WSSTH ตอนที่ 2,680 : วันสุดท้าย

การประลอง 16 มณฑลนับว่าดุเดือนไม่น้อย เหล่ารุ่นเยาว์ของแต่ละมณฑลพยายามสู้เต็มกำลัง หมายคว้าชัยชนะและเกียรติยศกลับมาให้ได้ แน่นอนว่ามีผู้ชนะก็ย่อมมีผู้แพ้ และผู้ชนะบางคนแม้จะชนะไปแล้วแต่ก็บาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจประลองต่อได้ไหว…

แล้วการประลองที่ทุกคนต้องสู้ติดต่อกันแบบนี้ ใช่จะหาสิบอันดับที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆได้เลยหรือไม่?

คำตอบก็คือไม่ใช่! เพราะต่อให้เป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดหากลงประลองติดต่อกัน จะอย่างไรก็ต้องเหนื่อยล้าหมดแรง

แต่เป็นธรรมดาว่าปัญหานี้ก็ทางผู้จัดมองออกแต่แรก!!

เช่นนั้นในการประลอง 16 มณฑลคราวนี้ ทางพระราชวังฉินจึงได้ตั้งกฏเอาไว้ว่า…

ทั้ง 16 มณฑลสามารถเลือกรุ่นเยาว์คนใดคนหนึ่งให้เป็น ‘ไพ่ตาย’ ของมณฑลตัวเองได้! เพื่อเก็บรุ่นเยาว์ผู้นั้นเอาไว้ท้าชิง 3 อันดับแรกได้โดยเฉพาะ!!

สาเหตุที่ทางพระราชวังฉินตั้งกฏนี้ขึ้น ก็เพื่อให้แต่ละมณฑลเก็บงำยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเองเอาไว้ หมายให้รุ่นเยาว์คนนั้นสงวนพลัง และอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด

อย่างไรก็ตามหากมณฑลใดเลือกที่จะเก็บไพ่ตายเอาไว้ แต่สุดท้ายกลับช่วงชิง 3 อันดับแรกไม่สำเร็จ และไม่อาจติดแม้แต่ 10 อันดับแรกได้ล่ะก็…มณฑลนั้นจะถูกพระราชวังฉินลงโทษโดยการจ่ายภาษีหินอมตะมากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าเป็นระยะเวลา 10 ปี!!

ทำให้มณฑลใดที่ไม่มั่นใจว่าคนของตัวเองจะติด 10 อันดับแรกได้ ก็ไม่กล้าเลือกใครเป็นไพ่ตายแล้วเก็บเอาไว้!

แน่นอนว่าทั้งหมดพระราชวังฉินไม่ได้บังคับให้ทุกมณฑลต้องมีไพ่ตาย

เพียงแค่หากมณฑลใดเลือกเก็บไพ่ตายไว้แล้ว ก็ต้องกระทำตามกฏด้านบน เกิดรุ่นเยาว์ของพวกมันไม่อาจติด 10 อันดับแรกได้ ทั้งมณฑลก็ต้องแบกรับภาษี 3 เท่าไปสิบปีเท่านั้น!

ในบรรดา 16 มณฑลนั้น มีแค่ 3 มณฑลเท่านั้นที่ไม่มีความมั่นใจในพลังฝีมือรุ่นเยาว์ของตัวเอง สุดท้ายพวกมันก็เลยไม่เลือกผู้ใดให้เป็นไพ่ตาย

ส่วนอีก 13 มณฑลได้เลือกคนเป็นไพ่ตาย เอาไว้ทิ้งในช่วงเวลาสุดท้าย!

ตัวอย่างเช่นมณฑลจิ่วโยว

ไพ่ตายของมณฑลจิ่วโยวก็คือต้วนหลิงเทียนที่ยังไม่ปรากฏตัว

วันนี้หากต้วนหลิงเทียนไม่ปรากฏตัวออกมา เช่นนั้นมณฑลจิ่วโยวก็ไม่ต่างอะไรจากไม่มีหวังติด 3 อันดับแรก และถ้าคนในมณฑลไม่มีผู้ใดติดอยู่ใน 10 อันดับแรกเลย เช่นนั้นมณฑลจิ่วโยวก็ต้องถูกลงโทษให้เสียภาษีเพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็นเวลา 10 ปี!

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนของมณฑลจิ่วโยวเคร่งเครียดกันนัก

“นี่ก็วันสุดท้ายแล้ว…ไฉนป่านนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่มา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ?”

ฉินอวี่ที่ยังไม่แพ้ผู้ใด ตอนนี้ก็สามารถติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้แล้ว

แต่เป็นธรรมดาว่าการติด 10 อันดับแรกในตอนนี้ ยังไม่อาจทำให้ทุกคนวางใจได้โดยสมบูรณ์ เพราะตอนนี้ยังมีรุ่นเยาว์อีก 13 คนที่ยังไม่ลงมือเคลื่อนไหว และ 12 คนในนั้นก็คือไพ่ตายของมณฑลอื่น เป็นธรรมดาว่าพลังฝีมือของพวกมันก็ไม่แน่ว่าจะอ่อนด้อยกว่าฉินอวี่!

จนเมื่อทั้ง 13 คนที่เป็นไพ่ตายลงประลองเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น จึงจะตัดสินได้ว่า 10 อันดับแรกในการประลอง 16 มณฑลครานี้เป็นผู้ใดบ้าง…

เช่นนั้นถึงแม้ตอนนี้ฉินอวี่จะติดอยู่ใน 10 อันดับแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ตลอดรอดฝั่ง

และถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่มา แต่ฉินอวี่ก็ยังมีศัตรูที่ทรงพลังอีก 12 คน!

ด้วยเหตุนี้ใจของฉินอวี่จึงยังนิ่งเหมือนน้ำในบ่อ

อย่างไรก็ตาม ลึกๆแล้วมันก็อดเป็นห่วงต้วนหลิงเทียนไม่ได้

“ผู้ว่าเถียน”

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผู้ว่าของมณฑลผิงชานหวังฉี่หลิงได้เดินมาถึงอัฒจันทร์ส่วนของมณฑลจิ่วโยว ที่ผู้ว่าอย่างเถียนจี้หวี่นั่งอยู่ มันกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “ไพ่ตายของมณฑลจิ่วโยวท่านสมควรเป็นต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่ แต่ดูเหมือนตอนนี้คนยังไม่มาเลยนี่นา?”

“ข้าได้ยินมาว่ามันออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวไปเมื่อราวๆปีก่อน แถมยังออกจากมณฑลจิ่วโยวไปเลยด้วย…ไม่ใช่ว่าป่านนี้คนได้ตกตายไปด้านนอกแล้วหรอกนะ?”

หลังถามจบคำรอยยิ้มของหวังฉี่หลิงก็ฉีกกว้างนัก

“การประลอง 16 มณฑล…มิใช่ว่ายังไม่จบหรอกหรือ?”

เถียนจี้หวี่หยีตากล่าวออกเสียงเบา “แล้วไฉนผู้ว่าหวังถึงได้รีบตัดสินนักเล่า? อีกทั้งดูเหมือนท่านจะไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนมาอย่างออกหน้าออกตาเสียเหลือเกิน…ดูเหมือนท่านจะไม่ได้มีความมั่นใจในตัว หยางจิ้น ของมณฑลผิงชานท่านเอาเสียเลย”

กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของเถียนจี้หวี่ก็ไม่ขาดการเย้ยเยาะ

หยางจิ้นที่ว่าก็คือไพ่ตายที่มณฑลผิงชานเก็บไว้ช่วงชิง 3 อันดับแรก และยังไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามถึงหยางจิ้นจะยังไม่ได้ลงมือ หากทว่าพลังฝีมือของมันก็เป็นที่ยอมรับของทั้งมณฑลผิงชาน แม้พลังฝีมืออาจไม่สู้ต้วนหลิงเทียน แต่ชื่อเสียงของมันในมณฑลผิงชาน ก็โด่งดังไม่น้อยกว่าชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนในมณฑลจิ่วโยวเลย

“หากเป็นผู้อื่นข้าไหนเลยจะไม่มั่นใจในตัวหยางจิ้นได้…แต่เว้นต้วนหลิงเทียนของท่านไว้คนหนึ่ง เพราะต่อให้เป็นหยางจิ้นข้าก็ไม่มีความมั่นใจอันใด และมิใช่ข้าเท่านั้น กระทั่งทุกมณฑลก็ไร้ผู้ใดมั่นใจในคนของตัวเองหากต้วนหลิงเทียนนปรากกฏตัว…”

ได้ยินคำเย้ยเยาะของเถียนจี้หวี่ หวังฉี่หลิงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เลือกจะกล่าวตอบโต้ออกไปยืดยาว “เพราะสุดท้ายต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เมื่อเกือบปีที่แล้วก็ได้เผยพลังฝีมืออันน่ากลัวออกมาในตระกูลหลิว จนผู้คนได้ประจักษ์กันทั่ว ว่าใกล้เทียบกับต้าหลัวจินเซียนได้เต็มที…”

“กระทั่งเป็นอาวุโสผางปิง ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าอันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียนของมณฑลจิ่วโยวท่านยังยอมรับกับปากว่าสู้ไม่ได้มิใช่หรือไร?”

“ข้าลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ทันที ว่าถ้าให้หยางจิ้นเผชิญหน้ากับผางปิงอันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียนของมณฑลท่านตอนนี้ ก็คงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความหวัง เช่นนั้นข้ายังจะเอาอะไรไปมั่นใจในตัวหยางจิ้นได้? เพราะเท่าที่ทราบกระทั่งอดีตอันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียนของมณฑลจิ่วโยว ผางปิง ก็ยังด้อยกว่าอยู่มาก”

ฟังคำที่หวังฉี่หลิงพูดแล้ว เห็นชัดว่ามันไม่เพียงแต่จะรู้ถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนดี แต่ยังนับถือพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย

หากเป็นคนที่ไม่รู้มาได้ยิน เผลอๆอาจจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนอยู่มณฑลมัน ไม่ใช่อยู่ในมณฑลจิ่วโยว

และ ‘อันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียนของมณฑลจิ่วโยวตอนนี้’ ที่มันเอ่ยถึงก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นต้วนหลิงเทียนนั่นเอง

“ผู้ว่าหวังนับว่ารู้ตัวเองดีจริงๆ”

ได้ยินหวังฉี่หลิงเอ่ยปากชมต้วนหลิงเทียนออกมา เถียนจี้หวี่ก็ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดต่อ สุดท้ายหลังมองจ้องหวังฉี่หลิงพักหนึ่ง จึงได้แต่เอ่ยตอบไปแบบนั้น

“ผู้ว่าเถียน…ต้วนหลิงเทียนของมณฑลจิ่วโยวท่าน ที่แท้ยังไม่มาหรือท่านซ่อนคนเอาไว้กันแน่?”

อยู่ๆหวังฉี่หลิงก็มองจ้องเถียนจี้หวี่เขม็ง กล่าวถามออกมาตามตรง!

“ดูเหมือนผู้ว่าหวังจะสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนของมณฑลข้าจริงๆ”

เถียนจี้หวี่กล่าว

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา…และข้าคิดว่าไม่ได้มีแต่ข้าเท่านั้น กระทั่งผู้ว่าของอีก 14 มณฑลที่เหลือ ข้าก็เชื่อว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่สนใจเรื่องต้วนหลิงเทียน แม้แต่ฮ่องเต้ฉินของพระราชวังฉินยังกล่าวถามเรื่องต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยครั้ง…”

กล่าวถึงประโยคท้าย แววตาของหวังฉี่หลิงแลดูลึกล้ำนัก ความอิจฉาฉายออกมาไม่ขาด

“ผู้ว่าเถียน ข้าถามท่านตรงๆเถอะ…ต้วนหลิงเทียนใช่อยู่ที่นี่แล้วหรือไม่?”

หวังฉี่หลิงกล่าวถามอีกครั้ง

มันไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขณะเอ่ยถามออกไป น้ำเสียงของมันฟังดูรีบเร่งไม่น้อย ทำราวกับมันร้อนใจอยากรู้ให้ได้…ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนมาแล้วหรือไม่!

“ผู้ว่าหวัง…ไม่ใช่ท่านพึ่งกล่าวเองหรอกหรือ ว่าต้วนหลิงเทียนอาจตกตายด้านนอก?”

เถียนจี้หวี่เอ่ยถามเสียงเบา

“ฮาย นั่นข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”

ได้ยินคำถามของเถียนจี้หวี่ หวังฉี่หลิงถึงกับสะอึกไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ

“หากท่านผู้ว่าหวังอยากรู้ว่าต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่หรือไม่…ใยท่านต้องรีบร้อนด้วยเล่า ประเดี๋ยวพอถึงตอนบ่าย 10 อันดับแรกที่ถูกตัดสินชั่วคราว ก็จะประชันกันเพื่อหา 3 อันดับแรกอยู่ดี…”

เถียนจี้หวี่กล่าวออกเสียงเรียบ “ต้วนหลิงเทียนบางทีอาจไม่มา แต่ถ้ามาเดี๋ยวท่านก็ได้เห็นเองในการประลองช่วงบ่าย”

“จะว่าไป…ข้ารู้สึกเหมือนผู้ว่าหวัง ไฉนคล้ายไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนปรากกฏตัวนักเล่า?”

กล่าวถึงท้ายประโยคสองตาเถียนจี้หวี่ก็มองจ้องหวังฉี่หลิงด้วยสายคาแหลมคม เผยให้เห็นถึงความท้าทายประการหนึ่ง

“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร!”

หวังฉี่หลิงส่ายหัวพลางยิ้มกล่าว “ข้ายังรอให้คนปรากฏตัวนัก…ถึงแม้ข้าจะรู้ดีว่าหากมันปรากฏตัวขึ้น อันดับแรกในการประลอง 16 มณฑลไม่พ้นต้องเป็นของมัน แต่ข้าเองก็อยากเห็นโฉมหน้ารุ่นเยาว์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้ต้าหลัวจินเซียนของมณฑลจิ่วโยวสักครา”

ขณะกล่าวตอบคำ สีหน้าท่าทีของหวังฉี่หลิงก็เผยความคาดหวังระคนยกย่องประการหนึ่ง ราวกับมันต้องการอย่างนั้นจริงๆ

แต่จะใช่แน่เหรอ?

“ผู้ว่าเถียน การประลองชิง 3 อันดับแรกใกล้เริ่มแล้ว…แต่ละมณฑลก็ใกล้จะทิ้งไพ่ตายของตัวเองลงมาเต็มที ข้าขอกลับไปหาคนมณฑลผิงชานของข้าก่อน ไม่รบกกวนท่านแล้ว…”

หลังหวังฉี่หลิงกล่าวลาเถียนจี้หวี่จบคำมันก็หันหลังพร้อมจากไปทันที

“ไม่ส่ง!”

เถียนจี้หวี่กล่าวคำออกมาสั้นๆสองคำ ขณะมองแผ่นหลังหวังฉี่หลิงที่กำลังเดินจากไป

และหลังจากที่หวังฉี่หลิงจากไปไกลแล้ว ลึกลงไปในแววตาของเถียนจี้หวี่ก็อดเผยความกังวลออกมาไม่ได้

เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการประลอง 16 มณฑลแล้ว…

ทว่าจนถึงตอนนี้ มันยังไม่เห็นแม้แต่เงาของต้วนหลิงเทียนเลย ราวกับต้วนหลิงเทียนยังมาไม่ถึงพระราชวังฉิน กระทั่งอาจจะยังมาไม่ถึงเมืองพระราชวังฉินแห่งนี้ด้วยซ้ำ

ส่วนอีกด้าน

หลังหวังฉี่หลิงเดินกลับมายังอัฒจันทร์ที่นั่งส่วนของมณฑลผิงชาน มันก็มาหยุดยืนข้างๆร่างบางในชุดคลุมลมสีเทาที่ปกปิดหน้าตาตัวเองมิดชิด ด้วยกริยาท่าทางเรียบๆร้อยๆราวยืนอยู่ข้างผู้หลักผู้ใหญ่ “ท่านผู้อาวุโสข้าลองไปโยนหินถามทางเถียนจี้หวี่มา…แต่ไม่ได้อะไร”

“มันนับว่ามากไหวพริบนัก พยายามเลี่ยงประเด็นตลอด”

หวังฉี่หลิงส่งเสียงผ่านพลัง

“ช่างเถอะ”

เสียงผ่านพลังหนึ่งดังขึ้นในหูหวังฉี่หลิง น้ำเสียงยังราบเรียบฟังดูสงบนัก “อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการประลอง 16 มณฑล…หากต้วนหลิงเทียนจะมา อย่างไรมันก็ต้องปรากฏตัวออกมาช่วงบ่ายนี้แน่นอน หากไม่มาเช่นนั้นก็หมายความว่ามันไม่คิดจะเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลแต่แรก”

“คนผู้นั้นเป็นใครกัน?”

เหล่าอาวุโสของมณฑลผิงชานที่ติดตามหวังฉี่หลิงมาด้วย พอเห็นว่าผู้นำของพวกมันไปยืนเรียบๆร้อยๆข้างๆคนในชุดคลุมลมสีเทา พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาในใจ

อยากรู้นัก ว่าคนในชุดคลุมสีเทาที่แท้เป็นใครกันแน่ ไฉนถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากผู้ว่าการมณฑลผิงชานของพวกมัน

“คนผู้นั้น…หรือจะเป็นยอดฝีมือที่พวกท่านผู้ว่าไปจ้างวานมาให้ฆ่าต้วนหลิงเทียน?”

อาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ

“จะเป็นไปได้อย่างไร?”

อาวุโสอีกคนเอ่ยแย้ง “ตอนนี้หากท่านผู้ว่ากล้าขอให้ผู้ใดฆ่าต้วนหลิงเทียน…ฮ่องเต่ฉินยังจะปล่อยไปได้หรือ เพราะสุดท้ายจะอย่างไรที่นี่ก็คือพระราชวังฉิน!”

“ต้วนหลิงเทียนเมื่อยังไม่ปรากฏตัว ก็อาจเป็นได้ว่ามันไม่คิดมาแล้ว…และถ้ามันไม่มาหยางจิ้นของพวกเราก็มีโอกาสสูงนักที่จะชิงอันดับ 1 ในการประลอง 16 มณฑลครั้งนี้มาครอง!”

อาวุโสฝ่ายในของมณฑลผิงชานอีกคนกล่าวสรุป