ตอนที่ 351-2 พี่ซิวกลับมา (1)
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยกับสวินหลันบอกว่า “ขอบคุณในน้ำใจของฮูหยิน ข้าใช้ดอกบัวที่นี่ก็พอแล้ว”
หงเหมยเห็นฮูหยินของตนถูกปฏิเสธ ในใจย่อมรู้สึกไม่ดี นางรู้สึกว่าฮูหยินช่างน่าสงสาร ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านตระกูลจีก็ไม่เป็นที่ต้อนรับของใครสักคน เอาแต่ตั้งมั่นที่จะให้กำเนิดบุตรให้นายท่าน แต่เพราะเหตุผิดพลาดทำให้เสียบุตรไป วันที่นางแท้งบุตร เหล่าฮูหยินคิดจะขับนางออกจากจวน อุตส่าห์ได้อยู่ต่อ ก็ยังต้องคอยสังเกตสีหน้าแม่นางหลี่ผู้นั้นอีก
แม่นางหลี่เป็นเพียงสตรีจากข้างนอก ส่วนฮูหยินเป็นภรรยาเอกที่เคยเป็นสามีภรรยากับนายท่านมาก่อน อีกอย่างแม่นางฟู่ผู้นี้ นางเป็นสหายของฮูหยินน้อย ก็นับว่าเป็นคนนอกเช่นกัน แต่ทุกวันนี้กลับกล้าขึ้นมาขี่คอฮูหยินของตน ไม่ ไม่ใช่นางด้วย แต่เป็นสาวใช้ของนางที่ขึ้นมาขี่คอฮูหยินของตน
หงเหมยอดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจ ช่วยเอ่ยขอความยุติธรรมแต่สวินหลัน “ฮูหยินพูดเพราะหวังดี”
ซิ่วฉินทำเสียงหึ “พวกเราไม่ต้องการน้ำใจจากนาง! ที่นางทำเพราะอยากประจบคุณหนูของข้า สู้กลับไปประจบนายท่านของพวกเจ้าไม่ดีกว่าหรือ!”
หงเหมยที่ปกติเป็นคนอารมณ์เย็น เวลานี้ยังถูกสาวใช้ที่ไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้นผู้นี้ยั่วโมโหขึ้นมาเหมือนกัน นางหายใจหนักๆ จนหน้าอกกระเพื่อมสูง “เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ใครประจบคุณหนูของเจ้ากัน ไม่รับน้ำใจก็ไม่รับน้ำใจสิ เหตุใดด้องเอาความมีน้ำใจของผู้อื่นมาเหยียบย่ำเช่นนี้ด้วย”
ซิ่วฉินเอ่ยอย่างดูแคลน “พอนางมาในจวนก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นติดๆ กันไม่หยุด ใครจะรู้ว่านางประสงค์ดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่”
หงเหมยหน้าแดงด้วยความโกรธ บีบนิ้วแน่นขณะเอ่ยว่า “เจ้าเอ่ยเช่นนี้กับฮูหยินได้อย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนไม่ได้เกิดขึ้นหลังเจ้าเข้ามาหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าคราก่อนที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนักบวชปลอมก็เกิดที่เรือนเสี่ยวอวี่เซวียนของเจ้ามิใช่หรือ!”
ซิ่วฉินตาพลันเป็นประกาย ตอบตามที่เตรียมเอาไว้ว่า “นั่นเพราะ…นั่นเพราะคุณชายรองอยู่ที่เสี่ยวอวี่เซวียนหรอก! เป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่คุณชายรองต่างหาก!”
ในหัวหงเหมยมีคำที่บ่าวไพร่แอบคุยกันแวบขึ้นมาทันที จึงพูดโพล่งออกไปว่า “เหตุใดคุณชายรองจะต้องอยู่ที่เสี่ยวอวี่เซวียนด้วย ไม่ใช่เพราะพวกเจ้า…”
แล้วนางก็ชะงักไป
ซิ่วฉินเท้าสะเอวจ้องหน้าอีกฝ่าย “พวกข้าทำไม”
หงเหมยเอาแต่เงียบไม่พูดอะไร
ซิ่วฉินคว้าแขนนางทันที “หากวันนี้เจ้าไม่พูดมาให้ชัดเจนก็อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปเลย พวกข้าทำไม”
หงเหมยถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ นางเป็นคนใจเสาะ ทนความตกใจไม่ค่อยไหว อันที่จริงนางไม่พูดซิ่วฉินก็ทำอะไรนางไม่ได้ แต่นางกลัวเลยบอกออกมาจนหมด “พวกเจ้า…พวกเจ้าทอดสะพานให้คุณชายรอง…”
ซิ่วฉินโกรธจนตาเบิกโต “ใครทอดสะพานให้คุณชายรองของพวกเจ้ากัน เขาที่กระทั่งดอกชะบาก็ยังแยกไม่ออก คุณหนูของข้าจะหมายปองเขาหรือ! เป็นเขานั่นแหละที่วันๆ เอาแต่ตามตอแยคุณหนูข้าไม่เลิก ไล่ก็ไล่ไม่ไป เหตุใดถึงกลายเป็นคุณหนูข้าไปทอดสะพานให้เขาได้”
หงเหมยโกรธจนหน้าแดงก่ำ “เจ้าอย่าพูดถึงคุณชายรองเช่นนี้นะ! คุณชายรองไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
ซิ่วฉินหัวเราะเสียงเรียบ “เช่นนั้นแล้วเขาเป็นคนเช่นไร?”
“เขา…เขาเป็น…” หงเหมยอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออกสักที คุณชายรองหล่อเหลาห้าวหาญเพียงนั้น ในบรรดาแม่นางน้อยอย่างพวกนาง นั่นเรียกได้ว่าเป็นราวกับเทพบุตรแล้ว มีแต่แม่นางที่ไม่ถูกใจเขา ไม่มีแม่นางที่เขาเกี้ยวพาไม่สำเร็จ ดังนั้นสาวใช้ที่ชื่อซิ่วฉินนี่จะต้องโกหกเป็นแน่ “พวกเจ้านั่นแหละที่ทอดสะพานให้คุณชายรอง!”
ซิ่วฉินยิ้มเยาะ “เรื่องนี้เจ้าพูดเองหรือเป็นสตรีนางนั้นที่สอนเจ้าให้พูดเช่นนี้กันแน่”
หงเหมยถูกท่าทางที่ดุดันของซิ่วฉินขู่จนหวาดกลัวไปหมด “เจ้าๆๆๆ.. เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายกันนะ! ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย!”
ซิ่วฉิน “เจ้ารู้รึไม่ว่าคุณหนูของข้าเป็นใคร”
“ซิ่วฉิน” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยปากเรียกสาวใช้ของตนเรียบๆ
ซิ่วฉินถอยกลับไปอยู่ข้างฟู่เสวี่ยเยียน “หงเหมยเจ้าถอยออกไปก่อน ห้ามเสียมารยาท”
หงเหมยถอยกลับไปอย่างขุ่นเคืองและโล่งอก ที่โกรธเพราะซิ่วฉินพูดจาจาบจ้วงเกินไป และที่โล่งอกก็เพราะนางกลัวมากว่าซิ่วฉินจะทำร้ายตน”
สวินหลันพาหงเหมยเดินออกจากสวนดอกไม้ สวินหลันไม่พูดอะไรสักคำ ถึงขั้นไม่โต้แย้งอะไรให้ตนเองเลยสักนิด ทำให้หงเหมยยิ่งรู้สึกว่านางน่าสงสาร คล้ายว่าคนทั้งโลกกำลังกลั่นแกล้งนาง ส่วนนางไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนเอาไว้เท่านั้น
เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนทุกอย่างจะผ่านไป สวินหลันกลับไปที่เรือนแล้วก็ไม่ได้ตัดพ้ออะไรกับหงเหมยและไม่ได้ต่อว่าหงเหมยด้วย ช่วงที่กินข้าวจีซั่งชิงมาหานางครั้งหนึ่ง หงเหมยก็ไม่ได้ยินสวินหลันบอกเล่าความทุกข์ใจอะไรของตนให้อีกฝ่ายฟัง
ตกบ่ายสวินหลันก็ไม่สบายขึ้นมาอีก สีหน้าขาวซีด ไร้เรี่ยวแรง หงเหมยไปต้มยาที่ท่านหมอหลูให้ไว้มาให้ แต่นางดื่มไม่ลงสักอึก ต้องบังคับกรอกลงไปครึ่งชามแต่ก็อาเจียนกลับออกมาจนหมด
หงเหมยจะไปเชิญท่านหมอมาอีกครั้งแต่ก็ถูกสวินหลันห้ามเอาไว้
หงเหมยบอกว่า “ไม่ได้บอกว่าถูกโรคแล้วหรือ เหตุใดถึงได้อาการแย่ลงเรื่อยๆ เช่นนี้”
สวินหลันนอนอยู่บนเตียง แม้แต่แรงจะพูดจาก็ยังไม่มี
หงเหมยลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าจะไปตามนายท่านมา!”
สวินหลันส่ายหน้า พยายามพลิกตัวหันหลังให้ แล้วหลับตานอนหลับไป
หงเหมยเห็นนางตัวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เลยรีบเอาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้อย่างละเอียด ในขณะที่เพิ่งเช็ดมือข้างหนึ่งเสร็จและกำลังจะเปลี่ยนไปเช็ดอีกข้างหนึ่งนั้น ตัวลื่นๆ อะไรสักอย่างก็เลื้อยขดขึ้นมาบนเตียง แลบลิ้นสองแฉกแล้วเลื้อยขึ้นมาบนผ้าห่ม
หงเหมยกรีดร้องด้วยความตกใจ รีบสะบัดผ้าห่มลงกับพื้น! งูตัวนั้นถูกสะบัดตกลงไปที่พื้นด้วย แล้วจึงรีบเลื้อยหนีออกไป
สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกก็คงจะเห็นมันด้วยจึงพากันกรีดร้องเสียงแหลม
จีซั่งชิงอยู่ไม่ไกลตรงนั้นสักเท่าไร พอได้ยินเสียงกรีดร้อง สองหูก็พลันขยับ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองไปยังบ่าวไพร่ในสนามที่อยู่ในอาการแตกตื่น “เกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนพากันนิ่งเงียบ
หงเหมยเดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้าขาวซีด “นายท่าน ในห้องมีงูเจ้าค่ะ! ดูเหมือนจะเป็นงูพิษ เพิ่งเลื้อยหนีไปเมื่อครู่นี้เอง ไม่รู้หายไปไหนแล้ว จะกลับมาอีกรึไม่ก็ไม่รู้…”
“ไปหา” จีซั่งชิงเอ่ย
หงเหมยอึ้งไป
จีซั่งชิงเดินเข้าไปในห้อง
หงเหมยกับสาวใช้คนอื่นๆ พากันมองตามหลังจีซั่งชิงไปแล้วพากันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
สาวใช้ปัดกวาดนางหนึ่งถามว่า “รู้สึกหรือไม่ว่าวันนี้นายท่านดูแปลกๆ”
หงเหมยก็คิดเช่นนั้น “ใช่ว่าทะเลาะกับใครมาหรือไม่”
บ่าวรับใช้ “อย่าพูดอีกเลย รีบไปหากันเถิด! เดี๋ยวหนีไปไกลแล้วจะหาไม่เจอเสีย”
ทุกคนออกไปเรียกบ่าวผู้ชายที่ใจกล้ามาหลายคน แล้วยังตามองครักษ์ของจวนให้มาช่วยกันออกตามหาด้วย ถึงแม้จะเห็นว่างูเลื้อยออกจากเรือนหลีฮวาไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแน่ใจว่ามันจะไม่มุดกลับเข้ามาจากรูไหนอีก พวกเขาค้นเรือนหลีฮวากันอีกรอบหนึ่งก็หาไม่เจอ เลยยากกันไปหาตามบ้านชิงเหลียน เรือนเสี่ยวอวี่เซวียนและเรือนชิงเฟิง
พอได้ยินว่ามาตามหางู ปี้เอ๋อร์ก็ถึงกับมุมปากกระตุก เจ้าเสี่ยวไป๋จอมดื้อ ใช้ว่าเจ้าแอบเอางูไปซ่อนไว้ที่ไหนอีกแล้วหรือไม่
เสี่ยวไป๋กางกรงเล็บออก พังพอนอย่างข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย!
พวกเขาไปหาที่บ้านชิงเหลียนและเรือนชิงเฟิงก็ไม่พบ ไปหาที่เรือนเสี่ยวอวี่เซวียนก็ไม่พบงูพิษตัวนั้นที่เล่นเอาทุกคนตกใจกันไปเป็นแถบ แต่กระนั้นในช่วงที่ทุกคนกำลังจะออกจากเสี่ยวอวี่เซวียน บ่าวชายคนหนึ่งก็ไปค้นเจอกล่องผ้าไหมที่ถูกกิ่งไม้มีหนามและใบไม้ปิดคลุมเอาไว้ กล่องนั้นดูแล้วมีอายุประมาณหนึ่ง ตัวกล่องเปียกชื้นมีดินติดอยู่เต็มไปหมด ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปเจอของมีค่าอะไรเข้าจึงกรูกันเข้ามามุงด้วยความอยากรู้
บ่าวชายเปิดกล่องออกดู พอทุกคนเพ่งมองก็ถึงกับตาค้างกันไปเลยทีเดียว
ข้างในเป็นตุ๊กตารูปคนที่ถูกเข็มทิ่มแทงไว้ทั่วตัว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
หนำซ้ำทั้งเสื้อผ้าและใบหน้าของตุ๊กตาตัวนั้นยังแทบจะเหมือนกับสวินหลันทุกอย่างเลยอีกด้วย
ด้านหลังตุ๊กตาตัวนั้นยังมีตัวอักษรเขียนไว้แถวหนึ่ง บ่าวใช้แรงงานอย่างพวกเขาไม่รู้หนังสือจึงไม่รู้ว่าเขียนอะไรไว้ เลยรีบเอาของสิ่งนี้ไปที่เรือนหลีฮวา
คนในเรือนหลีฮวาที่รู้หนังสือนั้นมีอยู่มาก อาทิจีซั่งชิง อาทิสวินหลัน และอาทิหงเหมย
หงเหมยอ่านข้อความนั่นจบก็ขมวดคิ้ว “นี่คือวันเดินปีเกิด”
นางยกมือขึ้นมานับดู ใกล้เคียงกับอายุของสวินหลัน กอปรกับเสื้อผ้าและใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ ต่อให้เป็นคนปัญญาอ่อนก็ยังเอาออกว่าเป็นชะตาเกิดของสวินหลัน
หงเหมยนึกถึงเรื่องที่สวินหลันกินยาเท่าไรก็ไม่ดีขึ้นเสียทีแล้วก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที “มิน่าเล่าฮูหยินถึงไม่ดีขึ้นสักที มีคนสาปแช่งฮูหยิน!”
อย่าได้ใส่ใจเรื่องผีสางเทวดา มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ แม้แต่ฮ่องเต้ยังเชื่อเรื่องนี้ นับประสาอะไรกับพวกเขา
หงเหมยตกใจจนรีบเอาของสิ่งนั้นใส่กลับลงในกล่อง
จีซั่งชิงมีคำสั่งให้สืบหาเรื่องนี้โดยละเอียด
ตอนเฉียวเวยส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษาและกลับมาถึงบ้านนั้น เรื่องทำคุณไสยก็มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ตัวของนั้นพบที่เสี่ยวอวี่เซวียน คนร้ายก็น่าจะเป็นคนในเสี่ยวอวี่เซวียน ส่วนคนที่เขียนหนังสือเป็นในเสี่ยวอวี่เซวียนก็มีไม่มาก ยิ่งเป็นคนที่เขียนหนังสือเป็นและเคยมีเรื่องผิดใจกับสวินหลันก็ยิ่งน้อยไปใหญ่ เมื่อลองตัดไปตัดมาแล้วก็เหลือเพียงฟู่เซวี่ยเยียนกับซิ่วฉินสองคนเท่านั้น
หลังจากเทียบลายมือกับทั้งสองคนดูแล้ว ซิ่วฉินก็ถูกตัดออกไปอีกคน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายใช้วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ ตั้งแต่สมัยที่เฉียวเวยย้ายเข้ามาอยู่บ้านตระกูลจีได้ไม่นาน โจวมามาก็หมายจะใช้งูพิษกับตุ๊กตาคนทำเรื่องเลวร้าย แต่ก็จนใจที่ถูกเฉียวเวยกับเสี่ยวไป๋เปิดโปงได้ทันกาล คิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานกว่าครึ่งปี อีกฝ่ายก็ยังจะใช้วิธีการเช่นเดิมอีก!
เฉียวเวยได้ยินเสียงใต้เท้าเจ้าสำนักโต้เถียงกับจีซั่งชิงมาแต่ไกล “ข้าบอกไปแล้วว่านางไม่ได้เป็นคนทำ! พวกเจ้าอย่าได้ใส่ร้ายนางซี้ซั้ว! ก็แค่ตุ๊กตาคนเท่านั้นไม่ใช่หรือ ใครจะทำไม่เป็นบ้าง ข้ายังทำเป็นเลย! จะให้ข้าทำให้เจ้าดูสักตัวไหมเล่า!”
“หมิงเยี่ยเจ้าใจเย็นก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน”
เป็นเสียงของจีซั่งชิง
แม้แต่เรือนรองก็ยังตกอกตกใจไปด้วย
เฉียวเวยก้าวเข้าไปที่เสี่ยวอวี่เซวียน
หลี่ซื่อรีบเดินลงบันไดเข้าไปหา “เจ้ามาเสียที หากยังไม่มาอีกพวกเขาคงได้ทะเลาะกันแน่”
เฉียวเวยได้รู้เรื่องราวจากคำบอกเล่าของปี้เอ๋อร์แล้ว นางไม่ได้พูดอะไร เอ่ยทักทายว่าอาสะใภ้รองคำหนึ่งแล้วก็เข้าไปข้างในพร้อมกับหลี่ซื่อ
จีซั่งชิงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน จีเซิ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา ด้านซ้ายมือเป็นฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉิน ส่วนด้านขวาเป็นหงเหมยกับบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนหลีฮวา ใต้เท้าเจ้าสำนักยืนอยู่ตรงกลาง มือเท้าสะเอว จ้องหน้าจีซั่งชิงอย่างพร้อมเอาเรื่องเต็มที่