เล่ม 1 ตอนที่ 356-2 สาแก่ใจนัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 356-2 สาแก่ใจนัก

อากาศร้อนอบอ้าว ไม่รู้ว่าแม้แต่ม้าก็ยังเป็นหวัดแดดหรือไร ตอนขากลับจึงเอาแต่เดินเอื่อยๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักพิงอยู่กับอกฟู่เสวี่ยเยียน สลบไสลไม่ได้สติ ซิ่วฉินมองเขาด้วยความโมโห แทบอยากจะถีบเขาลงรถม้าไปเสียให้ได้!

ตอนรถม้าไปถึงบ้านตระกูลจี ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงไม่ได้สติ ซิ่วฉินสงสัยยิ่งนักว่าเขาตั้งใจอยากซบอกคุณหนูตนหรือไม่

“ข้าเองเจ้าค่ะ!”

ซิ่วฉินรับตัวใต้เท้าเจ้าสำนักจากฟู่เสวี่ยเยียนไปด้วยความขัดใจ แล้วอุ้มเขาเข้าไปในบ้านชิงเหลียน ที่หน้าประหลาดก็คือ ในบ้านชิงเหลียนไม่มีใครอยู่สักคน ทั้งเฉียวเวยและจีหมิงซิวก็ยังไม่กลับมา

ในเรือนหลีฮวา กลิ่นผักอบอวล ในห้องครัวมีเสียงผัดผักดังมาให้ได้ยิน บ่าวไพร่ทั้งหลายไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนกันหมด ในลานไม่มีใครให้เห็นเลยสักคนเดียว

จีหมิงซิวก้าวขึ้นบนระเบียงทางดิน

สวินหลันถือจากผัดผักเดินออกมาจากห้องครัว พอเห็นจีหมิงซิวสายตาก็สั่นไหวเล็กน้อย แววตาเป็นประกายขึ้นหลายส่วน “เจ้ามาแล้ว พอดีเลย อาหารกลางวันทำเสร็จพอดี เข้าไปนั่งในห้องกันเถิด”

จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย

นางยกกับข้าวเข้าไปในห้อง บนโต๊ะอาหารมีกับข้าววางอยู่หลายอย่างแล้ว มีทั้งเนื้อสัตว์ ผักแล้วยังมีน้ำแกง หน้าตาหน้ากินทั้งสิ้น อุปกรณ์การกินก็งดงาม เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจัดเตรียมอย่างยิ่ง

สวินหลันปลดผ้าคลุมออก ระบายยิ้มน้อยๆ “เจ้าเข้ามาสิ”

จีหมิงซิวเข้าไปในห้อง สวินหลันดึงเก้าอี้ออกมาบอกให้เขานั่งลง พอเห็นเขาไม่ขยับจึงถามว่า “เป็นอะไรไป แค่เพียงอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความหมายเป็นอื่น”

จีหมิงซิวเปลี่ยนที่นั่ง

สวินหลันมีรอยยิ้มวาบผ่านอย่างน้อยครั้งจะมีให้เห็นที่เจือไปด้วยการโปรยเสน่ห์โดยไม่ได้ตั้งใจ ดูคล้ายเด็กสาวที่ไม่ประสา พวงแก้ของนางมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างน่ามอง นางก้มลงวางตะเกียบให้จีหมิงซิว “มีแต่ที่เจ้าชอบกินทั้งนั้น ผ่านมาตั้งหลายปีเพียงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือข้ายังพอเหลืออยู่รึไม่”

จีหมิงซิวมองอาหารหน้าตาวิจิตรที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อะไรทำให้เจ้าเข้าใจผิดว่าข้าชอบอาหารเหล่านี้”

สวินหลันบอกว่า “เมื่อก่อนตอนองค์หญิงยังอยู่ ข้าก็มักจะลงครัวเสมอ เจ้าบอกว่าอร่อยทุกครั้ง ซ้ำยังกินหมดเลยอีกด้วย”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความรำคาญ “นั่นเพราะท่านแม่มองข้าอยู่ ข้ากินให้ท่านแม่ข้าดู”

ขนตาสวินหลันสั่นไหวอย่างประหลาด นางนั่งลงตรงข้ามจีหมิงซิว หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเห็ดชิ้นหนึ่งให้เขา “นี่เป็นเห็ดที่เด็ดมาจากหมู่บ้านซีหนิว เจ้าชอบกินอันนี้มาก”

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ที่ข้าชอบไม่ใช่อาหารจานนี้ แต่เป็นคนที่ทำอาหาร เมื่อนางไม่ทำ เปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้ากินเข้าไปก็ไม่รู้รส”

สวินหลันวางตะเกียบลงช้าๆ “เจ้าต้องพูดเสียไร้เยื่อใยเพียงนี้ด้วยหรือ”

“เหตุใดถึงกลับมา” จีหมิงซิวถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“เจ้ารู้ว่าเพราะอะไร” สวินหลันพูดพลางเหลือบตาขึ้นมองเข้าไปในตาเขา เมื่อเห็นแววเย็นชาในตาเขาที่ช่างต่างกับบุรุษที่ยืนมองเฉียวเวยอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยสายตาอบอุ่น ในใจนางก็ปวดแปลบขึ้นมาทันที มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นเป็นหมัด “นางมีดีที่ตรงใดกัน”

จีหมิงซิวตอบว่า “ดีทุกอย่าง”

สวินหลันสูดหายใจแล้วลุกขึ้นยืน “กับข้าวเย็นหมดแล้ว ข้าจะไปอุ่นสักหน่อย”

จีหมิงซิว “ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง ย้ายออกจากบ้านตระกูลจีไปตอนนี้แล้วไม่ต้องกลับมาอีกเลย หรือเจ้าอยู่ในบ้านตระกูลจีต่อไป เดินไปเดินมาให้ข้าเห็นจนกว่าข้าจะหมดความอดทน สวินหลัน จุดจบของเจ้าจะน่าเวทนามาก”

สวินหลันอดกลั้นความแสบที่จมูกเอาไว้ ยกกับข้าวไปที่ห้องครัว

จีซั่งชิงพอกินยาแก้พิษแล้วก็สลบไป จนกระทั่งเฉียวเวยฝังเข็มให้เขา เขาถึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา เขาจำช่วงที่เขาถูกพิษควบคุมไม่ได้เลยสักนิด แต่อย่างไรก็ห้ามปากคนในเรือนเอาไว้ไม่ได้ บ่าวไพร่ทั้งหลายปากอยู่ไม่สุก เรื่องนี้จึงไปถึงหูเขาอยู่ดี

คำพูดเหล่านี้เฉียวเวยเองก็พูดได้ แต่มากน้อยอย่างไรก็ต้องฟังดูน่าสงสัยในเรื่องความถูกต้องอยู่บ้าง การอาศัยปากคนอื่นพูดย่อมฟังดูมีน้ำหนักกว่า

เมื่อได้รู้ว่าตนเกือบไล่เฉียวเวยกับบุตรชายคนเล็กออกจากบ้าน จีซั่งชิงก็ตกใจไปหมด พอได้ยินว่าตนถูกบุตรชายคนโตกักบริเวณ ถึงแม้จะเสียหน้าเอามากๆ แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกสบายใจ เขาให้คนไปเรียกเฉียวเวยที่ลงครัวไปต้มยามาเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉียวเวย “ไม่มีอะไรหรอก ท่านพ่อเองก็ไม่รู้ตัว บอกได้เพียงว่าคนเยี่ยหลัวพวกนั้นเจ้าเล่ห์เกินไป เพื่อสร้างความวุ่นวายในบ้านตระกูลจี พวกมันไม่เลือกวิธีการเลยทีเดียว”

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าพวกมันพุ่งเป้ามาที่แม่นางฟู่หรือ” จีซั่งชิงขมวดคิ้วถาม

เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอีก เฉียวเวยจึงบอกไปว่า “ใช่แล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนคือฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัวในอนาคต แต่บุตรชายของท่านหลับนอนกับนางไปแล้ว พวกเขาไม่มาตามฆ่าถึงที่สิแปลก!”

จีซั่งชิงเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องราวเบื้องหลังนี้ จึงตาค้างไปเลยทันที

เรื่องที่ตั้งครรภ์เฉียวเวยยังเก็บไว้ก่อน เพื่อเป็นการให้เกียรติความตั้งใจของฟู่เสวี่ยเยียน นางจึงไม่ได้บอกออกไป

สีหน้าจีซั่งชิงมีแววซับซ้อน กวาดตามองไปทั่ว “ท่านแม่เจ้าเล่า”

เฉียวเวยมองไปทางปากกระตู “พี่เฟิ่ง เรียกหาเจ้าแหนะ!”

เฟิ่งชิงเกอยักย้ายส่ายสะโพก เดินเข้ามาอย่างมีจริต นางใช้พัดบังครึ่งหน้า เผยให้เห็นเพียงแววตาที่ดึงดูด สายตาเช่นนี้ทำให้จีซั่งชิงนึกถึงภาพวาดที่ตนเคยเห็นขึ้นมาทันที “เจ้าคือ?”

เจ้าที่เขาถามถึงนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้หมายถึงเจาหมิง

เฟิ่งชิงเกอเอาพัดออก “เจ้าจำข้าได้?”

จีซั่งชิงเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่านางคือสตรีในภาพ “เจ้าก็คือคนที่คุณชายไป๋ตามหา เจ้ามาอยู่ในบ้านพวกเราได้อย่างไร”

เฟิ่งชิงเกอใช้พัดปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ซั่งชิง ข้าอยากให้กำเนิดดอกโบตั๋นน้อยกับเจ้า~”

จีซั่งชิงถึงกับสำลัก มองเฟิ่งชิงเกอคล้ายเห็นภูตผี เฟิ่งชิงเกอหยิบหน้ากากออกจากอกเสื้อ แล้วเอาขึ้นใส่บนใบหน้าด้วยท่าทางสบายๆ จีซั่งชิงถึงกับแข็งค้างไปทั้งตัว

เฉียวเวยหลุบสายตาลงบอกว่า “แผนเปลี่ยนไม่ทันสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวกับกลายมาเป็นเช่นนี้”

จีซั่งชิงที่ถูกหลอกเดือดดาลจนเจ็บหน้าอกไปหมด แต่ที่มากกว่าความเดือดดาลเป็นร้อยเท่าก็คือความรู้สึกผิดหวังที่ได้เจาหมิงกลับมาแล้วต้องสูยเสียนางไปอีก เขากำหมัดแน่น ลำตัวสั่นสะท้าน “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

เฟิ่งชิงเกอเหลือบมองท้องฟ้า “ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ!”

เฉียวเวยมองเฟิ่งชิงเกอที่เดินตัวปลิวออกไปแล้วกระตุกมุมปากด้วยความดูแลน ไหนกันที่บอกว่าจะหงายไพ่ แค่นี้น่ะหรือ

เมื่อเฟิ่งชิงไม่อยู่ เฉียวเวยก็ต้องรับมือคนเดียว นางอธิบายต้นสายปลายเหตุที่ต้องใช้เฟิ่งชิงเกอให้เขาฟังรอบหนึ่ง “…เรื่องราวก็ประมาณนี้ ข้าเองก็หมดสิ้นหนทางถึงได้ทำเช่นนี้”

คิ้วของจีซั่งชิงขมวดมุ่นกว่าเดิม “ความหมายของเจ้าคือ…ครั้งก่อนนักบวชปลอมพวกนั้นสวินหลันเป็นคนเอาเข้ามาในจวน เป้าหมายก็เพื่อจับแม่นางฟู่?”

“อื้ม” เฉียวเวยพยักหน้า

จีซั่งชิง “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”

เฉียวเวยแทบทรุด…

บทสนทนาที่คุ้นหูเช่นนี้ นี่ไม่ใช่คำพูดของจีซวงหรอกหรือ ไม่เสียแรงจริงๆ ที่เป็นพี่น้องกัน แม้แต่น้ำเสียงยามพูดจาก็ยังเหมือนกัน ตรรกะความคิดก็ไม่ต่างกันสักนิด ช่างเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในยีนส์จริงๆ

จีซั่งชิงเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องไม่พอใจนางอยู่บ้าง…”

เฉียวเวยคิดในใจว่าไม่ใช่แค่อยู่บ้าง แต่เต็มไปหมดเลยต่างหาก หากให้นางมาอยู่ในมือข้า ข้าจะจัดการถลกหนังจนกว่าจะไม่เหลือหรอ

“ท่านพ่อ” เฉียวเวยถอนหายใจ “เหตุใดท่านต้องปกป้องนางเพียงนี้ ในใจท่านเห็นว่านางเป็นสตรีที่ท่านรักจริงๆ น่ะหรือ”

จีซั่งชิงมองเฉียวเวยนิ่ง “ข้าปกป้องนางคนเดียวงั้นหรือ คราก่อนพิษในกายข้าใครเป็นคนวางยา เจ้ารู้ดีแก่ใจ ข้าได้พูดอะไรไว้”

เฉียวเวยถอนหายใจ “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน”

คนหนึ่งจิตใจคิดแต่ละใช้ประโยชน์จากท่าน คนหนึ่งทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องท่าน คนแรกให้น้ำตาลที่อาบยาพิษกับท่าน ส่วนคนหลังให้มีดที่ช่วยชีวิตท่านไว้ เรื่องก็เป็นเช่นนี้

“นายท่าน! นายท่าน!”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนเรียกของหงเหมยดังขึ้น “บ่าวมีเรื่องขอเข้าพบ! นายท่านท่านให้ข้าได้พบหน่อยเถิด!”

จีซั่งชิงมองไปนอกประตู “ให้นางเข้ามา”

องครักษ์ที่เฝ้าประตูเหลือบมองเฉียวเวย เฉียวเวยพยักหน้า องครักษ์เลยให้หงเหมายเข้ามา หงเหมยเดินโซซัดโซเซเข้ามาในห้อง แล้วทรุดลงคุกเข่าหน้าเตียงจีซั่งชิงก่อนจะปล่อยโฮออกมา “นายท่าน! คุณชายใหญ่จะไล่ฮูหยินออกไปแล้ว! ท่านรีบไปดูหน่อยเถิด!”

จีซั่งชิงดึงผ้าห่มออกทันที เขาใส่รองเท้าเดินไปหน้าประตุ องครักษ์ที่เฝ้าประตูยกมือขึ้นขวางไว้ คิ้วเขาเลยขมวดมุ่น “สารเลว! ยังไม่รีบเปิดทางอีก!”

องครักษ์บอกว่า “ขอโทษด้วยขอรับนายท่าน สุขภาพท่านไม่แข็งแรง ทางที่ดีอย่าได้ออกไปโดนลมจะดีกว่า”

จีซั่งชิงเดือดดาลขึ้นทันที “สุขภาพข้าไม่เข็งแรง? ตาข้างไหนของเจ้าที่บอกว่าข้าไม่แข็งแรง ใช้คำสั่งของลูกทรพีนั่นรึไม่ พวกเจ้าเชื่อฟังเขาเพียงนี้เชียวหรือ อย่าลืมเสียว่าข้าเป็นบิดาของเขา! ข้าต่างหากที่เป็นประมุกตระกูล!”

องครักษ์มองเฉียวเวยด้วยความหนักใจ

พ่อสามีผู้นี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ต่อให้วันนี้นางขวางเขาไว้ที่นี่ได้ เขาก็คงหาทางหนีออกไปอยู่ดี คนเมื่อถึงวัยหนึ่งนั่นพยศเสียยิ่งกว่าเด็กจริงๆ

เฉียวเวยส่งสายตาให้องครักษ์ องครักษ์ถอยไปด้านหนึ่ง จีซั่งชิงสาวเท้ายาวๆ เดินออกไป

เฉียวเวยก้าวขาตามไป ไม่รู้แม่เลี้ยงสาวจะงัดไม้ไหนออกมาอีก ไม่อยากพลาดเลยจริงๆ

ตอนจีซั่งชิงไปถึงเรือนหลีฮวา สวินหลันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เขาเปลี่ยนฝีเท้าไปทางประตูใหญ่ แล้วก็เห็นสวินหลันหอบหิ้วห่อผ้าเดินออกไปอย่างโดดเดี่ยวดังคาด นางถูกองครักษ์หลายคนผลักให้ขึ้นรถม้า เดิมทีร่างกายนางก็อ่อนแออยู่แล้ว องครักษ์พวกนั้นไม่รู้หนักเบา จึงดูเหมือนพร้อมที่จะทำนางหักเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา

จีซั่งชิงหน้าบึ้งตึง ย่างสามขุมเข้าไปดึงองครักษ์เหล่านั้นออกแล้วเข้าไปขวางสวินหลันไว้ “นี่พวกเจ้าจะทำอะไร!”

องครักษ์พากันหงอ

จีซั่งชิงสายตาพลันเปลี่ยน หันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่แถวนั้น “เจ้าทำเช่นนี้กับนางได้อย่างไร นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหลิวเกอร์เชียวนะ!”

จีหมิงซิวเอ่ยประชดว่า “สู้บอกว่าเป็นยอดดวงใจของท่านยังดีเสียกว่า”

สวินหลันเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะไปเอง ท่านอย่าโทษหมิงซิวเลย”

เมื่อถูกบุตรชายฉีกหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ จึงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือเขาถึงขั้นไล่คนของตนออกไปโดยที่เขาไม่อนุญาต เขาทำหน้าจริงจัง “เจ้ายังจะออกหน้าแทนเขาอีกหรือ ข้าเห็นหมดแล้ว! เป็นเจ้าลูกทรพีนี่ชัดๆ!”

เฉียวเวยยืนนิ่งอยู่ข้างจีหมิงซิว

จีหมิงซิวจับมือนางไว้ มองจีซั่งชิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะเอ่ยสั่งว่า “วันนี้ไม่ว่าอย่างไรสวินหลันต้องออกไป ท่านพ่อต้องให้นางไป หรือไม่ท่านก็ต้องไปกับนางด้วย”

จีซั่งชิงถึงกับควันออกหู “เจ้า…เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้กล้าพูดเช่นนี้!”

จีหมิงซิว “ข้าจะนับถึงสาม หนึ่ง”

จีซั่งชิง “ลูกทรพี!”

“สอง”

จีซั่งชิงคว้าแขนสวินหลันก้าวขึ้นบันไดเดินไปทางประตู

ในขณะที่จีซั่งชิงกำลังจะก้าวกลับเข้าไปในจวนนั้น ประตูจวนก็ปิดใส่หน้าเขาดังปัง!