WSSTH ตอนที่ 2,656 : วาระสุดท้ายของโจวทง
ค่ายกลที่ร้อยเรียงตัวเป็นกระบี่สีรุ้งเล่มเขื่องหนึ่ง หอบหิ้วร่าง 3 ร่างให้พุ่งข้ามฟ้าเข้าสู่เมืองเฉวี่ยโยวด้วยความเร็วสูง ความเคลื่อนไหวดั่งกล่าวแน่นอนว่าย่อมทำให้คนในเมืองเฉวี่ยโยวแตกตื่นไม่น้อย!
“นั่นมันอะไรกัน?!”
“ประกายแสงหลากสีนั่นที่แท้คืออันใดกันแน่?”
“แสงรุ้งนั่น ดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปทางจวนเจ้าเมืองนะ…”
“กลิ่นอายพลังน่ากลัอะไรกัน! มียอดฝีมือมาเยือนเมืองเฉวี่ยโยวของพวกเราหรือ…ใช่สหายของท่านเจ้าเมืองเราหรือไม่?”
…
ไม่ว่าใครในเมืองเฉวี่ยโยว หากได้เห็นลำแสงสีรุ้งที่พาดข้ามขอบฟ้าเข้ามาในเมืองฉับไว เป็นอันต้องมองตามลำแสงดังกล่าวไปตามๆกัน…
ที่สำคัญเลยก็คือ…ทิศทางที่ลำแสงประหลาดพุ่งไป เป็นทิศทางของจวนเจ้าเมือง!
ณ จวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว
ประกายแสงหลากสีที่พาดข้ามขอบฟ้ามาฉับไวดั่งพลังอำนาจของทวยเทพ ไม่เพียงทำให้ทั้งเมืองเฉวี่ยโยวแตกตื่นเท่านั้น กระทั่งผู้คนในจวนเจ้าเมือง ไม่เว้นตัวเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเอง พอพบว่าแสงดังกล่าวพุ่งเข้ามาหยุดลงบนน่านฟ้าสูงเหนือโถงหลักของจวน ก็ตกใจนัก!
“คารวะอาวุโสผู้มาเยือน…ข้าน้อยหลิ่วเฟิงกู่ขออภัยที่มิได้ออกไปต้อนรับแต่แรก มิทราบอาวุโสท่านมาเยือนเมืองเฉวี่ยโยวของข้าน้อย เพราะต้องการสิ่งใดหรือ?”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ประกายแสงหลากสีหยุดลงเหนือน่านฟ้าห้องโถงหลักของจวนเจ้าเมือง เสียงอันเต็มไปด้วยความสุภาพแฝงอาการตื่นๆหนึ่ง ก็ดังขึ้นมาแต่ไกล
เรียกว่าคนไม่ทันมา เสียงกล่าวก็มาก่อนแล้ว
จากนั้นค่อยปรากฏร่างสูงหนึ่งเหินพุ่งมาแต่ไกลฉับไวปานภูตผี พริบตาก็บรรลุถึงน่านฟ้าสูงเหนือห้องโถงจวนเจ้าเมือง
อย่างไรก็ตามพอเห็นร่าง 2 ร่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นกำเนิดแสงหลากสีสันดังกล่าวรางๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง!
“นี่มัน…”
นอกจากร่างสูงแล้ว ยังมีร่างชราติดตามมาอีกคน…
และพอมันเห็นร่างคน 2 คนที่อยู่บนต้นกำเนิดแสงหลากสี มันก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งไปเหมือนคนแรก! ยังยากจะรู้สึกตัวอยู่นาน!!
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่เห็นถึงลำแสงหลากสีพุ่งวาบฟ้าเข้ามาในเมืองเฉวี่ยโยว จวบจนพุ่งมายังน่านฟ้าเหนือจวนพร้อมกลิ่นอายพลังกดดันอันน่ากลัว พวกมันก็ตื่นตกใจไม่น้อย
เพราะในสายตาของพวกมันทั้งคู่ ก็เพียงยอดฝีมือที่พลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตต้าหลัวจินเซียนขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสร้างแรงกดดันขนาดนี้ได้!
และก่อนที่พวกมันจะมาถึงที่นี่ ในใจล้วนเต็มไปด้วยความกดดันนัก เพราะไม่รู้จริงๆว่าผู้มาเยือนเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่!!
เรื่องนี้ยืนยันได้จากเสียงของชายร่างสูงที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่…
แต่อย่างไรก็ตาม พอพวกมันทั้งคู่ได้มาเห็นชายหนุ่ม 2 คนเบื้องหน้า พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ ขณะเดียวกันยังอดอึ้งไปเสียไม่ได้!
นั่นเพราะพวกมันรู้จักชายหนุ่มทั้งคู่ดี!
“ต้วนหลิงเทียน! ฉินอวี่! พวกเจ้า…”
ชายร่างสูงที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลิ่วเฟิงกู่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว ตอนนี้มันมองไปยังร่างชายหนุ่มทั้ง 2 เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้จะดึงสติกลับมาได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ตกใจไม่หาย ในใจปั่นป่วนเสมือนมีมรสุมก็ว่า!
เพราะกระทั่งหลับมันก็ไม่เคยฝันถึง…
ต้นต่อกลิ่นอายพลังกดดันระดับต้าหลัวจินเซียน ที่มาเยือนจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของพวกมันโดยไม่ได้นัดหมาย ที่แท้จะเป็นชายหนุ่มสองคนที่เดินทางออกจากเมืองเฉวี่ยโยวเมื่อ 2 ปีก่อน!
ต้วนหลิงเทียน!
ฉินอวี่!
“ท่านเจ้าเมืองที่ข้ากลับมาคราวนี้ เพื่อทำให้ข้อตกลงระหว่างพวกเราลุล่วง…”
ต้วนหลิงเทียนมองหลิ่วเฟิงกู่ที่แลดูอึ้งๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นเองประกายแสงหลากสีจากค่ายกลกระบี่ที่หอบหิ้วเขากับฉินอวี่ก็สลายหายไป
และไม่เพียงแค่ค่ายกลกระบี่ที่หอบหิ้วพวกเขาเท่านั้นที่หายไป กระทั่งค่ายกลกระบี่ที่ล้อมกักร่างโจวทงเอาไว้ดั่งคุกก็สลายหายไปอีกด้วย เผยร่างอนาถของมันให้หลิ่วเฟิงกู่กับชายชราข้างกายหลิ่วเฟิงกู่เห็นชัดถนัดตา!
และชายชราข้างกายหลิ่วเฟิงกู่ก็ไม่ใครที่ไหน มันคือผู้นำองครักษ์งูทอง ผู้เฒ่าหง!
ยังเป็นยอดฝีมือที่มีพลังเป็นรองก็แต่หลิ่วเฟิงกู่ ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับสองของเมืองเฉวี่ยโยว
ซูว! ซูว!
พอได้เห็นร่างชราสีหน้าซีดเซียวเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลน่าขนลุกโชกเลือด ที่เผยตัวออกมาหลังค่ายกลกระบี่สี่รุ้งที่ผนึกกักคลายตัว ลูกตาของทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความตกตะลึงเหลือเชื่อยิ่งกว่าก่อนหน้า!!
“อะ…”
“เออะ…”
หลิ่วเฟิงกู่กับผู้เฒ่าหงคราวนี้ถึงกับสะอึกพูดไปไม่เป็นคำ! ยังมองจ้องตาค้างอยู่นาน ยากจะยอมรับความจริงเบื้องหน้า!!
ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้เห็นร่างชราที่พึ่งเผยตัวจากค่ายกลกระบี่สีรุ้งที่ล้อมกักมานานหลายปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายก็ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของพวกมันเลย!!
ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว โจวทง!
โดยเฉพาะหลิ่วเฟิงกู่ ต่อให้อีกฝ่ายมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีมันก็จดจำได้!!
เพราะนี่คือศัตรูที่มันปรารถนาจะฆ่าให้ตายมาหลายปี!!
“หลิ่วเฟิงกู่ เจ้าช่างกล้านัก!!”
ขณะเดียวกัน โจวทงพอหลุดพ้นจากคุกค่ายกลกระบี่สีรุ้ง มันก็ถลึงตามองจ้องหลิ่วเฟิงกู่พลางตะโกนออกเสียงเย็น “เจ้าถึงกับกล้าหาคนมาจัดการกับข้าเช่นนี้…หากข้ารู้แต่แรกวันนั้นข้าคงไม่เห็นแก่หน้าผู้ว่าแล้วไว้ชีวิตเจ้า!!”
ในสายตาของโจวทง ทั้งหมดเป็นเพราะวันนั้นมันเลือกจะไว้ชีวิตหลิ่วเฟิงกู่ มันเลยต้องจบลงเหมือนดั่งวันนี้…
อย่างไรก็ตามมันไม่เคยคิดถึงเลย…
ว่าหากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนคิดไว้ชีวิตมันให้หลิ่วเฟิงกู่ฆ่ากับมือ…มันคงตายตั้งแต่นอกเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวไปแล้ว!
คราวนี้มันหาเรื่องคิดไม่ซื่อกับต้วนหลิงเทียนเอง! ต่อให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรกับหลิ่วเฟิงกู่มาแต่แรก มันก็ไม่อาจหนีพ้นความตายอยู่ดี!!
การแค่นคำตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาของโจวทงนั้นแฝงพลังเอาไว้ เช่นนั้นพอดังเข้าหูของหลิ่วเฟิงกู่ ก็ทำให้แก้วหูของผู้แซ่หลิ่วสะท้านไปด้วยความเจ็บปวดอยู่บ้าง…
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้กลับเป็นการปลุกหลิ่วเฟิงกู่จากภวังค์อื้ออึง! แต่เดิมที่ไม่ทราบว่าฝันไปอยู่หรือไม่ ก็ได้ตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดโดยสมบูรณ์ “ข้าไม่ได้ฝัน ข้าไม่ได้ฝันไปจริงๆ!”
หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว หลิ่วเฟิงกูก็มองสบตากับโจวทงที่กำลังจ้องมาด้วยอาฆาต ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า แลดูสาสมใจนัก!
“ฮ่าๆๆ….ฮ้า ฮ่าๆๆๆ!!!”
หลังระเบิดเสียงหัวเราะระลอกแรกจบ หลิ่วเฟิงกู่ก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะต่ออีกรอบ!
วู้มม!!
และในขณะที่หลิ่วเฟิงกู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า ผู้เฒ่าหงข้างๆก็คืนสติ จากนั้นก็รีบผละออกจากร่างหลิ่วเฟิงกู่เหินลงไปด้วยความฉับไว ค่อยเร่งเปล่งพลังไร้สภาพขุมหนึ่งออกไปดั่งม่านสุดไพศาล ปิดกั้นเสียงของหลิ่วเฟิงกู่ไม่ให้ตกลงไปยังเบื้องล่าง…
เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตของผู้พิทักษ์อันับ 1 ของมณฑลจิ่วโยว โจวทง…
คนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี!
หากจัดการเรื่องราวไม่ดี เกิดล่วงรู้ถึงหูผู้ว่าการมณฑลขึ้นมา อาจชักนำหายนะเภทภัยมาถึงตัวเจ้าเมือเฉวี่ยโยว ผู้เป็นนายของมันได้!
“โจวทง ที่แท้เจ้าก็มีวันนี้เช่นกัน…เจ้าคงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนใช่หรือไม่ ว่าเจ้าจักมีวันนี้ด้วย? ฮ่าๆๆๆ!!”
มองไปยังโจวทงอีกครั้ง หลิ่วเฟิงกู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังอีกรอบ เสียงกล่าวยังฟังแล้วปลอดโปร่งโล่งใจเป็นที่สุด…
ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่เพียงชมดูเรื่องราวอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนนั้นล่วงรู้ถึงความบาดหมางทั้งคู่แต่แรก เลยไม่ได้แปลกใจอะไร
ส่วนฉินอวี่นั้น ระหว่างทางก็ได้ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่องราวความบาดหมางระหว่างหลิ่วเฟิงกู่กับโจวทงให้ฟังแล้ว มันจึงไม่ได้แปลกใจอะไรเช่นกัน
อีกทั้งพอได้รู้เรื่องราวความบาดหมางของทั้งคู่ รวมถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีทำข้อตกลงกับหลิ่วเฟิงกู่ ก็ยังเป็นการไขข้อสงสัยในอดีตของมันอีกด้วย…
ในที่สุดมันก็ได้รู้..
ว่าไฉนหลิ่วเฟิงกู่ถึงได้ดูแลต้วนหลิงเทียนดีนัก กระทั่งมอบห้องบ่มเพาะส่วนตัวให้ต้วนหลิงเทียน
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำ กับผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินที่ไม่ต่างมือ้ายยมือขวาของหลิ่วเฟิงกู่ ก็ไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ดังกล่าว
“หลิ่วเฟิงกู่ หากเจ้ากล้าฆ่าข้า! ผู้ว่าการมณฑลไม่มีวันปล่อยปละละเว้นเจ้าแน่!!”
ได้ยินเสียงหัววเราะทั้งสัมผัสได้ถึงความคิดฆ่าฟันที่คุกรุ่นขึ้นมาในแววตาขอหลิ่วเฟิงกู่ โจวทงก็ตระหนักได้ถึงวิกฤต สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปกลับกลาย ยังตะคอกเสียงเย็นยกอ้างผู้ว่ามาข่มขู่ หมายให้หลิ่วเฟิงกู่บังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย…
“หากข้าฆ่าเจ้าให้ตายคามือได้…ต่อให้ผู้ว่าจะประหารข้าตาย ข้าก็ไม่เสียดายชีวิต!!”
ได้ยินคำขู่ดังกล่าวของโจวทง หลิ่วเฟิงกู่ก็กลั้นเสียงหัวเราะ ค่อยหันไปมองโจวทงด้วยสีหน้าสงบ กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด!
วาจาดังกล่าวของหลิ่วเฟิงกู่ เสมือนคนไม่สนความเป็นตายของตัวแล้ว!
วูบ!
โจวทงที่พบว่าหลิ่วเฟิงกู่ไม่คล้ายพูดเล่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน พอเอ่ยคำออกมาอีกครั้งก็ไม่ข่มขู่อีกต่อไป หากแต่เป็นการวิงวอนร้องขอแทน “หลิ่ว…เจ้าเมืองหลิ่วข้าสำนึกผิดแล้ว ตอนนั้นข้ามิควรทำกับศิษย์เจ้าเช่นนั้นเลย ข้าขออภัยต่อเจ้า ยังขออภัยต่อศิษย์เจ้า…”
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่…วันนี้ขอเพียงเจ้าไว้ชีวิตข้าสักครั้ง และบอกให้ต้วนหลิงเทียนเมตตาปล่อยข้าไปสักครา ข้ายินดีออกเดินทางท่องหล้าเพื่อตระเวนหาศิษย์ประเสริฐมาให้เจ้าสักคนเพื่อชดใช้ ดีหรือไม่?”
“นอกจากนี้มิว่าเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้ค่าเสียหายเท่าใด…ข้ายินดีให้สัญญากับเจ้าว่าจักหามาให้ตกลงไหม?”
ในห้วงแห่งความเป็นตายโจวทงที่จมไม่ลงทั้งถือดีมาทั้งชีวิต บัดนี้ถึงขั้นก้มหัวลดตัวลงโดยสิ้นเชิง แทบจะกระดิกหางต่อหน้าหลิ่วเฟิงกู่ที่มันเคยดูแคลนหยันหยามมาก่อนด้วยซ้ำ…เอ่ยคำวิงวอนขอเมตตาอย่างไม่ละอาย!
“หาศิษย์ประเสริฐมาชดใช้ข้า? ชดใช้ค่าเสียหายให้ข้า?”
หลิ่วเฟิงกู่พอได้ฟังก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังร่า ทันใดนั้นปรากฏน้ำตาสายหนึ่งหลั่งไหลลงมารดแก้ม ทว่าแววตายิ่งมายิ่งเย็นชา มากล้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!
“เจ้าคิดว่า…ศิษย์ที่ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กเป็นเด็กน้อยไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆในไส้ ยังจะมีผู้ใดมาแทนที่ได้งั้นหรือ!?”
หลิ่วเฟิงกู่มองกล่าวกับโจวทงครานี้ มุมปากช่างยกยิ้มแสยะเยียบเย็นนัก!
“ข้า…”
ในขณะที่โจวทงคิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง
“ต้วนหลิงเทียน!”
จู่ๆหลิ่วเฟิงกู่ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแข็งกร้าว เจตนาฆ่าฟันทะลักล้นออกมาถึงขีดสุด จนไม่อาจมากกว่านี้ได้แล้ว!
เห็นสายตาที่มองจ้องมาด้วยความเย็นชาแฝงการร้องขอประการหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความนัย ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เย็นลงทันที ค่ายกลกระบี่เริ่มก่อเกิดอีกครั้ง ครอบคลุมร่างโจวทง!
“ไม่–!!”
พอเห็นว่ารังสีกระบี่สีรุ้งมากมายเริ่มควบรวมก่อเกิดค่ายกลกระบี่ล้อมร่าง โจวทงย่อมตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้ามันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่ำร้องออกมาเสียงหลง!
ปงงง!!
ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของโจวทงก็ถูกรีดเค้นออกมาทุกหยาดหยด หมายต้านทานแข็งขืนเป็นครั้งสุดท้าย…
อนิจจาบัดนี้โจวทงมันบาดเจ็บสาหัสเกินไป แม้มันจะดิ้นรนขัดขืนด้วยพลังชั่วชีวิต แต่ก็ไร้ผลต่อหน้าค่ายกลกระบี่สีรุ้งของต้วนหลิงเทียน!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
ค่ายกลกระบี่ที่ห้อมล้อมปะทุพลังน่ากลัว! รังสีกระบี่ทั้งหลายพอทำลายพลังชั่วชีวิตของโจวทงได้แล้ว ก็เสือกทะลวงแทงทะลุร่างโจวทงอย่างไร้ปราณี ก่อเกิดเป็นหลุมโลหิตอันน่ากลัวนับไม่ถ้วน!
คนมองไปคล้ายรังแตนอีกรอบ…
แม้จะถูกทำร้ายซ้ำ หากแต่พลังชีวิตของโจวทงก็ยังไม่หมดสิ้นในทันที อย่างไรก็ตามตอนนี้มันบาดเจ็บสาหัสถึงจุดที่กำลังจะตายในไม่ช้า…
“หึ!”
หลิ่วเฟิงกู่ที่ลอยร่างอยู่ข้างๆ พอเห็นว่าโจวทงจะตายแหล่มิตายแหล่ ก็สบถคำเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง
ฉัวะ!!
จากนั้นมันก็ตวัดฟาดมือออกไปต่างดาบ ผ่าร่างโจวทงให้แยกเป็นสองเสี่ยง จบชีวิตโจวทงลง!
ต้าหลัวจินเซียน ก็ตกตายลงแต่เพียงเท่านี้!