เล่ม 1 ตอนที่ 356-1 สาแก่ใจนัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 356-1 สาแก่ใจนัก

บนถนนที่กว้างใหญ่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ รถม้าคันหรูหราสีทองอร่ามเคลื่อนตัวช้าๆ ไปตามพื้นถนนที่ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนดูบิดเบี้ยว อาจเพราะอากาศร้อนเกินไป คนออกมาตั้งร้านกันน้อย คนเดินถนนยิ่งน้อย รถม้าเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ไม่มีใครกีดขวาง จึงมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นร้านขายหนังสือร้านหนึ่ง จากภายนอกมองดูแล้วไม่มีจุดใดที่ดูพิเศษ ร้านหนังสือที่หรูหราหรือใหญ่โตกว่าร้านนี้มีอยู่ให้เห็นได้ทั่วไป ซ้ำยังไม่จำเป็นต้องเดินทางมาไกลเช่นนี้ด้วย

ใต้เท้าเจ้าสำนักอดบ่นไม่ได้ว่า “เหตุใดจะต้องมาซื้อหนังสือที่นี่ให้ได้ด้วย เจ้าอยากได้หนังสือเล่มใด ตระกูลจีจะไม่มีเชียวหรือ จำเป็นต้องออกมาซื้อถึงข้างนอกหรือไร”

ถึงแม้จะมีความสุขกับการออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนนาง แต่การอุดอู้อยู่ในรถม้าร้อนๆ อย่างนั้นแทบทำเขาเป็นบ้าได้เลยจริงๆ! สู้หาที่เย็นๆ ไปรับลมสักหน่อยยังดีกว่า!

ฟู่เสวี่ยเยียน “ก็บอกแล้วว่าเจ้าไม่ต้องมา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึกไป เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะทำเสียงหึหึ “ข้าไม่ได้กลัวว่าพี่ชายเจ้าจะมาจับตัวเจ้าไปอีกหรอกหรือ ครั้งก่อนหากไม่ได้ข้า เจ้าคงถูกเขาจับตัวกลับไปแล้ว!”

ฟู่เสวี่ยเยียนคร้านจะโต้เถียงกับเขา พาซิ่วฉินลงจากรถม้าไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบตามลงไปด้วย เดินอาดๆ ตามหลังฟู่เสวี่ยเยียน ท่าทางดูประหนึ่งเงาตามตัว ฟู่เสวี่ยเยียนหยุดฝีเท้า ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย หันกลับไปบอกกับเขาว่า “บนถนนเส้นนี้มีร้านขายขนมเกาลัดอยู่ใช่หรือไม่”

“มีหรือ ไม่เคยเห็นเลยนี่…” ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาอย่างใสซื่อ “เจ้าอยากกินขนมเกาลัด? เช่นนั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าออกไปเดินดูให้”

ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงหมุนตัวไปทันที

สารถีเห็นคุณชายของต้องเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุก็รู้สึกแทบใจสลาย คิดในใจว่าท่านนี่ก็ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน ไม่เห็นรึว่าข้านั่งหัวโด่อยู่ที่นี่ ไม่เรียกให้ข้าไปซื้อเล่า

นายบ่าวสองคนเดินเข้าไปในร้าน

ฟู่เสวี่ยเยียนไปที่โต๊ะสูงด้านหน้า ผู้ดูแลร้านยังคงเปิดหนังสืออ่านอย่างเกียจคร้าน ท่าทางสบายอกสบายใจ มีลูกค้ามาเขาก็ไม่เหลือบตาขึ้นมากล่าวทักทายสักนิด กระทั่งฟู่เสวี่ยเยียนเอากระดาษที่เขียนชื่อหนังสือยื่นไปตรงหน้าเขา เขาถึงได้ผงกศีรษะขึ้นมานิ่งมองฟู่เสวี่ยเยียน

ฟู่เสวี่ยเยียนถามว่า “ร้านของเจ้ามีหนังสือเล่มนี้รึไม่”

ผู้ดูแลร้านเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มี แม่นางอยากได้แบบเขียนมือหรือแบบพิมพ์หรือ”

“แบบเขียนมือ” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

ผู้ดูแลร้านจ้องหน้านางนิ่ง “บัณฑิตซิ่วไฉหรือนักเขียนอักษรชื่อดัง?”

“นักเขียนอักษรขื่อดัง” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก

ผู้ดูแลร้าน “ราคาสูงอยู่นะ”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอาถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ “เงินหมื่นตำลึงทอง ยังมิสู้หาซื้อเก็บไว้”

ผู้ดูแลร้านเปิดถุงเงินออกดู สายตาสั่นไหวเล็กน้อย “แม่นางเชิญตามข้ามา”

ฟู่เสวี่ยเยียนตามผู้ดูแลร้านขึ้นไปที่ชั้นสอง เข้าไปในห้องเก็บหนังสือที่งดงามแปลกตา ผู้ดูแลร้านเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง ตอนเดินกลับมาในมือมีถาดอันหนึ่งเพิ่มเข้ามา บนถาดมีหนังสือคัดมือวางอยู่เล่มหนึ่ง เขาเอาหนังสือเล่มนั้นวางลงตรงหน้าฟู่เสวี่ยเยียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เสร็จก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม

ซิ่วฉินปิดประตู

ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดหนังสือดู ด้านในมีที่คั่นหนังสือเสียบอยู่หน้าหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบที่ขั้นหนังสือขึ้นมาดู คิ้วขมวดเล็กน้อย

ซิ่วฉินเดินเข้ามากระซิบถามว่า “เขียนไว้ว่าอะไรหรือ”

“พบหน้า” ฟู่เสวี่ยเยียนกำมือแน่น ใช้กำลังภายในบีบให้ที่ขั้นหนังสือกลายเป็นผุยผง

“เวลานี้เลยหรือ” ซิ่วฉินถาม

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอื้อเสียงเรียบ

ซิ่วฉินเอ่ยอย่างคิดหนัก “คุณชายรองตระกูลจียังไปซื้อขนมเกาลัดให้ท่านอยู่เลย อยากเกินเขากลับมาแล้วเห็นท่านไม่อยู่จะทำเช่นไร”

ฟู่เสวี่ยเยียน “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้”

ซิ่วฉินคิดถึงนิสัยตามติดไม่เลิกของเขาแล้วก็นึกเสียใจที่วันนี้ให้เขาออกมาด้วย หากรู้แต่แรกคงต่างคนต่างไป หมดเรื่องไปเยอะเลยทีเดียว

ฟู่เสวี่ยเยียนออกจากร้านหนังสือไปทางประตูหลังเงียบๆ

พอดีกับว่าใต้เท้าเจ้าสำนักเดินถามหาซื้อขนมเกาลัดไปทั่วถนนแล้วไม่เจอ เลยเดินทะลุซอยเข้ามายังตรอกที่ไม่นับว่าคึกคักนักแห่งหนึ่ง ภายในตรอกมีร้านค้าตั้งแผงขายอยู่ไม่น้อย ทุกร้านขายขนมกินเล่นกันหมด เขาไล่ถามไปเรื่อยๆ จนไปเจอร้านตรงสุดตรอกถึงได้ซื้อหามาได้เสียที เขาชิมไปคำหนึ่ง รสชาติถือว่าไม่เลว เลยเหมาคนขายมาหมดตะกร้า!

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นฟู่เสวี่ยเยียนเดินออกมาจากประตูบางหนึ่ง เขาโบกมือให้นาง นางมองไม่เห็น เขากำลังจะเอ่ยปากเรียก ก็พอดีมีรถเข็นเล็กๆ ใส่ส้มมาเต็มคันรถเข็นเข้ามาพอดี “หลบหน่อยๆ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยรีบหลบไปด้านข้าง พอรถเข็นคันนั้นผ่านไปแล้ว ตรงนั้นก็ไม่มีเงาของฟู่เสวี่ยเยียนให้เห็นแล้ว

“แปลกจริง หายไปไหนแล้ว” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เขาเดินไปตามทางที่ฟู่เสวี่ยเยียนเดินหายไป ประตูบานนั้นน่าจะเป็นประตูหลังของร้านหนังสือ ด้านหลังร้านเป็นตรอกเล็กๆ ที่ค่อยข้างเปลี่ยว ใต้เท้าเจ้าสำนักใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็ก้าวขาตามเข้าไปในตรอก พอไปถึงหน้าตรอกเขามองซ้ายมองขวาอยู่รอบหนึ่ง ก็เห็นร่างของฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ทางด้านขวา เขาเผยอปาก “นาง…”

ยังไม่ทันพูดจบ ฟู่เสวี่ยเยียนก็เข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง ด้านบนร้านมีป้ายตัวอักษร “โซ่ว” เขียนเอาไว้ ด้านล่างมีพวงหรีดวางอยู่หลายอัน เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นร้านทำพวงหรีด ที่น่าประหลาดกว่านั้นก็คือ นางเข้าไปทำอะไรในร้านเช่นนี้

ใต้เท้าเจ้าสำนักหอบตะกร้าขนมเกาลัดที่หนักอึ้งเดินตามเข้าไป

ลานด้านหลังของร้านเป็นห้องจิบน้ำชาห้องหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งอยู่กับบุรุษในอาภรณ์สีเทาคนหนึ่ง ตรงกลางของทั้งสองมีโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กสูงประมาณหนึ่งฉื่อตั้งอยู่ บนโต๊ะมีกาน้ำชาเย็นกับขนมและผลไม้ที่ไม่ได้หลากหลายนักแต่ดูวิจิตสวยงาม

บุรุษในอาภรณ์สีเทารินน้ำชาให้ตนเองกับฟู่เสวี่ยเยียน “เหตุใดจึงมาช้าเพียงนี้”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบเรียบๆ “ไม่สะดวกออกมา เลยเสียเวลาไปพักใหญ่”

บุรุษในอาภรณ์สีเทา “ฉินปิงอวี่ตายแล้ว ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรออกไปมากน้อยเพียงใด ทางด้านจีหมิงซิวนั่นได้อะไรมาบ้างรึไม่”

“ไม่เลย” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างรวดเร็ว

บุรุษในอาภรณ์สีเทาอดเหลือบมองนางไม่ได้ “ไม่มีอะไรผิดปกติเลยหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยหน้าตาเฉยว่า “ไม่มีเลย เมื่อวานเย็นกินข้าวด้วยกัน เขาไม่ต่างไปจากปกติเลยสักนิด”

“ไม่ได้ถามอะไรเจ้าหรือ” บุรุษในอาภรณ์สีเทาถามต่อ

“ไม่เลย” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

บุรุษในอาภรณ์สีเทาใช้ความคิด “หากเป็นเช่นนี้แสดงว่าเขายังไม่รู้ถึงฐานะของเจ้า”

ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง “เขารู้เรื่องจวนมู่อ๋องแล้ว แล้วก็อาจารย์ไสยเวทของจวนอ๋องถูกเขาจับตัวไป เขาให้มู่ซื่อจื่อเตรียมเงินหนึ่งแสนตำลึงมาไถ่ตัว วันนี้นัดแลกเปลี่ยน”

บุรุษในอาภรณ์สีเทาบอกว่า “ผลการแลกเปลี่ยนข้าสืบเอง เจ้าอย่าได้ไปซักถามในบ้านตระกูลจีซี้ซั้วเดี๋ยวจะเผยพิรุธไปเสีย”

“ข้ารู้แล้ว” ฟู่เสวี่ยเยียนจิบชาไปอึกหนึ่ง

บุรุษในอาภรณ์สีเทาขยับปากกำลังคิดจะพูดบางอย่าง แต่ประตูกลับถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาที่ใส่หน้ากากหยกบดบังไว้ครึ่งหน้าของใต้เท้าเจ้าสำนักปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสอง สีหน้าของทั้งบุรุษในอาภรณ์สีเทาและฟู่เสวี่ยเยียนพลันถอดสี บุรุษในอาภรณ์สีเทากระชับมือจับกระบี่ที่อยู่ใต้โต๊ะ

สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนมองไปยังมือเขาที่จับกระบี่อยู่

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหน้าบุรุษในอาภรณ์สีเทาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เขาเป็นใครกัน เหตุใดเจ้าจึงมานั่งจิบชาอยู่กับเขา”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบไม่ถูก

ใต้เท้าเจ้าสำนักคิดอะไรได้ ตาพลันเบิกโตคล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที “ข้ารู้แล้ว! เขาเป็นคนที่พี่ชายเจ้าส่งมาจับตัวเจ้ากลับไป!”

ฟู่เสวี่ยเยียน “เขา…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาตะกร้าขนมเกาลัดในมือวางกระแทกลงกับพื้น ฟู่เสวี่ยเยียนมองขนมที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนเกือบจะละลาย นัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย ใต้เท้าเจ้าสำนักก้าวเข้าไปในห้อง ดึงตัวฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นมาแล้วเอาตัวเข้าบังนาง เพิ่งมองบุรุษในอาภรณ์เทาด้วยสายตาดุดันพร้อมเอ่ยอย่างไร้ความเกรงใจว่า “ข้าขอเตือนเจ้าว่าที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่ที่เยี่ยหลัวของเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรซี้ซั้ว ข้าจะเรียกให้พี่ใหญ่ข้ามาจัดการเจ้า! พี่ชายข้าเป็นใครเจ้ารู้รึไม่ เขาเป็นอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน เป็นเครือญาติกับฮ่องเต้ หากไม่กลัวตายเจ้าก็ลองดูเลย! ดูสิว่าเจ้ายังจะมีชีวิตเดินออกจากเมืองหลวงได้รึไม่!

บุรุษในอาภรณ์เทาหรี่ตาลง ชักกระบี่ที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา ฟู่เสวี่ยเยียนขมวดคิ้ว ใช้สันมือสับท้ายทอยใต้เท้าเจ้าสำนักจนสลบ ก่อนจะจับตัวเจ้าสำนักเบี่ยงหลบเพื่อหลบกระบี่ของบุรุษในอาภรณ์เทาผู้นั้น

บุรุษในอาภรณ์สีเทาเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าทำอะไรน่ะ”

“เจ้าเล่าทำอะไร” ฟู่เสวี่ยเยียนถามกลับ เน้นหนักตรงคำว่าเจ้า

บุรุษในอาภรณ์สีเทา “เขาได้รู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ จะเก็บเขาไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้นแผนของพวกเราได้พังไม่เป็นท่าแน่”

ฟู่เสวี่ยเยียน “เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น”

บุรุษในอาภรณ์สีเทาเอ่ยเสียงเย็น “เขาไม่ได้ยินอะไร แต่เขาได้เห็นแล้ว”

ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น “เห็นแล้วอย่างไร เขายังเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนที่มู่ชิวหยางส่งมาอยู่เลย!”

บุรุษในอาภรณ์สีเทาแค่นหัวเราะ “เขาเข้าใจว่า? เขาเข้าใจว่าอย่างไรแล้วมีประโยชน์หรือ เจ้าคิดว่าหากเขาเอาเรื่องที่วันนี้เขาเห็นไปบอกจีหมิงซิวแล้ว จีหมิงซิวจะเดาไม่ออกหรือว่าเจ้าทำอะไรลงไป เจ้าคิดว่าจีหมิงซิวเบาปัญญาเช่นเดียวกับน้องชายเขาหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าจริงจัง “เขาไม่มีทางพูดไปแน่”

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไร” บุรุษในอาภรณ์สีเทาดูไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด

ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าย่อมมีวิธี”

“ขอโทษด้วยจริงๆ ฮองเฮาในอนาคต เรื่องอื่นข้าจะทำตามเจ้า แต่คนผู้นี้จะเก็บไว้ไม่ได้” บุรุษในอาภรณ์สีเทายกกระบี่ในมือจะแทงไปที่หน้าอกของใต้เท้าเจ้าสำนัก

ฟู่เสวี่ยเยียนใช้วิชาตัวเบาถอยตัวหนีไปอยู่ติดกำแพง “เขาเป็นน้องชายของจีหมิงซิว หากฆ่าเขาเสีย จีหมิงซิวจะต้องสืบมาถึงตัวเจ้าแน่ ถึงเวลานี้เจ้ากับข้ามีแต่จะถูกเปิดเผยกันเร็วขึ้น!

บุรุษในอาภรณ์สีเทาแทงได้แต่ความว่างเปล่า สีหน้าจึงยิ่งดุดันมากขึ้น “ที่เร็วยิ่งกว่าคือเขากลับไปบอกจีหมิงซิวว่าวันนี้เจ้ามาพบบุรุษคนหนึ่งที่ร้านขายพวงหรีด จีหมิงซิวคงได้จับตัวเจ้าคืนนี้เลยแน่!”

ฟู่เสวี่ยเยียนเดิมทีก็ไม่ใช่คนชอบพูดให้มากความอยู่แล้ว นางไม่ชอบการโต้เถียงที่สุดแล้ว นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น “ข้าคร้านจะอธิบายให้เจ้าฟัง”

พูดจบนางก็อุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักเดินออกไป

บุรุษในอาภรณ์เทาเอ่ยเสียงเข้มว่า “เจ้าไปได้ แต่ต้องให้เขาอยู่ที่นี่”

ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าเย็นชา “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นรึไม่แล้ว”

บุรุษในอาภรณ์เทากัดฟันบอกว่า “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า กระบี่ข้าไร้ดวงตานะ!”

ฟู่เสวี่ยเยียนออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง บุรุษในอาภรณ์เทาพุ่งกระบี่มาพร้อมกลิ่นอายอันดุดัน ฟู่เสวี่ยเยียนผลักใต้เท้าเจ้าสำนักไปตรงมุมกำแพง ไอกระบี่เฉียดผ่านตัวนางไป ขนทั้งตัวถึงกับตั้งชัน นางเอามือจับท้องทันที นัยน์ตามีไอสังหารวาบผ่าน บุรุษในอาภรณ์เทายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เงื้อกระบี่วาดไปยังใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยู่ตรงมุมกำแพง ฟู่เสวี่ยเยียนควักกริชในแขนเสื้อออกมา เดินกำลังภายในแล้วแทงไปทางบุรุษในอาภรณ์เทา

บุรุษในอาภรณ์เทารู้สึกถึงกำลังภายในอันกล้าแกร่งรวมกับแรงกดดันที่ราวกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง รุกไล่เข้ามาหาเขาไม่หยุดหย่อน

เขาเตรียมพร้อมรับมือทันที วาดกระบี่ฟันไปทางกริชเล่มนั้น กริชในมือเขาเป็นถึงกระบี่ที่ปรมาจารย์ตีดาบอันดับหนึ่งของเยี่ยหลัวทำขึ้น ฟันเหล็กได้ราวกับตัดดิน แค่กริชธรรมดาเล่มหนึ่งย่อมไม่เหนือบ่ากว่าแรง เขาคิดในใจเช่นนี้ด้วยความลำพอง ไม่คิดเลยว่าชั่วจังหวะที่กระแทกถูกกริชเล่มนั้น กริชไม่เพียงไม่ขาดสะบั้น แต่ยังถูกกริชเล่มนั้นตัดหักเป็นสองเสี่ยงอีกด้วย กริชคล้ายแทงทะลุกระดาษตรงหน้าต่าง แรงมีมีน้อยลงเลยสักนิด พุ่งตรงมาที่หน้าอกของเขา!

เขาถูกแทงเข้าไปโดยแรง พละกำลังมหาศาลทำเข้าล้มกลิ้งลงกับพื้น เขามองกริชที่หักในมือด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ แล้วก้มลงมองกริชที่อาบฉ่ำไปด้วยเลือด คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ปากกลับกระอักเลือดสดๆ ออกมาจำนวนมาก”

“มันคือกริชเฟิ่งเทียน”

เฉียวเวย “เจ้าเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเถิด ข้ายังมีกริชอันอื่นอยู่”

บุรุษในอาภรณ์เทาอึ้งไป คล้ายไม่อยากเชื่อว่าของเช่นนี้จะมาปรากฏอยู่ในมือฟู่เสวี่ยเยียน เขาพยายามยกมือขึ้นจับยังกริชที่ปักอยู่บนหน้าอก แต่กระนั้นในขณะที่เขากำลังจะจับถูกมันนั้นก็ถูกฟู่เสวี่ยเยียนดึงออกไปเสียก่อน

ฟู่เสวี่ยเยียนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดกริชจนสะอาดแล้วเสียบกับเข้าปลอกไปอย่างเดิม จากนั้นนางเข้าไปอุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นมา แล้วพาตัวเขาออกไปถามกลางสายตาหวาดผวาของบุรุษผู้นั้น

ตอนซิ่วฉินรีบตามมาถึง ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งเดินออกมาถึงสนาม ส่วนบุรุษในอาภรณ์เทาผู้นั้นหลับตาลงไปแล้ว ซิ่วฉินลองตรวจลมหายใจกับชีพจรของเขาแล้วรีบดึงมือกลับด้วยความตกใจ “คุณหนู …ท่านฆ่าเขาเสียแล้ว คุณหนูท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ท่านคิดจะเดินตามรอยเท้าองค์หญิงไปหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ตอบอะไร เดินออกจากร้านพวงหรีดไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย