฮูหยินน้อยมาช่วยดูฮูหยินก็ไม่ยอม ข้าหมดหนทางจึงตัดสินใจไปเชิญท่านหมอหลูมาด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
จีซั่งชิงหน้าขรึม “นี่นางป่วยเป็นอะไรไปอีก”
ท่านหมอหลูถอนหายใจ “ไข้ใจเจ้าค่ะ”
“นางไม่กินอะไรมานานแค่ไหนแล้ว” จีซั่งชิงถามหงเหมย
หงเหมยตอบไปตามจริงว่า “ตั้งแต่กลับมาเมื่อเย็นจนถึงเวลานี้ ยังไม่ยอมดื่มน้ำสักอึกเลยเจ้าค่ะ”
คงนึกโกรธขึ้นมากระมัง…นัยน์ตาจีซั่งชิงมีแววลังเลขึ้นมา
หงเหมยเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่าน ท่านไปดูฮูหยินสักหน่อยเถิด ข้ากลัวว่าหากนางยังไม่ยอมกินอะไรต่อไป ร่างกายคงรับไม่ไหวเจ้าค่ะ”
แต่เขารับปากเจาหมิงไว้แล้วว่าจะไม่ไปพบสวินหลันอีก
หงเหมยขอร้องอย่างเศร้าสร้อย “นายท่าน ท่านหมอหลูบอกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฮูหยินจะสิ้นใจได้นะเจ้าคะ”
จีซั่งชิงถูมือแล้วตัดสินใจเดินไปยังเรือนหลีฮวา
สวินหลันนั่งอยู่ริมหน้าต่างพร้อมใบหน้าซีดขาว เหม่อมองไปยังสนามด้านนอก ตอนนางมาก็ผอมมากอยู่แล้ว เวลานี้ก็ยังผ่ายผอมลงไปมากอีก เสื้อผ้าอาภรณ์หลวมโคร่ง คล้ายเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น
ในใจจีซั่งชิงรู้สึกรวดร้าว “สวิน…”
เพิ่งเอ่ยไปได้คำเดียวก็ถูกสวินหลันเอ่ยขัด สวินหลันไม่ได้มองเขา แต่กลับรู้ว่าเขามา “ข้าได้ยินว่าหลิวเกอร์ป่วย”
จีซั่งชิงพอได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนแรงของนางใจก็พลันกระตุก รีบเดินเข้าไป “เป็นหวัดแดดน่ะ เสี่ยวเวยให้ยาเขากินแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ข้าอยากพบเขา” สวินหลันเอ่ย
หลิวเกอร์อยู่ที่เรือนลั่วเหมย จะพาตัวออกมาคงไม่ง่าย
สวินหลันมองไปยังกลีบดอกไม้ที่ถูกสายลมพัด “ท่านหมอหลูบอกว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
จีซั่งชิง “ไม่มีทาง หากเจ้าตั้งใจปรับสมดุลให้ดี จะต้องหายดีแน่”
สวินหลันหลุบตาลง “ข้าอยากเจอลูกข้า”
จีซั่งชิงนิ่งไป “เจ้ากินข้าวกินยาก่อน กินเสร็จแล้วข้าจะให้พบเขา”
สวินหลันลังเล ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้พยักหน้า
จีซั่งชิงมองไปทางประตู “ท่านหมอหลู เข้ามาเถิด”
ท่านหมอหลูหิ้วตะกร้าสมุนไพรเข้ามาแล้วเริ่มปรุงยาให้สวินหลัน ระหว่างที่ปรุงยาอยู่นั้นเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ขาดยาไปอย่างหนึ่ง แม่นางหงเหมย รบกวนเจ้าออกไปบอกเด็กต้มยาของข้าที ให้เขาเอายาสุราที่ข้าต้มไว้เข้ามา เจ้าให้เขาเอาเข้ามาเองเลยนะ อย่าได้รบกวนเด็กๆ ในจวนเลย เข้ามาได้รึไม่ขอรับ นายท่าน?”
จีซั่งชิง “เหตุใดจะไม่ได้ ให้เขาเข้ามาเถิด”
เมื่อได้รับการพยักหน้าจากจีซั่งชิง เด็กต้มยาจึงอุ้มเอาไหยาสุราเข้าไปในจวน