WSSTH ตอนที่ 2,676 : รอดตัว

เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรับปากไว้แล้ว่าจะไปเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉิน เถียนจี้หวี่ย่อมไม่คิดจะบอกสตรีชราออกไปตามตรง

เพราะสุดท้ายแล้วถ้ามันบอกออกไปตรงๆ สตรีชราย่อมไปยังพระราชวังฉินเพื่อดักรอฆ่าต้วนหลิงเทียนแน่นอน…

ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าคงไม่มีใครหยุดหญิงชราผู้นี้ได้นอกจากฮ่องเต้ฉินจะลงมือ

และสุดท้ายต้วนหลิงเทียนคงไม่พ้นต้องตาย!

นั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็น!

เพราะถ้าต้วนหลิงเทียนตาย มันก็ชวดโอสถต้าหลัวกันพอดี! เพราะคนตายจะเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลแล้วชิงอันดับ 1 มาให้มันได้อย่างไร?!

โอสถต้าหลัวเป็นอะไรที่มันฝันจะได้รับมานาน มันไม่ยอมพลาดโอกาสและปล่อยให้ใครมาทำลายความหวังนี้ของมันแน่!

ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นยอดเซียนอมตะก็ตาม

“หึ!”

หญิงชราสบถคำเสียงเย็น พร้อมกันนั้นก็เปล่งพลังออกมากดดันเถียนจี้หวี่อย่างแรง พาลให้คนต้องล่าถอยไปอีกหลายก้าว กระอักโลหิตออกมาอย่างห้ามไม่ไหว

โลหิตหล่นฟ้าแตกซ่านกระเซ็น ดั่งบุปผาสีเลือดเบ่งบานพร่างพราว

“พลังฝึกปรือของเจ้าใกล้บรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนขั้นปฐพีเต็มที…สมควรคิดอยู่ในจุดรอคอยนี่มานานแล้วใช่หรือไม่?”

สตรีชราเหลือบมองเถียนจี้หวี่ ค่อยเอ่ยถามเสียงเรียบ

จากนั้นไม่รอให้เถียนจี้หวี่ตอบคำอะไร สตรีชราก็กล่าวสืบต่อว่า “หากได้รับโอสถต้าหลัวสัก 2-3 เม็ด…เจ้าสมควรทะลวงด่านบรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนขั้นปฐพีได้ไม่ยาก”

ขณะพูดสายตาที่หญิงชราใช้มองเถียนจี้หวี่ยิ่งมายิ่งฉายความลึกล้ำ “หากข้าเป็นเจ้า ไม่พ้นต้องพยายามไม่ให้ต้วนหลิงเทียนพลาดการเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลแน่…เพราอย่างไรเสียเจ้าก็พึ่งพูดเองว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน สมควรได้รับอันดับ 1 โดยง่าย…”

“แถมเป็นเพราะเรื่องนี้ อีก15 มณฑลยังคิดจะฆ่าคน เพื่อกันท่าไม่ให้มันเข้าประลอง…”

สตรีชรากล่าวจบในหนึ่งคำ

“ท่านกล่าวถูกทั้งสิ้น ท่านผู้อาวุโส”

เถียนจี้หวี่เผยยิ้มขื่นขม กล่าวว่า “ข้าไหนเลยอยากจะเห็นต้วนหลิงเทียนพลาดการประลอง เพราะข้าต้องการโอสถต้าหลัวจริงๆ…แต่ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนลาจาก มันไม่ได้บอกข้าไว้ว่ามันจะไปเข้าร่วมการประลองหรือไม่”

“ข้ากระทั่งรับปากมันด้วยซ้ำ ว่าถ้าหากมันมาเข้าร่วมการประลองแล้วคว้าอันดับ 1 ได้จริง ข้าจะแบ่งโอสถต้าหลัวให้มันเม็ดหนึ่ง อย่างไรก็ตามข้าดูจากท่าทีของมันแล้ว มันไม่คล้ายจะสนใจเข้าร่วมการประลองแม้แต่น้อย เพราะไม่อยากเสี่ยงเปิดโอกาสให้อีก 15 มณฑลส่งคนมาเก็บก่อนได้อันดับแรก”

“ฟังจากที่มันว่า…มันไม่เข้าร่วมประลองก็แล้วไป แต่ถ้าเข้าร่วมการประลองชีวิตก็ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอาจถูกฆ่าตายได้ทุกเมื่อ มันจึงไม่คิดจะเสี่ยงโดยใช่เหตุ”

เถียนจี้หวี่กล่าว

“แล้วเจ้าไม่คิดบังคับให้มันอยู่หรือไร ไฉนถึงปลอยมันไปง่ายๆ?”

สตรีชรากล่าวออกเสียงหนัก

“ท่านผู้อาวุโสข้ารั้งมันไว้ไม่ปล่อยไป…จะได้ผลลัพธ์อันใด สุดท้ายหากอีก 15 มณฑลจ้างวานยอดฝีมือมา มันก็ไม่พ้นต้องตายต่อหน้าข้าอยู่ดี! ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่ได้อะไรเลย”

“แต่ถ้าข้าปล่อยมันไป ถึงแม้มันจะไม่ได้เข้าร่วมการประลอง 16 มณพลเพื่อข้า แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องรู้สึกขอบคุณที่ข้าไม่บีบคั้นเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้…ด้วยพรสวรรค์ของมัน ขอเพียงการเดินทางหลบหนีครั้งนี้ราบรื่นและมีเวลาให้เติบโต อนาคตมันย่อมกว้างไกลไร้ขอบเขต…”

“วันใดที่มันเติบโตขึ้น แล้วมันย้อนนึกถึงวันนี้ที่ข้ายอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ไม่แน่มันอาจหาโอสถต้าหลัวมาชดเชยให้ข้าก็เป็นได้…ดังนั้นการปล่อยให้มันจากไป ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้ว”

“อาวุโสท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่”

ฟังคำตอบของเถียนจี้หวี่แล้ว ดูเหมือนจะไร้ช่องโห่วใดๆ

และเหตุผลที่มันพูดมากขนาดนี้ก็เพื่อทำให้สตรีชราไขว้เขว และบอกเป็นนัยว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลแน่นอน…

หาไม่แล้วเกิดสตรีชราไปดักรอต้วนหลิงเทียนที่พระราชวังฉินจริง ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นตายอนาถแน่!

และถึงมันจะให้ความร่วมมือไปแต่โดยดี อีกฝ่ายก็ไม่มีทางมอบโอสถต้าหลัวมาให้มันแน่

ต้องกล่าวเลยว่าคำยกอ้างของเถียนจี้หวี่นั้นได้เรื่องจริงๆ เพราะไม่มีช่องโหว่อะไร

อย่างน้อยๆสตรีชราก็ไม่สงสัยในวาจาของมัน

“แล้วตอนที่มันจากไปได้บอกไว้หรือไม่ ว่ามันคิดจะไปไหน?”

สตรีชรามองจ้องเถียนจี้หวี่เขม็ง จี้ถามเสียงเข้ม

ได้ยินคำถามของสตรีชรา ในใจเถียนจี้หวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอก เพราะนี่หมายความว่าสตรีชราเชื่อคำพูดมัน และไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะไปเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินอีก

จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความปิติยินดี แต่ก็ไม่กล้าเผยออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยว

“ตอนที่ข้าถามมันว่าคิดไปที่ใด…มันก็ตอบมาว่า ไม่รู้จะไปที่ไหนเหมือนกัน”

เถียนจี้หวี่เผยยิ้มขื่นขมกล่าวตอบ “เช่นนั้นกล่าวได้ว่าตัวมันเองก็ยังไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด…ข้าจึงมิอาจทราบได้ว่ามันไปอยู่ที่ใดแล้ว อย่างไรก็ตามมันพึ่งออกเดินทางได้แค่ 3 วันเท่านั้น หากมันไม่รีบนักก็อาจจะยังอยู่ในเขตมณฑลจิ่วโยว”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โกหกข้า…หากวันหน้าข้ารู้ว่าเจ้าล่วงรู้จุดหมายมันแต่แรกแต่กลับปิดบังข้าเอาไว้…เจ้าตาย!”

หลังทิ้งวาจาดังกล่าวเอาไว้ ร่างสตรีชราก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาเถียนจี้หวี่

แม้จะมองอยู่ไม่วางตา แต่เถียนจี้หวี่ก็ไม่อาจแลเห็นร่องรอยใดๆได้เลย ราวกับสตรีชราได้อันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่าจริงๆ

‘สตรีชราผู้นี้…น่ากลัวจะไม่ใช่แค่ยอดเซียนอมตะธรรมดาๆเสียแล้ว’

หลังสตรีชราจากไป ลูกตาเถียนจี้หวี่ก็อดไม่ได้ที่จะฉายความสั่นไหวให้เห็น

เพราะต่อให้เป็นฮ่องเต้ฉินมาเอง ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุด ก็ไม่น่าจะเร็วถึงขั้นไม่เหลือร่องรอยใดๆเฉกเช่นหญิงชรา

พลังฝีมือสูงส่งของหญิงชรา ขู่ขวัญเถียนจี้หวี่ให้หวาดกลัวนัก!

“ไม่รู้จริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนไปสร้างความขุ่นเคืองให้ยอดฝีมือระดับนี้ได้อย่างไร…”

เถียนจี้หวี่ได้แต่คลี่ยิ้มระทม

“ไม่ใช่!”

ทันใดนั้นเองในใจเถียนจี้หวี่คล้ายมีประกายสว่างาบด้วยฉุกคิดอะไรได้ออก “ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อยปี แต่พลังฝีมือแทบจะทัดเทียมต้าหลัวจินเซียน…ตัวตนเช่นนี้ไม่สมควรมาปรากฏในมณฑลจิ่วโยวแต่แรกแล้ว!”

“หรือ…ความเป็นมาของมันจะไม่ธรรมดา?”

“เป็นไปได้หรือไม่…ที่เดิมมันเป็นคนของขุมพลังใหญ่ หากทว่าขุมพลังใหญ่ของมันกลับถูกศัตรูล่าล้างสังหาร จนมันต้องมาหลบซ่อนตัวอยู่ในมณฑลจิ่วโยว และสตรีชรานี่ก็เป็นยอดฝีมือจากขุมพลังคู่อริที่ไล่ฆ่ามันมาถึงนี่?”

ยิ่งคิดเท่าไหร่ เถียนจี้หวี่ก็คิดว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากทีเดียว!

ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบความคิดดังกล่าวของเถียนจี้หวี่ ไม่งั้นเขาต้องตะลึงกับจินตนาการแสนบรรเจิดของมันแน่

เป็นธรรมดาที่เถียนจี้หวี่จะคิดไปทำนองนี้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่รู้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนได้ไม่ถึง 3 ปี..

‘หวังว่าสตรีชราผู้นั้นจะไม่ตามมาดักรอต้วนหลิงเทียนตอนงานประลอง 16 มณฑล…หากนางมา ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะถึงคราวเคราะห์ ข้าไม่พ้นต้องซวยไปด้วยแน่นอน เพราะขอเพียงสตรีชราเค้นถามต้วนหลิงเทียนก่อนฆ่า ไม่พ้นต้องทราบแน่ว่าข้าโกหก’

จังหวะนี้เถียนจี้หวี่ได้แต่ลอบภาวนาในใจ ว่าสตรีชราแสนน่ากลัวนั่นจะไม่มาปรากฏตัวในวันงานประลอง 16 มณฑล

เพราะวันนั้นต้วนหลิงเทียนเองก็สมควรอยู่ที่พระราชวังฉินเช่นกัน

ด้านต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้เลย ว่าถ้าหากเขาออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวล่าช้าไปแค่ 3 วัน ป่านนี้เขาได้เป็นผีโง่งมเพราะสตรีชราไปแล้วแน่นอน…

และตั้งแต่ที่ออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวเมื่อ 3 วันก่อน ต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จะไปไหน ก็เลือกที่จะมุ่งหน้าขึ้นเหนือหมายไปยังเมืองเฉวี่ยโยว เพื่อพบหน้าหลิ่วเฟิงกู่ เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอีกครั้งก่อนจะออกจากมณฑลจิ่วโยว

แม้ระหว่างเขากับหลิ่วเฟิงกู่จะไม่ได้มีมิตรภาพลึกกล้ำอะไร อย่างไรก็ตามหลิ่วเฟิงกู่ได้ช่วยเหลือเขาเกินข้อตกลงในอดีต และบอกเบาะแสเพลิงอมตะให้เขามา เลยทำให้เขาได้ประโยชน์มาอย่างไม่คาดคิด

ดังนั้นไปหาหลิ่วเฟิงกู่ครานี้ ก็เพื่อขอบคุณอีกครั้ง ยังจะมอบหินอมตะระดับสูงรวมถึงโอสถเสริมวิญญาณไว้ให้หลิวเฟิ่งกู่จำนวนหนึ่ง

เพราะสำหรับเขาในตอนนี้ไม่ว่าจะโอสถเสริมวิญญาณก็ดี หินอมตะระดับสูงก็ดี เขาจะผลิตมันตอนไหนก็ได้…

แต่กับหลิ่วเฟิงกู่แล้ว นี่คือของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

‘ข้าต้วนหลิงเทียนไม่ชอบติดค้างผู้ใด…ก่อนออกจากมณฑลจิ่วโยว หินอมตะระดับสูงกับโอสถเสริมวิญญาณก็ถือว่าเป็นการตอบแทนเรื่องเบาะแสเพลิงอมตะสีเทา’

‘บางที…วันหน้าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว’

ต้วนหลิงเทียนได้หอบความคิดดังกล่าวเดินทางไปยังเมืองเฉวี่ยโยว และไม่นานก็บรรลุถึงจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว

“ต้วนหลิงเทียน?!”

สิ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องประหลาดใจก็คือ พอได้เห็นหน้าเขา หลิ่วเฟิงกู่ก็เผยทีท่ายินดีทั้งมีความสุข “เจ้า…เจ้า…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

ทำราวกับการได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นยินดีนัก

“หืม?”

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็มองเห็นความรู้สึกผิดในแววตาของหลิ่วเฟิ่งกู่ ทำราวกับอีกฝ่ายบังเกิดความละอายใจต่อตัวเขาอย่างไรชอบกล

“เจ้าเมืองหลิ่ว…ท่านเป็นอะไรไป?”

ต้วนหลิงเทียนได้แต่ฉงนใจ ว่าทำไมเห็นเขาอีกครั้งหลิ่วเฟิงกู่ถึงได้แลดูตื่นเต้นยินดีนัก

กระทั่งไฉนยังทำเหมือนรู้สึกผิดต่อเขา?

“ต้วนหลิงเทียน อภัยให้ข้าด้วย…ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน”

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลิ่วเฟิงกู่ก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน จากนั้นก็เริ่มเล่ารายละเอียดให้ต้วนหลิงเทียนฟัง

“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีสตรีชรานางหนึ่งบุกมาเรียกหาเจ้าห้วนๆเหนือจวน สุดท้ายก็คาดคั้นเอาจากข้าว่าเจ้าไปที่ใด”

“ด้วยความที่นางเอาชีวิตคนในจวนเจ้าเมือง รวมถึงชีวิตคนในกองทัพมังกรดำมาข่มขู่…ข้าจึงไร้ทางเลือก ได้แต่บอกนางไปแต่โดยดีว่าเจ้าเดินทางไปเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวแล้ว อีกทั้งถึงตอนนั้นให้ข้าโกหกนางไป ไม่พ้นนางก็ต้องได้ยินข่าวลือเรื่องเจ้าจนรู้เองอยู่ดี”

“ที่สำคัญคือพลังฝึกปรือของนางกล้าแข็งเกินไป…แค่แผ่แรงกดดันพลังออกมาข้าก็ทำได้แค่คุกเข่ายอมจำนน ยังทำให้ข้าบอบช้ำภายในนัก”

“ข้ารู้สึกว่า…พลังของนางสมควรเหนือล้ำกว่าผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวเสียอีก”

พูดถึงท้ายประโยคสีหน้าของหลิวเฟิ่งกู่ยิ่งมาก็ยิ่งเผยความตึงเครียดหวาดกลัว