WSSTH ตอนที่ 2,678 : วันเวลาล่วงเลยพ้นผ่าน

ฟังจากคำเตือนของหลิ่วเฟิงกู่ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้ทราบความรอบคอบของอีกฝ่ายอีกครั้ง สามารถมองเรื่องราวได้ปรุโปร่งราวเห็นกับตา

และพอเสียงเตือนหลิ่วเฟิงกู่ดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าจริงจังขึ้นมา

ใช่!

เกิดในพระราชวังฉินไม่มีใครร้ายกาจพอจะรับมือสตรีชรา ที่มาดักรอเขาราวเฝ้าโพรงกระต่ายขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถึงตอนนั้นยังจะมีใครในพระราชวังฉินช่วยเขาได้?

“สตรีชราผู้นั้น เป็นใครกันแน่?”

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้ตระหนัก

หากเขาไม่อาจยืนยันพลังฝีมือของสตรีชราได้จริงๆล่ะก็ การเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินนับว่าเสี่ยงไปจริงๆ

ตอนแรกที่เขาได้ฟังจากหลิ่วเฟิงกู่ ว่าหญิงชรานั้นร้ายกาจ และไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผู้ว่าการมณฑล..

เขาก็รับรู้ แต่เขาไม่ทันคิดว่าพลังฝีมือของหญิงชราอาจจะเหนือกว่ายอดฝีมือของพระราชวังฉิน!

เพราะสุดท้ายแล้วชนชั้นยอดฝีมือของพระราชวังฉินก็สมควรเหนือกว่าผู้ว่าการมณฑลมาก

“นอกเสียจากเจ้าจะสามารถยืนยันพลังของสตรีชรานางนั้นได้แน่ชัด…หาไม่แล้วข้าไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่เจ้าจะเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินจัดขึ้น”

หลิ่วเฟิงกู่กล่าวเสริม

“ขอบคุณเจ้าเมืองหลิ่วที่กล่าวเตือน”

หลังกล่าวขอบคุณแล้ว ต้วนหลิงเทียนหอบความกังวลจากไป เป็นธรรมดาว่าเขาเก็บคำเตือนของหลิ่วเฟิงกู่เอาไว้ในใจ ไม่กล้าละเลย

เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยในชีวิตเขาเอง!

“เฮ่อ…”

หลังมองส่งต้วนหลิงเทียนจนคนหายไปลับตา หลิ่วเฟิงกู่ก็ก้มลงมองแหวนในมือพลางถอนหายใจ

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แหวนก็ถูกกอบกุมไว้แน่น “ต้วนหลิงเทียน หวังว่าเจ้าจะเก็บเอาคำเตือนข้าไปใส่ใจ…ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าคือล้มเลิกการเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินไปเสีย กระทั่งเร่งรุดเดินทางออกจากพื้นที่ปกครองของพระราชวังฉินได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…”

ด้านนอกเมืองเฉวี่ยโยว

ซู่ม!

ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างทะยานข้ามฟ้าปานดาวตกก็มุ่งหน้าไปทางชายแดนด้านหนึ่งของมณฑลจิ่วโยว เตรียมตัวออกจากมณฑลจิ่วโยว

และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาสมควรไปไหนดี เช่นนั้นเขาก็ได้แต่เหินร่างไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย

ในใจเขาเต็มไปด้วยวุ่นวายทั้งสงสัยนัก

“หญิงชรานั่น…ที่แท้นางเป็นใครกันแน่?”

“ในเมื่อนางคิดฆ่าข้า เช่นนั้นนางก็ต้องมีเหตุผลสักอย่าง…แต่หลังจากที่ข้าขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน เหมือนข้าจะไม่เคยไปยุ่งกับใครที่อาจจะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อย่างหญิงชราได้เลยนี่นา?”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสงสัย เขาก็เริ่มนึกย้อนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เขาพบเจอตั้งแต่ที่เขาขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน เมื่อ 2 ปีครึ่งที่ผ่าน

เขาอยากรู้ให้ได้ว่าหญิงชรานั่นเป็นใคร และมาจากไหนกันแน่

“หรือว่า…จะเป็นนาง?”

และพอนึกย้อนถึงเรื่องราวทั้งหมด ในที่สุดในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมาและยากจะลบเลือนไปอยู่นาน

กึก!

ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนพลันหยุดลงกลางหาวทันที

ความคิดเขาได้แล่นย้อนไปในวันแรกๆที่เขาขึ้นมายังหลิงหลัวเทียน

วันนั้น เขากำลังเดินอยู่ในถนนของเมืองเฉวี่ยโยวอย่างเหม่อลอย

ทว่าอยู่ดีๆสรรพเสียงรอบกายคล้ายหยุดลงทันใด ไม่เหลือเสียงใดเข้าหู

ราวกับผู้คนรอบกายพร้อมใจกันหายไปตัวไป ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ

และตอนนั้น เขาก็หยุดร่างลงเหมือนตอนนี้

จากนั้นเขาก็ค่อยๆพบว่าผู้คนรอบกายที่สัญจรไปมาตามทาง ได้หันไปมองจ้องบางสิ่งเบื้องหลังเขา ราวกับมีอะไรบางอย่างดึงดูดใจของพวกมัน

‘ทุกคนมองอะไรกันแน่…ไฉนถึงได้พร้อมใจกันเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้?’

ในตอนนั้นพอบังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็เลยหันกลับไปมองดูให้รู้

และเมื่อสายตาของต้วนหลิงเทียนมองข้ามระยะ ลอดผ่านผู้คนนับร้อยพุ่งดิ่งไปหยุดลง ณ ร่างโค้งเว้าอันสมบูรณ์แบบร่างหนึ่ง แววตาเขาก็เผยความทึ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในใจยังอดลอบชื่นชมไปไม่ได้

‘ช่างเป็นสตรีที่งดงามอะไรจะขนาดนี้…’

วินาทีนั้น เขาจึงได้รู้…ว่าไฉนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมายถึงได้เงียบลงในฉับพลัน ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีนางนั้นนั่นเอง!

สตรีนางนั้นสวมใส่ชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดดั่งกิ่งหลิว แลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก

และแม้ว่าจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างของนางเอาไว้ ทว่าแค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวมีหมอกควันปกคลุมเอาไว้ทั่วกายนั่นของนาง ก็ทำให้สีสันรอบกายนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา

นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า

แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน

เรียกว่ามองชมแล้ว ช่างพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนั่นออกเสียให้ได้…

เขายังคิดไปอยู่เลย…ว่ากระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…

แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะเผยรูปโฉมอันงดงามล่มเมืองสะกดใจผู้คนขนาดไหน?

และไม่ว่าสตรีนางนั้นจะเดินไปที่ใด ผู้คนมากมายก็พร้อมใจกันหลีกทางให้นาง เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกเสมือนได้เห็นทะเลแหวกในตำนานเกิดขึ้นตรงหน้า

อีกทั้งในตอนนั้นผู้คนบนถนนก็ได้แต่เหม่อมองนางไม่วางตา

ราวกับทั่วร่างของนางมีมนตร์มารประการหนึ่ง

ที่สำคัญหากเป็นปกติแล้ว เหล่าบุรุษทั้งหลายเมื่อเห็นสตรีงดงามระดับนั้น จะมากจะน้อยในใจย่อมยากจะหลีกเลี่ยงจิตอกุศลได้

ทว่าวันนั้นเขาจำได้เลย ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนไหนก็ใช้สายตาที่ต่างออกไปจากที่เขาคุ้นชินมองจ้องนาง เรียกว่าในแววตาของทุกคนที่เหม่อมองสตรีในชุดม่วงอ่อนดั่งกล่าว เพียงสะท้อนไว้ด้วยความชื่นชมและเทิดทูนเท่านั้น

ประหนึ่งสตรีนางนั้นเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ของสูงที่พวกมันไม่อาจแตะต้อง

“มู่หรงปิง…”

ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับเข้าตัวได้อีกครั้ง หลังใจลอยไปพักใหญ่

ตอนที่เขาอยู่ในระนาบโลกียะ เขามีภรรยาสองคนอีกทั้งสตรีคนรักอีก 1 ทำให้รวมแล้วในใจเขามีอิสตรีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน

หลังจากนั้นจะมีสตรีงามมาป้วนเปี้ยนรอบกายมากเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครอีก

เขามองสตรีงามทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตไม่ต่างอะไรจากสหายธรรมดาทั้งสิ้น

เพราะเขารู้สึกตัวดี…ว่าเพียงมีภรรยาประเสริฐสองคน กับสตรีคนรักที่ยอมสละได้กระทั่งชีวิตเพื่อเขาแบบนี้ ตัวเขาก็โชคดีล้นฟ้าแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก

ทำให้เขาปิดตายหัวใจ ไม่คิดปล่อยให้สตรีอื่นไหนเข้ามาก่อกวนได้อีก

อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆ

หลังจากขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนได้ไม่ทันไร กลับต้องไปมีสัมพันธ์กับสตรีที่เขาไม่ได้ชื่นชอบด้วยซ้ำ เรียกว่าอยู่ๆก็ได้ครอบครองนางหรือถูกนางครอบครองก็ไม่รู้อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ…

ถึงแม้เขากับสตรีนางนั้นจะไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยา หากแต่ก็ประกอบกิจสำคัญในห้องหอ กลายเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อย…

“ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ…สตรีที่ข้าต้วนหลิงเทียนนอนด้วย เป็นได้แค่ผู้หญิงของข้าต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!”

ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ ว่านางจากไปวันนั้นเขายังตะโกนคำดังกล่าวไล่หลังนางไป

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ในความคิดเขาก็เห็นมู่หรงปิงเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว

“หญิงชรานั่น…หรือจะเกี่ยวข้องกับนาง?”

“ว่าแต่ถ้าหากนางอยากฆ่าข้าจริง ไฉนไม่ลงมือตั้งแต่วันนั้น…จะส่งคนมาฆ่าข้าเอาป่านนี้ทำไม?”

ในขณะที่พึมพำกับตัวเองง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่า…

หญิงชรานางนั้นไม่น่าจะใช่คนที่มู่หรงปิงส่งมาฆ่าเขา

เพราะถ้าหากมู่หรงปิงอยากให้เขาตายล่ะก็ นางต้องมาลงมือด้วยตัวเองแน่นอน

ถึงหลังจากวันนั้นนางจะบังเกิดอาการสำนึกเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าเขา และกลับกลายเป็นอยากฆ่าเขาขึ้นมา ก็ไม่เห็นจำเป็นที่นางจะต้องยืมมือใคร กระทั่งไม่น่าจะกล้ายืมมือใครด้วย

เพราะสุดท้ายแล้วอิสตรีก็ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ของตัวเองเป็นที่สุด เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเอาเรื่องที่ตัวเองสูญเสียพรหมจรรย์ไปแล้วไปบอกผู้อื่นง่ายๆ…

“หากนางไม่ได้ส่งหญิงชรานั่นมา…แล้วใครเป็นคนทำกันแน่?”

ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตัวเองเจอทางตันเข้าให้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก!

“แต่ไม่ว่าจะยังไงหากหญิงชราที่คิดฆ่าข้าเกี่ยวข้องกับนางจริงๆล่ะก็…เห็นทีการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินคราวนี้ จะไปไม่ได้แล้วจริงๆ”

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวเสียงเบา

วันนั้นพลังฝีมือที่มู่หรงปิงเผยออกก็สูงส่งสุดที่ตัวเขาจะหยั่งถึง

ยิ่งไปกว่านั้นพื้นเพความเป็นมาของมู่หรงปิงก็หาได้ง่ายดายไม่ สมควรเป็นนิกายที่ทรงพลัง และมียอดสมบัติสวรรค์ระดับสูงเป็นสมบัติประจำนิกาย

และหากหญิงชรานั่นมาเพราะเกี่ยวพันกับเรื่องมู่หรงปิงจริงๆ เห็นได้ชัดว่านางสมควรมาจากขุมพลังระดับนั้นด้วย

และไม่ว่าจะมาจากนิกายอะไร ที่รู้ๆคือขุมพลังระดับนั้นไม่เห็นพระราชวังฉินอยู่ในสายตาแน่นอน!

วันเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไป ฉับไวเหมือนโกหก…

การประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉิน ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นเต็มที

คำว่าพระราชวังฉินนั้น ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนชื่อเรียกหาขุมพลังหรือมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของสิ่งที่มีพลังอำนาจปกครองทั่วทั้ง 16 มณฑลอีกด้วย

พระราชวังฉินที่ว่า อยู่ใจกลางเมืองอันตั้งอยู่บนพื้นที่ราบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดไพศาล มองจากไกลๆเสมือนสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่องกำลังหมอบฟุบบนทุ่งหญ้าไม่ไหวติง นอนหลับพักผ่อน

และสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวนี้ก็อ้าปากมหึมา 4 ปากค้างไว้ บ้างกลืนกินบ้างคายผู้คนทั้งหลายไม่หยุด

เหนือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่อง ไม่ปรากฏผู้ใดเหินร่างสัญจรผ่านไปมาทั้งสิ้น

ทั้งหมดเป็นเพราะ เมืองอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังฉินแห่งนี้มีกฏตราไว้ชัดเจนน ว่าผู้ใดที่คิดผ่านเข้าออกเมืองนั้น ไม่ได้รับอรุญาตให้ใช้การสัญจรทางอากาศ จำต้องปฏิบัติตามกฏ ผ่านเข้าออกกบนผืนดินผ่านประตูทั้ง 4 ทิศ! เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจตราและดูแลความเป็นระเบียบ

ในเมื่อเป็นเมืองอันใหญ่โต ผู้คนย่อมมากมายสุดจะนับ

และยิ่งมีผู้คนมากมายเท่าใด ก็ย่อมมีความวุ่นวามติดตามมา

เช่นนั้นแล้วเพื่อรักษาความสงบ และให้แลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยพระราชวังฉินจึงได้ตรากฏดังกล่าวขึ้นมา

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

สำเนียงเสียงหวิวแหวกลมดังขึ้นระรัว ปรากฏร่างกลุ่มคน 2 กลุ่มเหินมาจากคนละทิศทางไกลตา ดูเหมือนทั้งงสองกลุ่มจะมุ่งมายังหน้าประตูเมืองทิศตะวันออกของเมืองพระราชวังฉินเหมือนกัน และนับคร่าวๆแล้ว แต่ละกลุ่มก็มีคนราวสามสิบเศษๆ

ทั้งสองกลุ่มมีชายในรูปลักษณ์วัยกลางคนเหินนำมา อีกทั้งแต่ละคนก็แลดูมากสง่าราศี มีอำนาจบารมีไม่ใช่ชั่ว เห็นชัดว่าล้วนเป็นชนชั้นเจ้าคนนายคนมานาน

พอบรรลุถึงน่านฟ้าเบื้องหน้าประตูเมืองทิศตะวันออก แต่ละคนก็นำคนของกลุ่มตัวเองโรยร่างลงพื้นทันที

พวกมันย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนกฏที่เมืองพระราชวังฉินตั้งไว้

“ผู้ว่าเถียน ช่างบังเอิญจริงๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันหน้าประตูเมืองพระราชวังฉินแบบนี้”

ชายวัยกลางคนที่นำมาผู้หนึ่ง เอ่ยทักชายวัยกลางคนที่นำกลุ่มคนอีกกลุ่ม

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกหาว่าผู้ว่าเถียนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว เถียนจี้หวี่!

และกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเถียนจี้หวี่นั้น นอกจากอาวุโสฝ่ายใน 2 คนแล้ว อีก 29 คนที่เหลือล้วนเป็นรุ่นเยาว์อายุน้อยกว่าร้อยขวบปีทั้งสิ้น!

ในบรรดารุ่นเยาว์ทั้ง 29 คนนั้น มีหน้าใหม่เพิ่มมาหนึ่งคน ซึ่งมันมาแทนที่โจวเฟย ลูกบุญธรรมของผู้พิทักษ์โจวทงในอดีต

และหากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ย่อมจดจำได้ทันที

ว่าอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเถียนจี้หวี่ ก็คือผางปิง และเจิ้งชิว!