เล่ม 1 ตอนที่ 351-1 พี่ซิวกลับมา (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 351-1 พี่ซิวกลับมา (1)

สุดท้ายหลิวเกอร์ไม่ได้ถูกอุ้มไปยังเรือนหลีฮวา พอจีเหล่าฮูหยินรู้ว่าบุตรชายจะพาหลิวเกอร์ไปพบสวินหลัน นางก็ปฏิเสธทันทีโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น จีซั่งชิงถูกสั่งสอนไปหนึ่งยกเลยได้แต่เดินคอตกกลับเรือนหลีฮวา เขาบอกสวินหลันว่าหลิวเกอร์หลับไปแล้ว ไว้วันพรุ่งนี้จะอุ้มเขามาหาเธออีกที

สวินหลันก็ยอมกินยาอย่างว่าง่าย

จีซั่งชิงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารที่รสไม่จัด คอยดูนางจนกินเสร็จแล้วถึงได้กลับเรือนหลีฮวาไป

ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อคืนถูกเฟิ่งชิงเกอกลั่นแกล้งมาหนักเกินไปหรืออย่างไร จีซั่งชิงพอกลับถึงห้องก็หลับไปทันที แม้แต่มื้อเย็นก็ยังไม่กิน

คืนนี้ดูเหมือนจะร้อนกว่าทุกคืนอยู่เล็กน้อย เฟิ่งชิงเกอนอนเหงื่อซึมอยู่บนเตียง เอาแต่พลิกตัวไปมาไม่หยุด ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รู้สึกว่าจีซั่งชิงร้อนอะไรเท่าไรนัก แต่คืนนี้กลับคล้ายอยู่ในเตาไฟ ร้อนแทบจะเผานางจนสุกเสียให้ได้

เฟิ่งชิงเกอเลยหอบเอาผ้าห่มไปนอนลงบนพื้นไม้ที่เย็นกว่าแทนเสียเลย

เฉียวเวยไม่ได้เข้านอนเร็วเพียงนั้น หลี่ซื่อส่งสมุดบัญชีของเดือนที่แล้วมาให้ ตั้งแต่จีซวงเอาใจใส่อยู่แต่กับเจ้าหhา เรื่องตรงกลางในบ้านจึงตกมาอยู่ที่หลี่ซื่อแต่เพียงผู้เดียว หลี่ซื่อทำคนเดียวไม่ไหว เลยส่งสมุดบัญชีส่วนหนึ่งมาที่บ้านชิงเหลียน เฉียวเวยดูอยู่พักใหญ่ เหลืออีกสี่ห้าเล่มก็จะดูจบแล้ว

อากาศร้อนอบอ้าว นางอยู่ในชุดเข้านอนที่นางปรับเปลี่ยนเองแล้ว ผ้าไหมน้ำแข็งบางเบาแบบไร้แขน ถึงจะสู้เสื้อบังทรงแขวนคอไม่ได้แต่ก็นับว่าเย็นสบายมากแล้ว

ปี้เอ๋อร์ยกน้ำแข็งกะละมังหนึ่งเข้ามาในห้อง พอเห็นเฉียวเวยก็รีบเอามือปิดตา ไม่เหมาะไม่ควรมอง ไม่เหมาะไม่ควรมอง!

เฉียวเวยส่ายหน้าอย่างเห็นขัน ก็แค่ใส่เสื้อไม่มีแขนมิใช่หรือ คิดถึง “บ้านเดิม” ของนาง จะเปิดอก เปิดขา เปิดหน้าท้องอะไรมีเต็มถนนไปหมดเลยด้วยซ้ำ

ปี้เอ๋อร์เอามือหนึ่งปิดตา อีกมือหนึ่งอุ้มกะละมังน้ำแข็งเอาไว้ เพราะมองไม่เห็นเลยเดินไปชนเข้ากับโต๊ะ เจ็บจนร้องโอ้ยๆ ลั่น

เฉียวเวยวางสมุดบัญชีเล่มที่อ่านจบแล้วลง เงยหน้าขึ้นมายิ้มเรียบๆ “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องปิดตาแล้ว หากชนนู่นชนนี่จนเจ็บตัวเสีย เสี่ยวเว่ยจะมาโทษข้าได้ว่าไม่ดูแลภรรยาของเขา”

ปี้เอ๋อร์เขินอายจนกระทืบเท้า “ใครเป็นภรรยาเขากัน”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างนึกสนุก “ยังไม่มีมาสู่ขอเจ้าที่บ้านอีกหรือ”

ปี้เอ๋อร์เลยบ่นว่า “เขาบอกว่าสิ้นปี ไว้เก็บรวบรวมสินสอดได้แล้วก็จะไป”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “สิ้นปีหรือ เช่นนั้นคงเก็บได้ไม่น้อยทีเดียว”

เบี้ยหวัดในโรงผลิดถือว่าสูง ซ้ำยังรวมอาหารสามมื้อ โจรป่าทั้งสิบกว่ายี่สิบคนเต็มไปด้วยกำลังวังชา ทั้งอึดทั้งถึกทั้งทน ทำไข่เยี่ยวม้าได้ จัดการคนไม่ดีก็ได้ กำลังการผลิตไม่เพียงทิ้งห่างชาวบ้านเหล่านั้นไปไกล แต่ยังเล่นงานพ่อค้าที่มาหาเรื่องถึงโรงงานได้อีกด้วย ทุกวันนี้เป็นคนงานที่ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญจากชีเหนียงไปแล้ว มีเงินพิเศษให้เดือนละหนึ่งตำลึงทุกเดือน คนละหนึ่งตำลึง พอครบหนึ่งเดือน แค่เงินพิเศษนี้ก็เกือบยี่สิบตำลึงแล้ว พอเอามารวมกับเงินรางวัลจากการทำงานอีก ก็เรียกได้ว่ามีรายได้อย่างงามเลยทีเดียว

พวกเขาไม่มีใครทำใจเอาเงินไปใช้ได้ ยกให้เสี่ยวเว่ยเอาไปเก็บไว้ทั้งหมด

ปี้เอ๋อร์คิดถึงข้อความที่เสี่ยวเว่ยเขียนมาบอกในจดหมายก็นึกเขินอายขึ้นมาทันที

ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ เดิมทีเสี่ยวเว่ยไม่รู้หนังสือ แต่เพื่อให้เขียนจดหมายถึงปี้เอ๋อร์ได้ เขาถึงกับคารวะอากุ้ยเป็นอาจารย์ เวลานี้ถึงจะไม่ถ่องแท้ไหลรื่น แต่การเขียนจดหมายสักฉบับนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก นับเป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวหน้ามากทีเดียว!

เฉียวเวยเห็นหน้าสาวใช้คนสนิทที่แดงจนแทบจะมีเลือดหยดออกมาได้ก็ส่งเสียงจึ๊ๆ “ช่วงนี้ตัวข้าเปล่าเปลี่ยวเอกาอยู่ อย่าได้มาแสดงความรักต่อหน้าข้าเชียว แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้!”

ปี้เอ๋อร์ “…”

ไม่ใช่ท่านหรือที่พูดขึ้นมาก่อน

“คนในครัวเข้านอนกันหรือยัง” เฉียวเวยถาม

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “นอนแล้วเจ้าค่ะ ท่านอยากกินอะไรเดี๋ยวข้าไปทำให้”

เฉียวเวยไม่อยากให้ยุ่งยากเลยบอกว่า “ช่างเถิด เจ้าก็ไปพักเถิด นี่ก็ดึกแล้ว”

ปี้เอ๋อร์ยิ้มบอกว่า “ไม่เป็นไร ข้านอนไปแล้วเมื่อตอนกลางวัน เวลานี้ยังนอนไม่หลับ ฮูหยินอยากดื่มน้ำแกงหวานหรืออยากกินอะไรเจ้าคะ”

เฉียวเวยนิ่งคิดก่อนจะบอกว่า “ถั่วเขียวต้มน้ำแกงสักชามก็แล้วกัน”

“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ตอบรับ

เฉียวเวยพูดขึ้นอีกว่า “น้ำบ๊วยก็ต้มไว้หน่อย แล้วเอาไปแช่เย็นรอดื่มพรุ่งนี้เช้า”

“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์พยักหน้าแล้วออกไป

ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง เฉียวเวยกำลังพลิกอ่านสมุดบัญชีอยู่ “เสร็จเร็วเพียงนี้เชียว”

ร่างน้อยๆ อมชมพูสองร่างเดินอ้อมเข้ามาที่โต๊ะหนังสือแล้วเบียดกันเข้าไปให้นางกอด

เฉียวเวยพอเห็นว่าเป็นเด็กน้อยทั้งสอง ในใจก็พลันอ่อนยวบ นางวางสมุดบัญชีลงแล้วกอดบุตรทั้งสองไว้ “ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดยังไม่นอนอีก”

“นอนไม่หลับ” วั่งซูบอก ศีรษะน้อยๆ ของเขาถูไถไปมาอยู่กับหน้าอกอ่อนนุ่มของเฉียวเวย

ตั้งแต่นางเริ่มมีทักษะทรงพลัง น้อยนักที่นางจะมีด้านที่อบอุ่นเช่นนี้

นางลูบศีรษะลูกน้อย “เป็นอะไรไป ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย”

วั่งซูปีนขึ้นมาบนตักมารดา เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสารว่า “ข้าคิดถึงท่านพ่อ เหตุใดท่านพ่อยังไม่กลับมาเสียที ไปตั้งนานเพียงนี้แล้ว!”

ก่อนหน้านี้เฉียวเวยไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เมื่อถูกบุตรสาวถามถึงได้นึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่แต่งงานมา ครอบครัวพวกเขายังไม่เคยแยกกันนานเพียงนี้มาก่อน มีแค่ระหว่างทางไปชนเผ่าลึกลับเท่านั้นที่คลาดกันไปครึ่งเดือน แต่ครึ่งเดือนนั้นเด็กน้อยทั้งสองมีความหวังว่าจะได้พบอเจอบิดามารดา อยู่ใกล้บิดามารดามากขึ้นทีละนิดทุกวัน ไม่เหมือนเวลานี้ที่แทบไม่รู้เลยว่าจีหมิงซิวจะกลับมาเมื่อใด

จิ่งอวิ๋นก็ซุกศีรษะน้อยๆ ของตนเขากับอกมารดาเช่นกัน

ใจของเฉียวเวยแทบจะละลายอยู่แล้ว ลูบศีรษะเด็กทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “คืนนี้อยากนอนกับแม่ไหม”

“อยาก!”

ทั้งสองตอบพร้อมกันทันที

เฉียวเวย “…”

เหตุใดถึงรู้สึกว่าพวกเขาอยากมาแย่งที่นอนกันนะ

ซาลาเปาน้อยทั้งสองก้าวขาน้อยๆ ของตนปีนขึ้นเตียง ทิ้งตัวลงนอนอย่างว่าง่ายเป็นพิเศษ ไม่ขยุกขยิกสักนิด แน่นอนว่าวั่งซูย่อมลงนอนตรงกลางอย่างไม่ยอมให้คนอื่นแย่ง นางเบียดพี่ชายจนเข้าไปอยู่ด้านในสุดแล้วเอามืออวบแน่นของตนตบลงบนฟูก “ท่านแม่ รีบมาเร็วสิ!”

รู้อยู่แล้วเชียวว่าพวกเจ้าจะมาแย่งที่นอน!

เฉียวเวยทั้งฉิวทั้งขัน ไปที่ห้องครัวบอกปี้เอ๋อร์ว่าไม่ต้องทำแล้ว จากนั้นก็กลับมาที่ห้อง ดับไฟแล้วไปลงนอนบนเตียง

วั่งซูกลิ้งกลุกกลักเข้าไปหาอกมารดา

เฉียวเวยถูกเจ้าเด็กคนนี้ทำให้ร้อนแทบแย่ เจ้าเตาอุ่นตัวน้อยผู้นี้คิดจะทำให้นางร้อนตายหรือไร

เฉียวเวยหยิบพัดมาพัดขึ้นลงให้เด็กๆ

ลมเย็นพัดอ่อนๆ มากระทบใบหน้า เด็กทั้งสองพากันอ้าปากหาว หนังตาค่อยๆ หนักอึ้ง พอตาปิดแล้วก็เปิดขึ้นอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่นานก็หลับสนิทไป

ก่อนนอนเมื่ออยู่ในท่าเดียวซ้ำๆ มักทำให้รู้สึกง่วงได้ง่าย เฉียวเวยพัดอยู่พักหนึ่งก็เริ่มต้องต่อสู้กับหนังตาตนเอง นางก้มลงจูบหน้าผากวั่งซูทีหนึ่งเสร็จก็ทิ้งศีรษะลงกับหมอนแล้วหลับไป

ตึง!

จิ่งอวิ๋นลืมตาขึ้น ปีนข้ามตัวน้องสาวมาแทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่ เช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตรงหน้าผากเสียจนแห้งสนิท!

เฉียวเวยนึกได้ว่าตนยังไม่ได้หอมบุตรชาย เลยสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ยืดตัวข้าม “วั่งซู” ไปหอม “จิ่งอวิ๋น” ที่หลับอยู่ด้านใน

จิ่งอวิ๋น “…”

ความร้อนอบอ้าวดำเนินติดต่อกันไปหลายวัน ในที่สุดกลางดึกของคืนหนึ่งก็มีฝนห่าใหญ่เทลงมา ช่วงเช้าตรู่ ฝนหยุดแล้ว ในอากาศยังเหลือไอเย็นอยู่เล็กน้อย จิ่งอวิ๋นยังคงตื่นแต่เช้าตามปกติ ไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง วั่งซูนอนกรนคร่อกๆ น้ำลายไหลอยู่บนเตียง เฉียวเวยดึงตัวนางให้ลุกจากเตียง จับเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วให้นางไปล้างหน้าล้างตาด้วยตนเอง

วั่งซูหลับตาเดินงัวเงียไปยังห้องด้านข้าง

เฉียวเวยรออยู่ข้างนอกเป็นนานก็ไม่เห็นบุตรสาวออกมาเสียที พอเข้าไปดูถึงได้เห็นว่าเจ้าเด็กอ้วนนั่งหลับอยู่บนกระโถนทองคำของตนไปแล้ว!

กว่าจะกินมื้อเช้าเสร็จก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว หลิวเกอร์สะพายถุงหนังสือเดินออกมา เดิมทีเหล่าฮูหยินอยากให้เขาพักผ่อนอีกสักสองวัน แต่การต้องอยู่คนเดียวในจวนนั้นน่าเบื่อเกินไป เขาทนไม่ไหวเลยอาศัยช่วงที่เหล่าฮูหยินไม่ทันสังเกต คว้าถุงหนังสือวิ่งออกมา

เฉียวเวยให้ปี้เอ๋อร์ไปส่งข่าวให้เหล่าฮูหยินทราบ ส่วนตนเดินนำเด็กทั้งสามออกไปขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา

ฟู่เสวี่ยเยียนตั้งแต่ตั้งครรภ์ก็ไม่ค่อยชอบขยับตัว วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง วันนี้พออากาศเริ่มเย็นเลยหิ้วตะกร้าออกไปเดินเล่นในสวน

ในตระกูลจีมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่ไม่น้อย สวนที่สวยที่สุดย่อมเป็นสวนที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ จึงมีดอกไม้บานสะพรั่งให้เห็นตลอดปี ฟู่เสวี่ยเยียนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพุ่มต้นจื่อหลัวหลัน เขาเลือกมาสองช่อแล้วค่อยๆ ตัดมันออกมา

ซิ่วฉินจับดอกมะลิพลางเอ่ยว่า “คุณหนู ดอกมะลิที่นี่หอมจังเลยนะเจ้าคะ!”

ฟู่เสวี่ยเยียนเลยตัดดอกมะลิมาหลายดอก

“อันนี้ก็หอมเจ้าค่ะ!” ซิ่วฉินดมกลิ่นดอกเยว่จี้ที่อยู่ข้างๆ “อันนี้ด้วยเจ้าค่ะ! อันนี้! อันนี้!”

ฟู่เสวี่ยเยียนตัดดอกไม้มาจนเต็มตะกร้า

ซิ่วฉินดึงดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมาดม ยิ่งดมก็ยิ่งชอบ เลยเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “จงหยวนนี่ดีจริงเชียว! ดอกไม้มากมายดีเหลือเกิน! ได้ยินว่ามีให้เห็นตลอดทั้งปีอีกด้วย หากที่เยี่ยหลัวของพวกเรามีแบบนี้บ้างก็ดีสิ”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดอะไร เดินไปหน้าโอ่งน้ำ มองดอกบัวที่อยู่ในนั้น ท่าทีดูลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไป ในขณะที่กำลังจะเด็ดขึ้นมานั้น ก็มีเสียงสาวใช้ดังมาจากด้านหลัง “แม่นางฟู่ บังเอิญเสียจริง!”

ฟู่เสวี่ยเยียนชักมือกลับ ค่อยๆ เดินไปมองสาวใช้ที่ดูไม่คุ้นหน้า

หงเหมยระบายยิ้มเอ่ยว่า “บ่าวชื่อหงเหมย รับใช้อยู่ในเรือนหลีฮวา วันที่แม่นางฟู่ย้ายมาวันแรก ข้าก็อยู่ปัดกวาดที่เสี่ยวอวี่เซวียนเจ้าค่ะ ข้าน้อยคารวะแม่นางฟู่!”

ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าเล็กน้อย สายตามองผ่านหงเหมยไปหยุดอยู่ที่สตรีในชุดขาวที่อยู่ด้านข้าง สตรีนางนี้นางเคยพบที่ริมทะเลสาบมาก่อน ก็คือสวินหลันที่เฟิ่งชิงเกอเรียกว่าแม่ดอกหญ้านั่นเอง

มองจากไกลๆ รู้สึกเพียงว่านางผ่ายผอม พอได้มาเห็นใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นสตรีที่งามหยดย้อยนางหนึ่งเช่นกัน

“แม่นางฟู่” สวินหลันเอ่ยทักทาย

ฟู่เซวียนเยียนพยักหน้าเล็กน้อยถือเป็นการตอบรับ พอเสร็จก็หันกลับไปเด็ดดอกไม้ของตนต่อ

สวินหลันมองดอกบัวที่อยู่ในตุ่มน้ำ “ดอกบัวดอกนี้ช่างบานสะพรั่งดีเหลือเกิด ข้าเคยปลูกเอาไว้ที่ห้องบุปผาหลายดอก หากแม่นางฟู่อยากได้ ข้าจะให้คนไปเอามาให้”

ไม่ต้องรอให้ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยปาก ซิ่วฉินก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราเด็ดจากที่นี่ไปก็พอแล้ว ดอกไม้ของสวินฮูหยิน เก็บไว้ใช้เองดีกว่าเจ้าค่ะ!”

เฉียวเวยเคยบอกกับซิ่วฉินว่า สวินหลันเคยมีเรื่องผิดใจกับนางมาก่อน ประโยคนี้ซิ่วฉินจำได้ขึ้นใจ ตรรกะของซิ่วฉินเรียบง่ายมาก เฉียวเวยเป็นคนกันเองกับพวกนาง คนที่เคยมีเรื่องผิดใจกับเฉียวเวยจะไปทำตัวสนิทสนมมากไม่ได้