เล่ม-1 ตอนที่ 359-2 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 359-2 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (2)

ตรงกลางระหว่างบ้านชิงเหลียนกับเสี่ยวอวี่เซวียนมีการตั้งประตูบานใหม่ เฉียวเวยผลักเปิดประตูบานนั้นเบาๆ ยื่นศีรษะกลมกิ๊กของตนเข้าไปมองซ้ายมองขวา แล้วแค่นเสียงออกทางจมูกใส่ปี้เอ๋อร์ที่นั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ใต้ต้นเถา ปี้เอ๋อร์ได้ยินเสียงเลยหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นฮูหยินของตน จึงมองด้วยสายตาสงสัย “ฮูหยินท่านทำอะไรน่ะ เหตุใดจึงทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้”

เฉียวเวยทำท่าบอกให้อีกฝ่ายเงียบๆ

ปี้เอ๋อร์เลยรีบปิดปาก เอาพื้นรองเท้าที่เย็บได้ครึ่งทางวางใส่ลงในตะกร้าแล้วเดินเข้าไปหาเฉียวเวยพร้อมกระซิบถาม “ฮูหยินท่านทำอะไรน่ะ”

เฉียวเวยถามอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “หมิงซิวไปรึยัง”

ปี้เอ๋อร์ “ไปแล้ว ไปส่งพวกจิ่งอวิ๋นเข้าเรียนแล้ว”

เฉียวเวยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ยืดตัวขึ้นเดินอย่างผึ่งผายเข้าบ้านชิงเหลียนไป

ปี้เอ๋อร์เห็นรอยตรงคอของนางในทันทีจึงร้องด้วยความตกใจว่า “ฮูหยิน! นี่ท่านไปทำอะไรมา เมื่อคืนตอนท่านออกไปยังไม่มีเลยนะเจ้าคะ!”

เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง “ยังชัดมากอยู่หรือ”

นี่ผ่านมาตั้งคืนหนึ่งแล้วนะ!

เมื่อวานนางออกไปโดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อของกินให้ฟู่เสวี่ยเยียน ตอนกลับมาก็บอกอีกว่าฟู่เสวี่ยเยียนไม่ค่อยสบาย ต้องคอยอยู่ดูแลทั้งคืน เดิมทีคิดว่าผ่านไปคืนหนึ่งร่องรอยตามตัวจะหายไปพอประมาณแล้วเสียอีก เหตุใดถึงยังมีอยู่ได้

ปี้เอ๋อร์พยักหน้ารัวเป็นสับกระเทียม ชัดมาก ชัดที่สุด แค่มองผ่านๆ ก็เห็นแล้ว ปี้เอ๋อร์ที่เก็บกวาด “สมรภูมิ” มานักต่อนักเรียกได้ว่าคุ้นเคยกับร่องรอยพิศวาสเช่นนี้เป็นอย่างดี นี่ไม่มีทางใช่รอยยุงกัดแน่

เฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง ส่องกระจกแล้วถึงกับอุทานออกมา แม่เจ้า! นี่สวินหลันใช้กัดเอากระมังนี่!

ยิ่งเปิดเสื้อออก ก็ยิ่งทนดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ หน้าอกยังคล้ายถูกนวดเสียจนบวมเป่งเลย!

ปี้เอ๋อร์ปิดประตู ถามด้วยความตกใจและอยากรู้อยากเห็นว่า “ฮูหยิน เมื่อคืนท่านไปทำอะไรมา เหตุใดกลับมาแล้วถึงไปนอนอยู่ที่เรือนแม่นางฟู่ได้ ท่านคงไม่ได้…คบชู้สู่ชายลับหลังท่านเขยหรอกกระมัง”

เฉียวเวยกรอกตาใส่นางให้ทีหนึ่ง “ข้าจะไปคบชู้สู่ชายกับผู้ใดเล่า ผู้ใดจะดีเท่าหมิงซิวได้?” รูปร่างหน้าตาดี อาวุธก็ใหญ่โต! เรียกได้ว่าเป็นของหายากเลยทีเดียว เมื่อมีเขาอยู่ ไปเมียงมองชายใดก็จืดชืดไร้รสชาติทั้งสิ้น

แน่นอนว่า เมื่อคืนคนผู้นั้นมิใช่บุรุษ และโชคดีที่ไม่ใช่บุรุษ จึงไม่มีอาวุธให้ใช้งาน

พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เฉียวเวยก็หรี่ตาลงด้วยสายตาอันตราย “จีหมิงเยี่ยเล่า”

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “คุณชายรองยังหลับอยู่เลย”

เฉียวเวยไปที่ห้องของเขา หิ้วตัวคนที่นอนกรนคร่อกฟี้ๆ ลงจากเตียงอย่างไม่มีเกรงใจ ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากหาวหนึ่งทีแล้วถามเสียงสะลึมสะลือว่า “ทำอะไรน่ะ”

เฉียวเวยจับเขาโยนลงเก้าอี้ “เจ้ายังมีหน้านอนหลับอีกหรือ ดูสิว่าเจ้าทำข้าจนเป็นเช่นไรแล้ว!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเผยอตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถูกยุงกัดหรือ”

ยุง… เฉียวเวยสูดหายใจเขาลึกๆ กดไฟโทสะกลับลงไป นางจะเสียอารมณ์กับคนชั้นเลวเช่นนี้ไม่ได้ เพราะต่อให้ตนโกรธจนตัวตายแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ว่าตนกำลังโกรธเรื่องอะไร

ปังๆๆ

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ข้าเอง อาต๋าเอ่อร์”

เฉียวเวยบอกว่า “เข้ามาสิ”

อาต๋าเอ่อร์เข้าไปในห้อง

ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากหาวแล้วไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องด้านข้าง

อาต๋าเอ่อร์มาเพื่อปลุกเจ้าสำนักของตน แต่ในเมื่อตื่นแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาอีก เขาเอ่ยทักทายเฉียวเวยเสร็จก็จะหมุนตัวเดินออกไป

“อาต๋าเอ่อร์” เฉียวเวยเรียกเขาไว้

อาต๋าเอ่อร์ชะงักฝีเท้าแล้วหันไปทำความเคารพอย่างเรียบร้อย “จั๋วหม่าน้อย”

เฉียวเวยได้ยินเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ จากห้องด้านข้าง นางหรี่ตาลงขณะเพ่งมอง “ข้ามีคำถามข้อหนึ่งที่อยู่ในใจมานานแล้ว อยากถามเจ้ามาตลอดแต่ก็กลัวว่าจะละลาบละล้วงเกินไป”

อาต๋าเอ่อร์บอกอย่างมีมารยาทว่า “จั๋วหม่าน้อยมีอะไรเชิญถามมาได้เลย ขอเพียงเป็นสิ่งที่อาต๋าเอ่อร์รู้ จะต้องบอกท่านแน่นอน”

เฉียวเวยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คราแรกเขาไปเป็นเจ้าสำนักหุบเหวร้อยผีของพวกเจ้าได้อย่างไร เขาใช้เงินซื้อตำแหน่งให้ตนเองหรือไม่”

อาต๋าเอ่อร์ตอบไปตามตรงว่า “ย่อมมิใช่เช่นนั้น ตอนนั้นพวกเราใช้การประลองที่เข้มข้นและยุติธรรมที่สุดในการคัดเลือกเจ้าสำนักมา”

เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นมา “เช่นนั้นข้าขอถามว่าพวกเจ้าใช้อะไรในการประลอง”

“ความงาม”

“พรืด….” เฉียวเวยพ่นน้ำชาออกมาจนหมดปาก

ใต้เท้าเจ้าสำนักล้างหน้าล้างตาเสร็จ อาต๋าเอ่อร์ก็ยกชามโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าสองชามที่ส่งไอร้อนพวยพุ่งเข้ามา “ตอนอยู่บนเกาะข้าเรียนรู้การทำอาหารจากท่านเขยมาไม่น้อย ท่านเขยยังชมว่าข้ามีพัฒนาการสูงมาก ข้าเลยตั้งใจต้มโจ๊กที่ข้าถนัดที่สุดมาให้พวกท่านลองชิม”

ท่านเขยที่เขาเรียกขานย่อมหมายถึงเฉียวเจิงบิดาของเฉียวเวยนั่นเอง ฝีมือการทำอาหารของเฉียวเจิงนั้นเฉียวเวยเชื่อถือได้ แต่นางไม่เชื่อถือในความสามารถอันเลวร้ายด้านการทำอาหารที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของชนเผ่าลึกลับ นางเหลือบมองอาต๋าเอ่อร์ด้วยความคลางแคลงใจ “เจ้าแน่ใจว่าพ่อข้าไม่ได้พูดให้เจ้าสบายใจ?”

อาต๋าเอ่อร์ตอบจากใจจริงว่า “แน่นอน เขากับเหอจั๋วยังกินกันไปตั้งหลายชาม”

เฉียวเวยนั่งลงที่โต๊ะ กินกันคนละชามกับใต้เท้าเจ้าสำนัก ทั้งสองตักโจ๊กขึ้นมาพร้อมกัน เอ๋? รสชาติไม่เลวจริงๆ ด้วย!”

อาต๋าเอ่อร์จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “อ้อ ผิดแล้ว ชามนี้เป็นที่แม่ครัวต้ม”

พอพูดจบเขาก็เดินฉิวออกไปแล้วเดินตัวปลิวกลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือมีโจ๊กที่ส่งไอร้อนเพิ่มเข้ามาอีกสองชาม

ลูกกระเดือกของเฉียวเวยขยับขึ้นลงทีหนึ่ง วางช้อนลงแล้วลุกขึ้นบอกว่า “ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ข้าก็เหมือนกัน!”

ทั้งสองเดินหนีตามกันออกไป

กินโจ๊กคนอื่นต้องจ่ายเงิน กินโจ๊กของอาต๋าเอ่อร์ต้องจ่ายด้วยชีวิต หากรักตัวกลัวตายให้อยู่ห่างจากอาหารฝีมืออาต๋าเอ่อร์ไว้!

พวกเขาวิ่งรวดเดียวไปถึงประตูแล้วหยุดยืนตรงนั้น ตรงจุดนั้นบังเอิญเห็นโถงรับแขกที่มีต้นไม้วางอยู่เขียวชอุ่มพอดี ทั้งสองเลยนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ผู้อาวุโสจะมาเล่นงานจีหมิงซิว โมงยามนี้เหล่าผู้อาวุโสน่าจะมาถึงกันแล้ว

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน เดินไปที่โถงรับแขกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แต่กระนั้นที่น่าตกใจก็คือภายในโถงรับแขกไม่มีใครอยู่เลยสักคน เฉียวเวยจับตัวบ่าวปัดกวาดมาถามว่า “วันนี้เหล่าผู้อาวุโสมากันแล้วหรือยัง”

บ่าวชายตอบว่า “เรียนฮูหยิน เหล่าผู้อาวุโสไม่มาแล้วขอรับ!”

เฉียวเวยถามด้วยความงุนงง “เหตุใดจึงไม่มาแล้วเล่า”

บ่าวชายตอบว่า “ได้ยินว่านายท่านไม่ให้พวกท่านมาแล้วขอรับ”

เอ๋? ท่านพ่อตาได้เรื่องได้ราวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร แม่เลี้ยงสาวไม่ได้เป่าหูอะไรเขาก่อนนอนแล้วหรือ แค่เป่าเบาๆ นางก็ลากหมิงซิวลงจากหลังม้าได้แล้ว ตำแหน่งผู้สืบทอดก็จะเป็นของหลิวเกอร์แล้วไม่ใช่หรือ

หรือว่า…ที่เจ้าทึ่มเรียกท่านพ่อไปเมื่อคืนวาน จะปลุกความรักของบิดาในตัวจีซั่งชิงขึ้นมาได้แล้ว?

เหตุใดจึงไม่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเลยนะ

พอมีความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมา เฉียวเวยก็หมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่

ใต้เท้าเจ้าสำนักร้องเอ้ยขึ้นทีหนึ่ง “เจ้าจะไปที่ใด”

เฉียวเวยไม่สนใจเขา ให้คนไปเตรียมรถม้า ใต้เท้าเจ้าสำนักตามขึ้นไปนั่งด้วย เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เหตุใดต้องเอาแต่ตามข้าอยู่เรื่อย ยังไม่หย่านมหรือไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึกไปที่หนึ่ง สายตากวาดมองไปตรงหน้าอกของนางแล้วส่งเสียงหึหึอย่างดูแคลนว่า “ของสวินหลันใหญ่กว่าเจ้า”

ตอนรถม้าไปถึงละแวกบ้านหลังเล็กนั้น คนปากดีอย่างใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกอัดจนลงไปกองอยู่กับพื้นรถม้าแล้ว จมูกบิดปากเบี้ยว สภาพช่างดูน่าสงสาร…

เฉียวเวยลงจากรถม้าด้วยท่าทางเรียบเฉย

“ฮูหยิน ใช่ท่านกลับมาแล้วหรือไม่” หงเหมยเปิดประตูบ้าน แต่คนที่เห็นกลับเป็นเฉียวเวย นางอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตามด้วยค้อมกายคารวะ “ฮูหยินน้อย”

“สวินซื่อไม่อยู่?” เฉียวเวยถาม

หงเหมยบอกว่า “ฮูหยินออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”

“นายท่านเล่า” เฉียวเวยถามต่อ

หงเหมยตอบว่า “นายท่านก็ออกไปข้างนอกเหมือนกันเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยชะงักไปด้วยความงุนงง “ออกไปด้วยกันหรือ”

หงเหมยส่ายหน้า “มิได้ นายท่านออกไปก่อน ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว ส่วนฮูหยินน่าจะออกไปประมาณยามซื่อเจ้าค่ะ”

พอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

สวินหลันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าย่ำแย่ หงเหมยรีบเข้าไปต้อนรับ เมื่อเห็นท่าทางจะล้มแหล่มิล้มแหล่ของนางก็ยื่นมืออกไปจับแขนนางไว้ “ฮูหยินเมื่อครู่ท่านไปไหนมาเจ้าค่ะ เหตุใดสีหน้าถึงได้ดูแย่เพียงนี้ ใช่ว่าเป็นไข้แดดไปหรือไม่”

ไข้แดด? เฉียวเวยคล้ายจะเหลือบมองสวินหลันทีหนึ่ง นางแต่งเนื้อแต่งตัวเสียสวยเพียงนี้ น่ากลัวว่าคงไปพบใครเป็นการส่วนตัวมากระมัง แต่ดูจากสภาพที่ย่ำแย่นั้นแล้ว กว่าครึ่งคงจะไม่เป็นอย่างที่ใจคิดกระมัง

สวินหลันสังเกตเห็นว่าในบ้านยังมีคนอื่นอยู่ เลยเหลือบมองมาทางเฉียวเวย พอดีว่าเฉียวเวยก็มองนางอยู่พอดี ชั่วขณะที่สายตาประสานกันนั้น เฉียวเวยก็ระบายยิ้มออกมา

สวินหลันผลักมือหงเหมยออก สภาพย่ำแย่ก่อนหน้านี้จึงกลับมาอยู่ในท่าทางเย่อหยิ่งสบายๆ อีกครั้ง คล้ายเป็นเทพธิดาที่ตกจากสวรรค์ลงมายังแดนมนุษย์ พอแย้มยิ้มก็งดงามจนหาใดเปรียบ

น่าเสียดายที่ในหัวเฉียวเวยมีความ “หื่นกระหาย” จากเมื่อคืนแวบเข้ามาในหัวจึงหัวเราะพรืดออกมา

“เจ้าหัวเราะอะไร” สวินหลันถาม

“ไม่มีอะไร” เฉียวเวยพยายามกดมุมปากลงแล้วเดินเข้าไปหานางแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเหลือบมองหน้าอกของพวกนางสองคนเทียบกัน เมื่อมั่นใจว่าขนาดของตนน่าสะพรึงกว่าอีกฝ่ายนางก็ระบายยิ้มด้วยความพอใจ

สวินหลันปรายตามองเฉียวเวยเรียบๆ

เฉียวเวยระบายยิ้ม “ข้ามาหานายท่านน่ะ เขาบอกให้เหล่าผู้อาวุโสไม่ต้องไปหาเรื่องหมิงซิวแล้ว ข้าเลยอยากมาถามว่าเป็นเพราะเขาคิดได้แล้ว และยอมที่จะละทิ้งแล้วแล้วกลับไปพร้อมกับพวกเราใช่หรือไม่”

สายตาสวินหลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็ถูกสายตาที่เฉียบคมของเฉียวเวยจับไว้ได้อยู่ดี เฉียวเวยเขยิบเข้าใกล้นาง พิจารณาใบหน้านางโดยละเอียด “คงไม่ใช่ว่า…พวกเจ้าทะเลาะกันจนแตกหักแล้วกระมัง”

สวินหลันไม่สนใจเฉียเวย ก้าวขาเดินเข้าไปในห้อง

เฉียวเวยยกมุมปากขึ้น “แตกหักกันแล้วจริงๆ เสียด้วย”

หงเหมยงุนงงไปหมด ฮูหยินน้อยพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ แตกหักอะไรกัน เมื่อคืนนายท่านกับฮูหยินยังดีๆ กันอยู่เลยนี่…

เฉียวเวยกลับขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์แจ่มใส เรื่องที่เหล่าผู้อาวุโสถูกจีซั่งชิงสกัดไว้ เมื่อรวมกับท่าทางของสวินหลันนางก็มั่นใจแล้วว่าจีซั่งชิงแตกหักกับสวินหลันแล้ว ส่วนจะแตกหักกันด้วยเรื่องอะไรนั้นนางก็ไม่แน่ใจ แต่เหตุใดคงมีอยู่เรื่องเดียว นั่นก็คือจีซั่งชิงรู้ความลับของสวินหลันแล้ว

หลังจากวุ่นวายมาทั้งคืน นางเกือบลากตัวเองเข้าไปด้วยแล้ว ยังคิดว่าตนเสียแรงเปล่าแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาได้รู้แล้วเสียด้วย ช่างน่าแปลกใจว่าเขารู้ได้อย่างไร

เฉียวเวยทิ้งตัวนั่งลงบนรถม้า “ลุกขึ้นมา พ่อเจ้ารู้เรื่องสวินหลันกับพี่ชายเจ้าแล้ว!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นทันที ไม่แกล้งตายอีก “แมลงกู่ของข้าใช้ได้ผลหรือ”

เฉียวเวยฟาดป๊าบเข้าให้ที่ศีรษะเขา “ยังจะกล้าเอ่ยถึงแมลงกู่อีก? อยากโดนซ้อมอีกใช่หรือไม่”

สมองใต้เท้าเจ้าสำนักแทบจะถูกตบจนกระเด็นหมดแล้ว ตั้งแต่เขามาอยู่จงหยวนเขาโง่เขลาลงทุกวัน ผู้ใดบอกว่าไม่ใช่เพราะถูกนางยักษ์ที่ตบเล่า!

ถึงอย่างไรจีซั่งชิงก็ไม่ใช่จีซวง เขาสามารถใช้พลังทั้งหมดในการปกป้องใครคนหนึ่ง แต่เขาไม่มีทางยอมละทิ้งเกียรติของตนเองเพื่อใครคนหนึ่งเด็ดขาด ตั้งแต่วินาทีที่รู้ความจริง สวินหลันก็ถือได้ว่าสูญเสียที่พึ่งนี้ไปโดยสมบูรณ์แล้ว

ถึงแม้ความลับเรื่องนี้พูดออกมาแล้วอาจรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง แต่เจ็บนานสู้เจ็บสั้นไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าถูกครอบอยู่ในกะลาไปตลอดชีวิตมากนัก

เฉียวเวยกลับจวนไปด้วยอารมณ์ที่ไม่เลวนัก ที่น่าแปลกใจก็คือ จีซั่งชิงยังคงไม่กลับมา เฉียวเวยเลยรีบส่งคนออกไปตามหาทันที นางให้คนค้นหาไปทุกที่ที่เป็นไปได้ว่าจีซั่งชิงจะไป แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดอยู่ดี