WSSTH ตอนที่ 2,677 : ยอดฝีมือลึกลับ
“ร้ายกาจกว่าผู้ว่า?”
ได้ยินคำของหลิ่วเฟิงกู่ ต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
ด้วยพลังฝีมือในปัจจุบันของเขาแม้จะใช้อดีตอุปกรณ์เทพอย่างกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน เต็มที่ก็ทำได้แต่สู้กับผู้ว่าการมณฑลได้อย่างสูสีเท่านั้น คงยากจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เพราะผู้ว่าไม่เพียงมีพลังงฝึกปรือเหนือกว่าโจวทงที่ตกตายไปเท่านั้น แต่ยังฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่มีระดับเหนือกว่าโจวทงอีกด้วย
ดังนั้นถึงตอนนี้เขาจะรับประทานโอสถจินเซียนจนพลังฝึกปรือบรรลุถึงจินเซียนตะวันเขียว เขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะมีพลังเหนือกว่าผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว
ลำพังผู้ว่าเขายังยากชนะ
เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนที่มีพลังเหนือกว่าผู้ว่าเลย!
“หญิงชรา?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิ่วเฟิงกู่ด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้าเมืองหลิ่ว แล้วหญิงชราที่ท่านว่า นางตามหาข้าด้วยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนนึกไม่ออกจริงๆ
เขาก็แค่คนที่พึ่งขึ้นมายังแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียนแห่งนี้เท่านั้น ไฉนมียอดฝีมือที่ร้ายกาจกว่าผู้ว่ามาตามหาตัวเขาได้?
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่านางมาหาเจ้าด้วยมีจุดประสงค์อันใด…แต่ที่ข้ารู้คือนางมิได้มาดีแน่ เพราะแม้ตอนถามหาเจ้าสีหน้านางจะแลดูเฉยๆไม่เปิดเผยอะไร แต่ข้าสังเกตเห็นเจตนาฆ่าฟันในแววตานางชัดเจน นางยังทำราวกับรอฆ่าเจ้าไม่ไหวแล้ว!!”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกเสียงเข้ม
“ฆ่าข้า?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด สีหน้าเผยความตึงเครียดขึ้น ในใจคล้ายมีมรสุมก่อเกิด
‘ข้าพึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้ไม่ถึง 3 ปี…ตลอดเวลาข้าก็แทบจะขลุกอยู่ในจวนผู้ว่า ไม่ก็จวนเจ้าเมือง แล้วข้าจะไปล่วงเกินตัวตนทรงพลังที่ไหนได้?’
‘หรือว่า…จะเป็นมือสังหารที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งมาฆ่าข้า?’
‘แต่…มิใช่ว่าช่องทางระหว่างระนาบเทวโลกกับดินแดนแห่งทวยเทพมันถูกปิดไปแล้วหรือไร อวิ๋นชิงเหยียนกับคนของมันก็สมควรติดอยู่ที่ดินแดนแห่งทวยเทพ แล้วจะส่งคนมาฆ่าข้าได้อย่างไร?’
‘อีกทั้ง…ถ้าเป็นคนของอวิ๋นชิงเหยียนจริง คงไม่ต้องถ่อมาตามหาตัวข้าที่เมืองเฉวี่ยโยวแบบนี้แน่’
ต้วนหลิงเทียยังจดจำฉากที่เขาพบเจอกับมือสังหารที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งมาในระนาบโลกียะได้ชัดถนัดตา อีกฝ่ายแหวกมิติมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาโดยตรง กระทั่งในวาจายังเอ่ยชัดว่าพลังฝีมือมันแน่กว่าจักรพรรดิสวรรค์!
เช่นนั้นหากเป็นมือสังหารที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งมาจริง เขาเชื่อว่ามันย่อมมีกลวิธีอันน่าพรั่นพรึงที่จะค้นหาตัวเขาได้ในพริบตาไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และแม้ไม่ต้องปรากฏตัว เพียงอาศัยหนึ่งห้วงคิดก็พิฆาตระยะไกล ฆ่าเขาให้ตายได้แน่ๆ
‘หากไม่ใช่คนที่อวิ๋นชิงเหยียนส่งมาฆ่าข้า ยังจะเป็นใครได้อีก?’
‘ทุกสิ่งที่ข้าทำตั้งแต่ขึ้นมาในหลิงหลัวเทียน ดูเหมือนจะไม่ได้ไปของแวะกับยอดฝีมือระดับนั้นที่ไหนเลย…’
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนอยู่ๆดีกลับมียอดฝีมือที่ไหนก็ไม่รู้คิดฆ่าเขาได้
การจะฆ่าคนจำต้องมีแรงจูงใจ
แต่เขาไม่ทราบจริงๆแรงจูงใจของหญิงชราท่าคืออะไร
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าพึ่งขึ้นมาหลิงหลังเทียนได้ไม่ถึง 3 ปี…แล้วเจ้าไปมีเรื่องกับตัวตนระดับนั้นได้อย่างไรกัน?”
หลิ่วเฟิงกูมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“เอาตรงๆนะเจ้าเมืองหลิ่ว…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา กล่าวตอบไปด้วยความสับสน เพราะเขาไม่รู้จริงๆนางเป็นใครแล้วเขาไปยั่วยุนางตอนไหน
“หรือจะเป็นเพราะโจวทง?”
หลิ่วเฟิงกู่สูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยเอ่ยถาม
“โจวทง?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าพาโจวทงมาให้ท่านฆ่ามีแต่พวกเราไม่กี่คนที่รู้เลย…ข้ารู้พื้นเพโจวทงจากอาวุโสเจิ้งชิวดี แถมเรื่องที่มันตายก็ยังเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแยกไม่ออก”
“หากหญิงชราที่ท่านว่า นางมาล้างแค้นให้โจวทงจริง ไฉนจึงเจาะจงถามหาแต่ข้าไม่สนใจท่าน?”
ต้วนหลิงเทียนวิเคราะห์
หลังฟังความคิดของต้วนหลิงเทียน หลิ่วเฟิงกู่ก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่ามันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนว่ามา เพราะมีเหตุผลรองรับชัดเจน “หากเป็นเช่นนั้น…นางมีความแค้นอะไรกับเจ้ากันแน่?”
“หรือ…นางจะเป็นยอดฝีมือที่ถูกอีก 15 มณฑลรวมหัวกันจ้างวานให้มาฆ่าข้า?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ยอดฝีมือที่อีก 15 มณฑลรวมหัวกันจ้างมาฆ่าเจ้า?”
หลิ่วเฟิงกู่ได้ยินถึงกับสะดุ้งไปทันที
“แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ…ถ้าเป็นนักฆ่าที่ถูกอีก 15 มณฑจ้างมาฆ่าข้าจริง มันต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าอยู่ที่จวนผู้ว่า แถมเรื่องในตระกูลหลิวก็ไม่น่าจะแพร่ไปถึงหูพวกมันเร็วขนาดนี้…”
หลังลองคิดดูเล็กน้อย ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินได้ว่านี่ไม่ใช่นักฆ่าที่อีก 15 มณฑลจ้างวานมาให้ฆ่าเขาแน่นอน
“ช้าก่อนต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอันใด?”
“ไฉนอยู่ๆอีก 15 มณฑลถึงต้องรวมหัวกันจ้างวานฆ่าเจ้าด้วยเล่า?”
หลิ่วเฟิงกู่ถาม
สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนลงมือในตระกูลหลิวนั้น แม้มันจะแพร่ไปทั่วเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว รวมไปถึงเมืองข้างเคียงแล้ว แต่ข่าวคราวก็ยังเดินทางมาไม่ถึงเมืองเฉวี่ยโยว
พอถูกหลิ่วเฟิงกู่ถาม ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มอธิบายถึงเรื่องที่เขากระทำไว้ที่สกุลหลิวเมื่อไม่กี่วันก่อนออกไปทันที
นอกจากนี้เขายังบอกอีกด้วยว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคิดออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว กระทั่งออกจากมณฑลจิ่วโยวไปเลย
“ที่แท้กลับมีเรื่องเช่นนี้…”
พอหลิ่วเฟิงกู่ได้รับทรบเรื่องราว มันก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวต่อออกมาด้วยความดีใจว่า “นับว่าเจ้าโชคดียิ่งนัก เพราะหญิงชรานั่นก็พึ่งจะออกจากเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ ไปตามหาเจ้าที่เมืองประจำมณฑลจิ่วโยวได้ไม่ทันไร…”
“กล่าวได้ว่า ครั้งนี้เพราะข้าคิดจากไป เลยรอดชีวิตมาแบบงงๆ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอประกายเรืองวาบ ในใจอดรู้สึกขอบคุณไม่ได้
“ต้วนหลิงเทียนในเมื่อเจ้าคิดจะออกจากเมืองประจำมณฑลรวมถึงมณฑลจิ่วโยว…แล้วไฉนเจ้ายังแวะกลับมาที่เมืองเฉวี่ยโยวเราอีกเล่า?”
หลิ่วเฟิงกู่ถามด้วยความสงสัย
“อ้อ ข้าคิดจะมาลาท่านเจ้าเมืองหลิ่วนั่นล่ะ…ที่สำคัญข้ายังติดค้างคำขอบคุณท่านเรื่องเบาะแสเพลิงอมตะอยู่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาตรงๆ
“เจ้า…เจ้าได้รับเพลิงอมตะนั่นมาแล้วหรือ?”
สองตาหลิ่วเฟิงกู่ลุกวาวขึ้นมาทันที
“ได้มาเรียบร้อย”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ตกลงเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำ?”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าววถามออกมาอีกรอบ
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เดิมทีข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพลิงอมตะระดับใด…แต่ตอนที่ข้าลองหลอมโอสถเสริมวิญญาณที่เป็นโอสถทิพย์ระดับต่ำดู ข้าก็พบว่าพลังของมันอาจจะไม่แรงพอหลอมโอสถระดับสูงกว่านี้ เลยยืนยันได้ว่ามันเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำ”
ตอนนี้เปลวเพลิงสีเทาที่ต้วนหลิงเทียนดึงออกมาได้ มีพลังอานุภาพเทียบได้กับเพลิงอมตะระดับต่ำเท่านั้น
สำหรับเปลวเพลิงสีเทาที่ซ่อนอยู่ในเศษโลหะไม่สมบูรณ์นั่น เพราะยังใช้ไม่ได้ เขาก็เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงจะควบคุมใช้งานมันได้รึเปล่า ด้วยความไม่แน่ใจนี้เอง เขาเลยไม่คิดจะบอกหลิ่วเฟิงกู่
แต่ถ้าหากเขาสามารถใช้เปลวเพลิงที่เหลือได้จริง พลังของมันสมควรเทียบได้กับเพลิงอมตะระดับกลางแน่นอน!
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพลิงอมตะระดับต่ำ…แต่ในเมื่อมันเป็นเปลวเพลิงอมตะระดับต่ำที่ต้องเป็นถึงตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนจึงจะครอบครองมันได้ เช่นนั้นก็เห็นได้ว่ามันสมควรไม่ใช่เพลิงอมตะระดับต่ำทั่วไปเป็นแน่ ขอแสดงความยินดีด้วยต้วนหลิงเทียน ที่เจ้าได้รับเพลิงอมตะระดับต่ำมาครองและกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับต่ำได้แล้ว”
หลิ่วเฟิงกู่ยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความยินดี
“ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณท่านนั่นล่ะเจ้าเมืองหลิ่ว หากไม่ได้ท่านบอกเบาะแสเพลิงอมตะให้ข้า เช่นนั้นข้าก็ยังไม่มีเพลิงอมตะใช้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเรื่องเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับต่ำ”
ในขณะที่กล่าวออกด้วยรอยยิ้มบางๆ ต้วนหลิงเทียนก็หงายฝ่ามือเรียกแหวนพื้นที่ออกมาวงหนึ่ง
“นี่คือ?”
หลิ่วเฟิงกู่ผงะไปด้วยสงสัย
“ข้าจากไปคราวนี้ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ข้าถึงจะได้กลับมา…ของในแหวนนั่นถือซะว่าเป็นของตอบแทนที่ท่านมอบเบาะแสเพลิงอมตะให้ข้าเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
“ต้วนหลิงเทียน”
หลิ่วเฟิงกู่คลี่ยิ้มขื่นขม “ทันทีที่ข้าบอกหญิงชรานั่นว่าเจ้าไปที่ใด ข้าก็ไม่ต่างใดจากคนทรยศเจ้าแล้ว อีกทั้งเจ้าก็ไม่ได้ติดค้างอันใดข้าแต่แรก เบาะแสเพลิอมตะนั่นล้วนเป็นเพราะข้อตกลงก่อนหน้าเจ้าเสียเปรียบเกินไป…หากจะกล่าวถึงเรื่องติดค้าง สมควรเป็นข้าที่ยังติดค้างเจ้ามากมาย…”
“เจ้าช่วยข้าจนล้างแค้นให้ศิษย์ได้สำเร็จ แต่ข้ากลับตอบแทนบุญคุณเจ้าด้วยความแค้น…”
ยิ่งกล่าวสีหน้าหลิ่วเฟิงกู่ก็ยิ่งหม่นหมองด้วยความรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าเมืองหลิ่ว เรื่องของข้าคนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ต่อให้ไม่มาถามท่านสุดท้ายสตรีชรานั่นก็รู้เองอยู่ดี ท่านแค่พูดเรื่องที่คนรู้กันทั่วเมืองเท่านั้น ยังจะนับประสาอะไรกับที่ท่านไร้ทางเลือก เช่นนั้นข้าไม่คิดโทษท่านแม้แต่น้อย ท่านก็อย่าได้คิดมากแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านรับไว้เถอะ…ข้าให้ด้วยใจ”
ภายใต้การโน้มน้าวคะยั้นคะยอของต้วนหลิงเทียน สุดท้ายหลิวเฟิงกู่ก็รับแหวนพื้นที่ไว้แต่โดยดี แต่พอมันผูกพันธะครองแหวนแล้วส่องภายในเข้าไปเจอหินอมตะระดับสูงกองพะเนิน รวมถึงยังมีขวดโอสถเสริมวิญญาณเรียงรายเป็นตับ มันก็เร่งถอนพันธะครองแหวนทันที
“ต้วนหลิงเทียนนี่มันมากเกินไปแล้ว…ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก! เจ้าเก็บหินอมตะระดับสูงกับโอสถเสริมวิญญาณไว้ใช้เองเถอะ!!”
หลิ่วเฟิงกู่ยื่นส่งแหวนพื้นที่คืนให้ต้วนหลิงเทียน
“เจ้าเมืองหลิ่ว ท่านรับไว้เถอะ…ตอนนี้ข้าไม่ขาดหินอมตะระดับสูงกับโอสถเสริมวิญญาณเลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ปฏิเสธไม่ยอมรับแหวนที่หลิ่วเฟิงกู่ยื่นส่งคืนให้ จากนั้นค่อยกล่าวว่า “เจ้าเมืองหลิ่วที่ข้ากลับมาเมืองงเฉวี่ยโยวครั้งนี้ก็เพื่อหาท่าน ในเมื่อพบแล้วก็ได้เวลาร่ำลา…วันหน้าถ้ามีโอกาสไว้ข้าจะแวะมาเยี่ยมเจ้าเมืองหลิ่ว”
“ช้าก่อนต้วนหลิงเทียน!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทำท่าราวกับจะจากไป หลิ่วเฟิงกู่ก็เร่งกล่าวรั้งเอาไว้ดวยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดจะไปปรากฏตัวที่พระราชวังฉินวันงาน เพื่อเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลอยู่หรอกนะ?”
“ข้าต้องไป…เรื่องนี้ข้ารับปากผู้ว่าเอาไว้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อว่า “นอกจากนั้นหากข้าชนะเลิศการประลอง ไม่เพียงแต่โอสถต้าหลัว 3 เม็ดที่จะมอบให้มณฑลต้นสังกัดเท่านั้น พระราชวังฉินสมควรให้รางวัลใหญ่กับข้าอีกด้วย…ถึงตอนนั้นข้าจะอาศัยสภาพแวดล้อมกับทรัพยากรของพระราชวังฉินเพื่อบ่มเพาะสร้างความก้าวหน้า…”
“แต่ว่า…เกิดหญิงชรานั่นนางไปดักรอเจ้าที่พระราชวังฉินดั่งเฝ้ารอกระต่ายหน้าโพรงเล่า? มิใช่ว่ามันจะเสี่ยงไปหน่อยหรือ…อย่างไรเสียพลังฝีมือของนางก็สมควรร้ายกาจนัก กระทั่งผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวก็มิน่าจะปกป้องเจ้าได้”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเหยเก
“ยอดฝีมือในพระราชวังฉินสมควรมีมากดั่งหมู่เมฆ…นางคงไม่กล้าบุกเข้ามาฆ่าข้าอย่างอุกอาจหรอกมั้ง?”
ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วกล่าว
“เรื่องนี้แม้ข้าไม่อยากมองในแง่ร้าย…แต่จากความรู้สึกข้า พลังฝีมือของนางสมควรเหนือล้ำกว่าชนชั้นผู้ว่ามณฑลมากจริงๆ ส่วนเรื่องที่ยอดฝีมือในพระราชวังฉินจะกำราบนางได้หรือไม่ข้ามิมั่นใจ”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกด้วยสีหน้าหวั่นวิตก “พอนางไปตามหาตัวเจ้าที่เมืองประจำมณฑลจิ่วโยว…และไม่เจอเจ้า จวบจนได้รับทราบเหตุผลที่เจ้าต้องหลบหนีออกจากมณฑลจิ่วโยว…”
“มีโอกาสเป็นไปได้สูงนัก ที่นางจะเลือกไปดักรอเจ้าที่งานประลอง 16 มณฑลของพระราชวังฉิน”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“เว้นเสียแต่…เจ้าจะยืนยันได้ว่า พลังฝีมือของนางที่แท้สามารถก่อคลื่นลมใดๆในพระราชวังฉินได้หรือไม่ก่อน…”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวเสริม
“แต่เรื่องนี้…มิรู้ว่าเจ้าพอจะหาทางยืนยันได้หรือไม่ เพราะอย่างไรนางก็คือยอดฝีมือลึกลับที่กระทั่งเจ้าเองก็ไม่รู้ความเป็นมานางด้วยซ้ำ…”