ตอนที่ 352-1 พี่ซิวกลับมา (2)

จีซั่งชิงสีหน้าเรียบเฉย คล้ายว่าคนที่โดนต่อว่าไม่ใช่ตนกระนั้น จีเซิ่งที่ยืนอยู่เข้ามาแทรกกลางระหว่างสองพ่อลูก หน้าตาดูหนักใจ

ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าเห็นเรื่องการใส่ร้ายเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่นึกสนใจกันแน่ กลับเป็นซิ่วฉินที่อยู่ด้านข้างที่หายใจแรงด้วยความโกรธเคืองพลางกรอกตาบนไปด้วย

หงเหมยกับบ่า;ในเรือนหลีฮวาสามคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความเคารพ ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง

ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงพูดต่อไป “ว่าอย่างไร พูดอะไรไม่ออกแล้วสิ ใครจะไปรู้ว่าของบ้าๆ นั่นมาจากที่ใด พอมีของแบบนี้ก็คิดจะเอามาใส่ร้ายกัน จะไม่ง่ายไม่หน่อยหรือ พวกเจ้าสมองหมูกันหมดหรืออย่างไร!”

จีเซิ่งกระแอมไอสองที ลากเสียงยาวขณะเอ่ยว่า “หมิงเยี่ย!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสวนกลับอย่างไม่มีเกรงใจ “ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าหมิงเยี่ย! ข้าไม่ใช่คนตระกูลจีที่โง่เขลาเบาปัญหากันหมดอย่างพวกเจ้า!”

เฉียวเวยกับหลี่ซื่อเดินเข้ามาในห้อง จีเซิ่งเห็นทั้งสองในทันที หินที่กดทับอยู่ตรงหน้าอกคล้ายได้ยกออก “เสี่ยวเวยเจ้ามาพอดีเลย รีบมาพูดกับหมิงเยี่ยเร็วเข้า”

หากถามว่าในตระกูลจีมีใครเอาเจ้าเด็กหัวรั้นผู้นี้อยู่ ก็คงต้องเป็นหมิงซิวกับเฉียวเวยแล้ว

“จะมาพูดอะไรกับข้า ข้าไม่อยากคุยด้วย!” ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปมองเฉียวเวยที่กำลังเดินเข้ามาหาตนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ห้ามเกลี้ยกล่อมข้าได้ยินรึไม่!”

เฉียวเวยปรายตามองเขาทีหนึ่ง “ใครบอกว่าข้ามาเกลี้ยกล่อมเจ้าเล่า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดอกพลางส่งเสียงเหอะๆ “ไม่ใช่ก็ดี!”

เฉียวเวยหันไปถามฟู่เสวี่ยเยียน “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”

ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร”

จีเซิ่งยิ้มแหะๆ ขณะเอ่ยแก้สถานการณ์ว่า “แม่นางฟู่เป็นศิษย์สำนักซู่ซินจง เป็นศิษย์พี่หญิงของเสี่ยวเวย ซู่ซินจงเป็นสำนักฝ่ายธรรมะของซู่ซินจง ไม่มีทางทำเรื่องชั้นต่ำเช่นนี้ จะต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่!”

ท่านอารองผู้นี้ตามปกติดูไม่ค่อยมีท่าทีอะไร ในช่วงเวลาสำคัญกลับเป็นคนที่สมองว่องไวที่สุด มิน่าเล่าเจ้าชู้เพียงนี้แต่เรือนหลังกลับไม่เคยไฟลุกเลย ทั้งยังเป็นบุตรสายรองที่ได้รับความโปรดปรานจากเหล่าฮูหยินอีกด้วย

เฉียวเวยดึงสายตาที่มองจีเซิ่งกลับมาแล้วหันไปมองจีซั่งชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรู้สึกว่าวันนี้เขามีท่าทีแปลกๆ เมื่อก่อนเขาก็มักตีหน้าตายเช่นนี้ แต่ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ห่างผู้คนไปไกลเช่นนี้

ไม่สนใจแล้ว เอาให้รู้เรื่องก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“เรื่องของเสี่ยวอวี่เซวียนข้าพอได้ยินมาบ้างแล้ว ไม่ทราบว่าตุ๊กตาคนตัวนั้นอยู่ที่ใด ให้ข้าดูสักนิดได้หรือไม่”

จีซั่งชิงนั่งนิ่ง

จีเซิ่งหยิบกล่องบนโต๊ะขึ้นมา “อยู่นี่อย่างไร!”

ปี้เอ๋อร์เดินเข้าไปเปิดกล่องดู เห็นตุ๊กตาที่อยู่ด้านในลักษณะเหมือนสวินหลันราวกับแกะ คิดในใจว่าทำเหมือนเพียงนี้เหตุใดถึงยังสาบแช่งนางให้ตายไม่ได้อีกนะ

“ฮูหยิน นี่เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ใช้สองมือส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยรับตุ๊กตาไปดม มีกลิ่นสุรายาอยู่เล็กน้อย แล้วจึงพลิกตัวชะตาเกิดที่เขียนอยู่ด้านหลัง นั่นใช้ชะตาเกิดของสวินหลันหรือไม่นางไม่รู้ แต่นางรู้ว่านี่เป็นลายมือของฟู่เสวี่ยเยียน ไม่น่าแปลกที่ฟู่เสวี่ยเยียนจะเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง

แน่นอนว่านางเชื่อว่าฟู่เสวี่ยเยียนไม่มีทางเบื่อหน่ายถึงขั้นกระทำเรื่องที่ไม่ส่งผลใดๆ ซ้ำยังง่ายที่จะถูกจับได้เช่นนี้ ดังนั้นจะต้องมีคนเลียนแบบลายมือของฟู่เสวี่ยเยียนเป็นแน่

หากต้องการเลียนแบบลายมือของฟู่เสวี่ยเยียน ก่อนอื่นจะต้องมีลายมือของนางเสียก่อน เรื่องนี้นับว่าไม่ยาก ฟู่เสวี่ยเยียนชอบเขียนหนังสือ ทุกวันเวลาไม่มีอะไรทำเป็นต้องฝึกเขียนอักษรเจ็ดแปดแผ่นทุกครั้งไป แค่ซื้อตัวสาวใช้คนใดก็ได้ในเสี่ยวอวี่เซวียนก็ได้ลายมือนางมาแล้ว แต่มีแค่ลายมือยังไม่พอ ยังต้องหาลายเส้นของนางเพื่อให้เขียนออกมาได้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งไม่ใช่ความสามารถที่ใครก็จะมีได้

คนผู้นี้จะต้องเขียนอักษรเป็น ทั้งยังต้องคุ้นเคยกับลายมือของฟู่เสวี่ยเยียนเป็นอย่างดีอีกด้วย

เฉียวเวยคิดในใจว่านางพอจะเดาคำตอบได้แล้ว

“ท่านพ่อ” เฉียวเวยยิ้มบางๆ “อาศัยแค่ลายมือที่มีความคล้ายคลึงกันเพียงเล็กน้อยก็ตัดสินว่าคนร้ายคือแม่นางฟู่ ออกจะด่วนตัดสินเกินไปหรือไม่”

“ก็ใช่น่ะสิ! ด่วนตัดสินเกินไปแล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เคยเห็นดีเห็นงามกับนางยักษ์เพียงนี้มาก่อน

จีเซิ่งเหลือบมองพี่ชายตนเองทีหนึ่ง หนังศีรษะชาไปหมด หันไปถามเฉียวเวยว่า “เจ้ามีความเห็นเช่นไร”

เฉียวเวยบอกว่า “ความเห็นคงจะไม่มี แต่ข้อสงสัยกลับมีอยู่ข้อหนึ่ง”

“ข้อสงสัยอะไร” จีเซิ่งถาม

เฉียวเวยเลยบอกว่า “ท่านอารองท่านมั่นใจรึไม่ว่าชะตาเกิดที่เขียนอยู่นี้เป็นของสวินซื่อ นอกจากคำพูดของสวินซื่อกับนายท่านแล้ว มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอีกหรือไม่”

“เรื่องนี้…” จีเซิ่งยิ้มแหยๆ พลางหันไปมองหลี่ซื่อ

หลี่ซื่อ “สวินซื่อเติบโตในบ้านตระกูลจี องค์หญิงเคยฉลองวันเกิดให้นางหลายครั้ง ข้าเผอิญอยู่ด้วย ที่เขียนอยู่นั่นเป็นชะตาเกิดของนางจริงๆ”

เฉียวเวยสีหน้าหนักใจ “เหตุใดเรื่องสำคัญเช่นนี้ท่านอารองถึงไม่รู้ได้”

จีเซิ่งกระแอมทีหนึ่งอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร “ลืมแล้วน่ะ”

พูดให้ชัดก็คือเขาไม่เคยสนใจมาก่อน สวินซื่อไม่ใช่เจ้านายโดยแท้จริงของตระกูลจีเสียหน่อย ชะตาเกิดจึงไม่นับเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่องค์หญิงจิตใจดี ทุกปีเมื่อถึงวันนั้นจะซื้อนู่นซื้อนี่ให้นางเสมอ หลี่ซื่อเพื่อเอาใจองค์หญิงเลยซื้อของให้นางไปด้วย แต่เขาเป็นบุรุษ จะสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร!

เฉียวเวยบอกว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่รู้ชะตาเกิดของสวินซื่อ ท่านอารองเห็นสวินซื่อมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนข้าเคยเป็นลูกสะใภ้นาง พวกเราที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ยังไม่รู้ในเรื่องนี้ เหตุใดแม่นางฟู่ซึ่งเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจีถึงได้รู้ชะตาเกิดนางได้ นี่ไม่น่าแปลกหรอกหรือ”

จีเซิ่งเริ่มเอะใจ “พอเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็น่าแปลกใจอยู่จริงๆ” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปเอ่ยกับจีซั่งชิงว่า “พี่ใหญ่ จะใช่ฝีมือนักบวชปลอมเมื่อคราที่แล้วหรือไม่”

หงเหมยขมวดคิ้ว “ไม่ใช่พวกเขา”

จีเซิ่งเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่พวกเขา”

หงเหมยบอกไปตามจริงว่า เพราะนักบวชปลอมเมื่อคราก่อนที่มาจับตัวคุณชายรองใช้ควันสลบ เหล่าฮูหยินเกรงว่าพวกเขาจะทิ้งของสกปรกอะไรไว้อีกเลยให้พวกเราทำความสะอาดทุกเรือนทั้งนอกและใน หากในพุ่มไม้มีกล่องอยู่จริง ไม่มีทางที่พวกเราจะไม่พบ”

เรื่องนี้เฉียวเวยก็รู้ อีกทั้งเฉียวเวยยังรู้อีกว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายอยู่ที่ฟู่เสวี่ยเยียน ดังนั้นหลังจากบ่าวไพร่ค้นเรือนจนทั่วแล้ว นางยังจัดการค้นเองอีกรอบหนึ่ง ไม่มีกล่องนี้อยู่จริงๆ แน่นอนว่าเฉียวเวยไม่ใช่ไม่เคยสงสัยนักบวชปลอมเหล่านั้น กล่องนี้ที่ดูแล้วเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ข้างในกลับไม่มีรอยเปียกชื้นอยู่สักนิด เมื่อคืนฝนตกหนักเพียงนั้น หากมันตากฝนมาจริง ไม่มีทางแห้งเพียงนี้แน่

แต่เฉียวเวยรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ดูจากภายนอกสาวใช้ผู้นี้กำลังบอกเล่าความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องหลอก แต่ในทุกคำพูดของนางกลับแสดงออกถึงการปกป้องสวินหลันอย่างชัดเจน หากนางจำไม่ผิดสาวใช้ผู้นี้ชื่อหงเหมย เป็นสาวใช้ที่เพิ่งส่งไปให้สวินหลัน ทั้งสองรู้จักกันมาไม่ถึงหนึ่งเดือน นางถึงขั้นจงรักภักดีต่อสวินหลันเพียงนี้แล้ว แม่เลี้ยงสาวของนางผู้นี้อาจจะไม่เก่งเรื่องต่อสู้ในบ้าน แต่การซื้อใจคนนั้น จึ๊ๆ ไม่ธรรมดาเลย!

เฉียวเวยอมยิ้มขณะเอ่ยกับหงเหมย “เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของแม่นางฟู่?”

หงเหมยยังคงยิ้มเช่นเดิม “เหตุใดแม่นางฟู่ต้องทำเช่นนี้”

หงเหมยกลั้นใจตอบว่า “เมื่อตอนอยู่ที่สวนดอกไม้ พวกนางดูจะไม่พอใจฮูหยินอย่างมาก”

เฉียวเวยตอบอื้อทีหนึ่งแล้วถึงพูดต่อว่า “ในบ้านตระกูลจี นอกจากนายท่านแล้วยังมีใครพอใจในตัวสวินซื่ออีกหรือ เจ้าแจกแจงมาให้ข้าฟังที”

หงเหมยถึงกับตอบไม่ถูก