ตอนที่ 360 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (3)
ทุกคนตามหากันไปทั่วทิศแต่ก็ไม่มีใครตามหาร่องรอยของจีซั่งชิงเจอ อันที่จริงเรื่องนี้น่าตกใจเอาเรื่องทีเดียว
เฉียวเวยเอาแผนที่ทรัพย์สินตระกูลจีออกมากากบาทออกทีละแห่ง เวลานี้เหลือแค่ยังไม่ได้ค้นจวนแล้ว แต่บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูไม่เห็นเขาเข้ามาในบ้าน เขาจึงไม่น่าอยู่ในจวน
“ไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ” เฉียวเวยเอามือกอดอกพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำท่าแบบเดียวกับนางทุกกระเบียดนิ้ว
อาต๋าเอ่อร์ยืนอยู่ด้านหลังใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างสงบนิ่ง ปี้เอ๋อร์ก็ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของตน ทั้งสี่คนในห้องได้แต่มองตากันไปมา ต่างคนต่างคิดอะไรไม่ออก
แต่แล้วจู่ๆ ในหัวปี้เอ๋อร์ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา นางยกนิ้วชี้ขึ้นเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว นายท่านจะต้องรับไม่ได้ แล้วหนีไปคิดสั้นเป็นแน่! นายท่านผู้น่าสงสาร ยิ่งใหญ่มาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องมีจุดจบอยู่ในหุบเหวลึกรกร้าง…ช่างน่าสงสาร…”
นางพูดพลางทำท่าทุกข์ระทม
เฉียวเวยมองนางอย่างพูดไม่ออกทีหนึ่ง “เหตุใดนับวันเจ้าถึงได้ท่าทางเหมือนลิงเข้าไปทุกทีนะ”
ปี้เอ๋อร์เลยได้แต่แลบลิ้น
ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าส่งผลต่อจีซั่งชิงมากเพียงใด แต่เฉียวเวยไม่คิดว่าเหตุนี้จะทำให้เขาหนีไปคิดสั้นได้ หากเขาเป็นคนคิดอะไรตื้นเขินเช่นนี้ ครานั้นเมื่อตอนสูญเสียภรรยาเขาคงคิดสั้นตามไปแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงเวลานี้
การคาดเดาของปี้เอ๋อร์จึงเป็นอันตกไป ซึ่งไม่รู้ว่าควรดีใจที่นายท่านยังมีชีวิตอยู่หรือผิดหวังที่ตนเองเดาผิดดี
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “จะเป็นเพราะเขาจิตใจย่ำแย่ ความนับถือในตนเองถูกทำลาย กอปรกลับไม่กล้าออกมาพบเจอผู้คนเลยไม่กล้ากลับมาที่นี่อีกแล้วกระมัง”
เฉียวเวยบอกว่า “นี่เป็นบ้านของเขาเอง เหตุใดเขาจึงจะไม่กล้ากลับมา”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน “หากข้าเป็นเขา ข้าคงไม่กลับมาแล้ว”
เฉียวเวยปรายตามองเขา “เจ้าไม่ใช่เขาเจ้ายังไม่อยากกลับมาเลย วันๆ เอาแต่คิดว่าจะหนีออกไปอย่างไรอยู่นั่น!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ “ข้าทำเช่นนั้นเมื่อไรกัน”
เฉียวเวยถอนหายใจออกเบาๆ “นี่ก็ไม่ใช่นั่นก็ไม่ใช่ หรือว่าเขาโกนหัวไปบวชเป็นหลวงจีนแล้ว”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังเค้นสมองเดาว่าจีซั่งชิงจะไปอยู่ที่ไหน จีซั่งชิงที่ถูกเดาว่าฆ่าตัวตาย ออกเดินทางรอนแรมไปยังแดนไกล โกนศีรษะบวชเป็นหลวงจีนเวลานี้กลับนอนอยู่ในทางน้ำเหม็นเน่าด้วยสภาพน่าอนาถ
เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเหลียงมีทางน้ำใต้ดินที่ใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ก่อน ในเวลานั้นทั่วแคว้นเกิดอุทกภัยขั้นรุนแรง เมืองหลวงก็ต้องจมอยู่ใต้บาดาลเพราะฝนตกหนักติดต่อกันเป็นครึ่งเดือน ตอนหลังเมื่อปริมาณน้ำที่ขังลดน้อยแล้ว แต่ส่วนน้อยที่ขังอยู่ใต้ดินนั้นไม่อาจระบายออกไปได้ ทำให้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ มีคนตายจำนวนไม่น้อย เวลานั้นที่กระทรวงโยธาธิการที่มีคนมากความสามารถอยู่ จึงคิดหาวิธีสร้างระบบระบายน้ำเสีย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำทางน้ำใต้ดิน
ทางน้ำใต้ดินใช้นานมาถึงทุกวันนี้ หลักๆ แล้วก็ยังเพื่อการจัดการน้ำเสีย ป้องกันโรคระบาด แต่เพราะมันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ก่อน ถึงแม้เมื่อตอนก่อตั้งราชวงศ์ใหม่จะมีการสร้างขึ้นใหม่จำนวนไม่น้อย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการบูรณะอย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่นเมืองทางตะวันออก รวมถึงละแวกใกล้เคียงของวัดซานเซิงสือ
จีซั่งชิงรีบร้อนจะสลัดให้หลุดจากสวินหลันเลยไม่ทันได้มองทาง พอเท้าเหยียบพลาดจึงหล่นลงมาในทางน้ำโดยไม่ทันได้ร้องให้ใครช่วย
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ ฝาท่อเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ปิดกลับลงมาอย่างเก่า
เสียงร้องของเขาเลยถูกฝังกลบอยู่ใต้ดิน ร้องหาสวรรค์สวรรค์ไม่ตอบ ร้องหาดินดินไม่สน
เขาคิดจะปีนขึ้นไปเอง แต่ขาก็ไม่ฟังคำสั่งเอาเสียเลย
ในใจจีซั่งชิงแทบอยากจะเป็นบ้า เขาไม่ใช่แค่อยากกลับบ้านหรอกหรือ เหตุใดถึงยากเย็นเพียงนี้…
…
องครักษ์ตามหาไม่พบ เฉียวเวยเลยจำต้องให้เจ้าสัตว์น้อยทั้งสามออกปฏิบัติการ สัตว์น้อยทั้งสามเริ่มดมกลิ่นจากบ้านที่จีซั่งชิงไปพักตามไปเรื่อยๆ ก่อนจะกระจายตัวออกเป็นสามทาง ต้าไป๋ไปทางตะวันออก นี่เป็นทางไปบ้านผู้อาวุโสใหญ่ จูเอ๋อร์ไปทางเหนือ นี่เป็นทางไปบ้านผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ส่วนเสี่ยวไป๋ลงใต้ ไล่หาไปจนถึงวัดสานเซิงสือ
ตอนจีซั่งชิงได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาตัวเขาแข็งจนไม่ขยับแล้ว เขาค้างอยู่ในท่าทางประหลาด ไม่รู้ว่าสลบไปเพราะกลิ่นเหม็นหรือเพราะความร้อนกันแน่
เสี่ยวไป๋ไม่ชอบอาบน้ำ ทุกครั้งที่ต้องอาบน้ำมันจะแอบหนีไปทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับกระโดดลงบ่อน้ำไปเอง ขัดถูทุกซอกมุมจนน้ำเย็นไปเลยทีเดียว
จีหมิงซิวมีท่าทีสงบนิ่งต่อการกลับมาของจีซั่งชิง เฉียวเวยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้บอกว่าสวินหลันกับจีซั่งชิงแตกหักกันแล้ว และไม่ได้บอกว่าจีซั่งชิงรู้เรื่องที่สวินหลันแอบชอบเขาแล้ว แต่เฉียวเวยคิดว่าสิ่งที่ตนเองคาดเดาได้ ด้วยมันสมองอย่างจีหมิงซิวก็ต้องเดาได้เช่นกัน ในใจของเขาแท้จริงแล้วจะสงบนิ่งดังเช่นใบหน้าของเขาหรือไม่นั้น คนอื่นไม่มีทางดูออกได้เลย มีเพียงตัวเขาที่รู้
ตกดึกก็มีข่าวส่งออกมาจากเรือนถงว่า จีซั่งชิงโรคเก่ากำเริบจำเป็นต้องพักผ่อน เรื่องการปรนนิบัติบุพการีเข้านอนและเยี่ยมคารวะในยามเช้าให้ยกเลิกไปก่อน งานเลี้ยงทั้งหลายก็ให้ปฏิเสธไปทั้งหมด กิจการต่างๆ ของตระกูลให้บ้านชิงเหลียนเป็นคนจัดการ ไม่จำเป็นต้องมาถามเขาอีก
เช่นนี้ก็หมายความว่าต้องการจะส่งต่อตำแหน่งประมุขตระกูลแล้ว
เฉียวเวยเดาได้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จีซั่งชิงอาจจะวางตัวไม่ถูก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้
ตำแหน่งประมุขตระกูลไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น เมื่อใดที่ได้ส่งต่อไปแล้วจะนำกลับมาไม่ได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากประสบพบเจอเรื่องเมื่อวานมาแล้ว เขาน่าจะเข้าใจแล้วว่าต่อให้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งประมุข หมิงซิวก็กล้าเมินเฉยต่อขนบประเพณีแล้วลุกขึ้นมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จภายในบ้าน เช่นนี้แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรที่หมิงซิวไม่กล้าทำอีก เช่นว่าหากเขาเกิดใจอ่อนขึ้นอีกครั้งคิดจะรับตัวสวินหลันกลับมา นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
กับผลสุดท้ายที่เป็นเช่นนี้ ท่าทีของจีหมิงซิวก็ยังคงสงบนิ่งมากอยู่ดี
ในขณะที่เฉียวเวยคิดว่าจีหมิงซิวจะรักษาความสงบนิ่งไม่หวั่นไหวแม้ภูเขาจะถล่มลงตรงหน้าอยู่นั้น เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้กลับทำให้จีหมิงซิวเดือดดาลถึงขีดสุด
นั่นก็คือการที่เฉียวเวยพักค้างอยู่ที่เสี่ยวอวี่เซวียนเป็นวันที่สาม ร่องรอยตามลำคอหายไปจนไม่เหลือแล้ว ตามตัวก็แทบมองไม่เห็นอะไรที่ต่างออกไป เฉียวเวยจึงกลับไปยังห้องหนังสือด้วยจิตใจที่เบิกบานแล้วเริ่มยั่วยวนสามีของตนไปหนึ่งยก
จีหมิงซิวถูกอีกฝ่ายยั่วยวนจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฎีกาก็ไม่มีแก่ใจจะเขียน จับตัวภรรยากดลงกับโต๊ะหนังสือตัวกว้าง พรมจูบเบาๆ ไปตามใบหน้า คิ้ว ดวงตา ปลายจมูกและริมฝีปาก… คล้ายฝนเม็ดเล็กๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่สาดพรมไปทั่วทะเลสาบเจียงหนาน นุ่มนวลเสียจนหัวใจเฉียวเวยแทบจะละลาย
เสื้อถูกแหวกเปิด เขาไล่จูบไปทั่วทุกตารางนิ้วของไหปลาร้า ขณะที่เขาจูบเรื่อยไปถึงช่วงเอวคอดนั้น จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักไป
เฉียวเวยผลักเขาออกด้วยความงงงวย “มีอะไรหรือ”
จีหมิงซิวประคองเอวคอดแล้วลูบรอยเล็กๆ ที่จางจนแทบจะมองไม่เห็น สายตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึก “นี่ไปโดนอะไรมา”
เฉียวเวยบอกว่า “เรื่องนี้ต้องถามท่านสิ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
นางไม่รู้จริงๆ แต่พอพูดจบก็รู้ทันที สายตานางมีประกายวาบผ่านก่อนเหลือบมองเพดาน
จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาอันตราย เฉียวเวยถูกอีกฝ่ายมองจนใจเต้นระส่ำไปหมด จึงกลั้นใจเล่าเรื่องเมื่อคืนนั้นให้เขาฟัง
ตัวนางเองไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ต่างฝ่ายต่างก็เป็นสตรีนี่ ถูกกระทำไปสองรอบจะมีอะไร ทั้งยังไม่ได้ทำอะไรนางเสียหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าหน้าจีหมิงซิวกลับบึ้งตึงอย่างหนัก นัยน์ตาคล้ายมีสระเหมันต์อยู่ในนั้น แทบจะแช่นางจนแข็งได้เลยทีเดียว
“นางถูกตรงไหนของเจ้าบ้าง” จีหมิงซิวถามเสียงเย็น
เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง เรื่องเช่นนี้จะบอกไปตามตรงไม่ได้ “ก็แค่ตรงนี้อย่างไร หมดแล้ว”
จีหมิงซิวเพ่งมองด้วยสายตาอันตราย
บอกตามตรงว่ายามเขาโกรธขึ้นมา เฉียวเวยก็นึกกลัวอยู่เช่นกัน เฉียวเวยหรี่ตาลงเล็กน้อย เขยิบเข้าไปเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากเข้าหาเขาก่อน
สีหน้าจีหมิงซิวยังคงบูดบึ้ง
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ เอาแขนคล้องคอเขาไว้ เอาอย่างที่เขาทำด้วยการแทะเล็มริมฝีปากเขาอย่างอ่อนโยน ช่วงแรกเขามีท่าทีเฉยชา ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ เฉียวเวยก็ไม่ย่อท้อ ไล่จูบเขาโดยละเอียด แขนของเขาเลยโอบกระชับแล้วทาบทับเฉียวเวยลงกับโต๊ะ…
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า บุรุษยามหึงหวงขึ้นมานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสตรี เฉียวเวยไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองม่อยหลับไปเมื่อไร ตื่นมาอีกทีนางก็มาอยู่บนรถม้าที่กำลังโยกคลอนแล้ว
เฉียวเวยยกแขนที่เมื่อยล้า การที่เขาทำให้นางรู้สึกรวดร้าวไปทั้งตัวเช่นนี้ เห็นได้ว่าจีหมิงซิวทรมานนางหนักหนาแค่ไหน นางเลิกผ้าม่านขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่สว่างจ้า “นี่ข้ายังไม่ได้หลับเลยหรือว่านี่เป็นอีกวันหนึ่งแล้วกันแน่”
เสียงนี้!
แหบจนแทบไม่เหมือนเสียงตนเองแล้ว
รถม้าหยุดจอดที่หน้าประตูบ้านหลังเล็ก
สวินหลันกำลังนอนพักอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงล้อรถก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเดินออกมาจากในห้อง พอเห็นว่าเป็นจีหมิงซิวสายตานางก็พลันมีประกาย
จีหมิงซิวก็เห็นนางเช่นกัน แต่สายตาเขา…ช่างดูประหลาด
ไม่นานจีหมิงซิวก็ดึงตัวเฉียวเวยที่ยังสะลึมสะลืออยู่มากดเข้ากับกำแพงแล้วบดจูบ จุมพิตของเขาเล่นเอาสมองของเฉียวเวยแทบขาดอากาศ ตอนถูกปล่อยตัวนางตัวอ่อนเปลี้ยจนต้องอิงแอบเข้ากับอกของจีหมิงซิวพร้อมหอบหายใจหนักๆ
สวินหลันมองทั้งสองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ มือเรียวกำแน่นเป็นหมัด
จีหมิงซิวมองสวินหลันด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “อิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์ นางเป็นของข้า”
สวินหลัน “…”