เล่ม 1 ตอนที่ 371-1 ฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 371-1 ฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว

ขาขวาของอินทรีทองไม่อาจถีบตัวขึ้นบินได้ จิ่งอวิ๋นเสียใจอย่างหนักตลอดคืน เฉียวเวยไม่รู้ว่าควรปลอบเด็กในอายุเท่านี้อย่างไรดี แค่เพียงบอกเขาว่าการจะเอาแต่เสียใจนั้นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา จะพยายามช่วยมันอย่างไรให้มันฟื้นตัวได้เร็วที่สุดต่างหากที่สำคัญที่สุด

เฉียวเวยไม่แน่ใจว่าบุตรชายฟังเข้าใจหรือไม่ แต่นางเชื่อว่าจิ่งอวิ๋นไม่ใช่คนที่จะจมดิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปตลอด

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จิ่งอวิ๋นหลับไปตื่นหนึ่ง เช้าวันต่อมาก็กลับมามีพลังใจที่เต็มเปี่ยมเช่นเดิม เขาใส่เสื้อผ้า อาบน้ำล้างหน้าอย่างว่าง่าย แล้วไปอ่านหนังสืออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปเยี่ยมอินทรีทองที่สนามด้านหลัง

อินทรีทองท่าทางเศร้าสร้อย เจ้าเวหาที่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดบินขึ้นไม่ได้อีก เรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้

จิ่งอวิ๋นแปรงขนให้มัน ทั้งยังไปเอากระต่ายตัวหนึ่งมาจากห้องครัว อินทรีทองไม่อาจต้านทานแรงยั่วยวนจากอาหารอันโอชะได้ จึงกินกระต่ายลงไปคำเดียวหมด

จิ่งอวิ๋นลูบศีรษะมันด้วยความดีใจ “วันนี้พวกเรามาฝึกเดินกันดีกว่า เจ้าไม่ต้องกลัว อันที่จริงมันง่ายมาก ขาข้างนั้นของเจ้าไม่เจ็บแล้วใช่หรือไม่ เจ้าวางมันลงกับพื้นอย่างสบายใจก็พอ”

อินทรีทองมองจิ่งอวิ๋นด้วยความงงงวย

จิ่งอวิ๋นก้าวถอยไปหลายก้าว กางสองแขนออกแล้วทำท่ากระต่ายขาเดียว “เจ้าดูสิ เช่นนี้อย่างไร”

อินทรีทองมองเขาตาแป๋ว

จิ่งอวิ๋นพยายามยืนอยู่ในท่านั้น แต่การยืนด้วยขาข้างเดียวทดสอบความสามารถในการทรงตัวของเขาเกินไปจริงๆ เขายืนอยู่ได้ไม่เท่าไรก็เริ่มโงนเงน ขาที่งอเข้ามาจึงอดเอาวางลงกับพื้นไม่ได้ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า สรุปก็คือแอบขี้โกงอยู่หลายครั้ง

อินทรีทองส่งเสียงร้องกูๆ ด้วยความประหลาดใจ มันกระพือปีกเบาๆ แล้วทำท่ายืนแบบจิ่งอวิ๋นบ้าง ขาขวางอขึ้นมา ขาของจิ่งอวิ๋นวางลงกับพื้นทีหนึ่ง ขาขวาของมันก็แตะลงกับพื้นทีหนึ่ง จิ่งอวิ๋นแตะขาลงพื้นสองครั้ง ขาขวาของมันก็แตะลงสองครั้งด้วย

จิ่งอวิ๋นคล้ายพบเห็นหนทาง ตาโตของเขาพลันเป็นประกาย เอาขาข้างที่งอวางลงกับพื้น แล้วใช้สองขายืนตรงอยู่กับพื้น

อินทรีทองก็ทำเช่นนั้นด้วย แต่ชั่วพริบตา ขาขวาของมันก็หดกลับเข้าไปใหม่

จิ่งอวิ๋นวิ่งเข้าไป จับขามันแล้วบอกว่า “เจ้าอย่างอสิ! เจ้าวางลงมา ยืนดีๆ เจ้ายืนนิ่งๆ ได้!”

อินทรีทองไม่ยอมวาง

จิ่งอวิ๋นจับขามันให้ค่อยๆ เลื่อนเข้าหาพื้น “ข้าจะจับเจ้าไว้ เจ้าค่อยๆ วางลง ไม่เจ็บหรอก เจ้าเชื่อข้า”

ขาขวาของอินทรีทองถูกจิ่งอวิ๋นจับไว้ ค่อยๆ เหยียบลงกับพื้นช้าๆ อินทรีทองมองจิ่งอวิ๋นแล้วมองขาตนเอง จิ่งอวิ๋นกระซิบว่า “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม จากนั้นข้าจะปล่อยมือนะ เจ้าลองยืนเองดู จะต้องยืนได้แน่ เข้าใจหรือไม่ หนึ่ง สอง สาม!”

พอนับจบ จิ่งอวิ๋นดึงมือของตนออกอย่างระมัดระวัง

เขาคอยสำรวจอินทรีทองด้วยความตื่นเต้น อินทรีทองยืนได้อย่างมั่นคง จิ่งอวิ๋นถอนหายใจยาว “ดูสิ เจ้ายืนได้แล้ว! เจ้าไม่กลัวก็ยืนได้…อ๊า—”

พลั่ก!

อินทรีทองล้มแผละลงมาทับจิ่งอวิ๋นเข้าเต็มเปา

จิ่งอวิ๋นพ่นขนนกในปากออก “เอาใหม่ๆ”

เฉียวเวยกำลังคอยมองวั่งซูกับหลิวเกอร์เขียนอักษรอยู่ พอเห็นบุตรชายคอยสอนอินทรีทองเดินอย่างอดทน ถึงผลที่ได้จะไม่น่าพอใจนัก แต่ก็จำต้องบอกว่าเขาทำเช่นนี้ได้ก็ทำให้นางประหลาดใจมากแล้ว

หลังจากจิ่งอวิ๋นถูกล้มทับไม่ก็ถูกเอนทับมาตลอดทั้งเช้า เขาก็อ่อนล้าจนนอนแผ่อยู่กับพื้น แต่อินทรีทองกลับตื่นเต้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันใช้หัวดุนแขนจิ่งอวิ๋นบอกให้ลุกขึ้นมา อยากเล่นเกมที่มันไม่เคยเล่นมาก่อนต่อ

พอผ่านพ้นช่วงเช้าไป ถึงแม้ขาขวาของอินทรีทองดูไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่จิตใจมันดูจะไม่หดหู่เพียงนั้นอีก ตอนมันกระพือปีกด้วยความดีใจ มันยังโก่งคอร้องหลายครั้งอีกด้วย

ตกบ่าย บ้านตระกูลจีไปซื้ออาหารทะเลกลับมา อินทรีทองน่าจะยังไม่เคยกินอาหารทะเลมาก่อน เลยมองกุ้งปูที่ไต่ปีนออกมาจากตะกร้าด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นพิเศษ มันกางปีกออกมาแตะปูทะเลตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ปูทะเลตัวใหญ่ใช้ก้ามหนีบขนของมันอย่างไร้ปราณี มันยกปีกขึ้นสะบัดด้วยความสงสัย ปูตัวนั้นโบกก้ามไปมาอย่างแสดงความแข็งแกร่ง ก่อนจะจัดการงาบปูตัวนั้นเข้าไปในปาก!

ปู “…”

แต่เจ้านี่ตัวแข็งมาก! มันคายออกมาด้วยความรังเกียจ!

ปูตัวนั้นเดินหนีไปอย่างขลาดกลัว

จิ่งอวิ๋นจับปลาหมึกหนวดยาวที่ตัวนุ่มนิ่มจากในตะกร้าออกมา

อินทรีทองกินเข้าไปคำเดียวทั้งตัว มันเคี้ยวอยู่หลายครั้งแล้วจู่ๆ ก็อ้าปากพ่นน้ำหมึกใส่เต็มหน้าจิ่งอวิ๋น!

จิ่งอวิ๋นฝึกเดินเป็นเพื่อนอินทรีทองทุกวัน ส่วนวั่งซูกับหลิวเกอร์ทบทวนบทเรียนอย่างขยันขันแข็งอยู่ในห้องหนังสือ ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับสู่ความสงบสุขเช่นในวันวาน แม้แต่ทางฝั่งฟู่เสวี่ยเยียนก็ไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากเยี่ยหลัวเลยติดต่อกันหลายวัน ส่วนสวินหลันกับชางจิวก็ยิ่งคล้ายไอน้ำที่ลอยขึ้นฟ้า ไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกเขาสองคนอีกเลย

เฉียวเวยเคยคิดว่า มู่ชิวหยางยังอยู่ในมือหมิงซิว หากชางจิวมีเป้าหมายอยู่ที่เขาก็ไม่น่าจะยอมรามือไปง่ายๆ คราก่อนเขาเสียท่า สูญเสียองครักษ์เยี่ยหลัวไปตั้งมากเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจระบายความโกรธแค้นลงที่สวินหลัน บางทีสวินหลันอาจถูกชางจิวเก็บกวาดไปแล้ว

เวลานี้เฉียวเวยไม่สนใจอีกแล้วว่าสวินหลันจะเป็นเช่นไร ความได้เปรียบของนางหมดสิ้นไปแล้ว ทุกคนตัดขาดจากนาง ต่อให้นางดิ้นรนอย่างไรก็สร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ไม่ได้อีกแล้ว ที่นางเป็นห่วงยิ่งกว่าคือชางจิว บุคลลที่อันตรายเพียงนี้ไม่น่านั่งรอความตายถึงจะถูก แต่ที่เขาเงียบหายไปเช่นนี้เพราะกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่

ในขณะที่เฉียวเวยกำลังครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจอยู่นั้น ทางด้านเยี่ยหลัวกลับมาหาถึงที่อย่างเปิดเผย แน่นอนว่าคนที่พวกเขามาหาไม่ใช่จีหมิงซิวหรือเฉียวเวย แต่เป็นราชวงศ์ต้าเหลียงทั้งหมด

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนไปถึงตั้งแต่รายงานการทหารเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ ตามข่าวสารจากขุนพลที่ประจำการอยู่ชายแดนทางตอนเหนือ ชายแดนระหว่างต้าเหลียงกับซยงหนีว์ไม่สู้สงบเรียบร้อยเท่าที่ควร ต้าเหลียงคิดว่าเป็นโจรกระจอกจากซยงหนีว์ ซยงหนีว์ก็คิดว่าเป็นโจรกระจอกของต้าเหลียง ทั้งสองฝ่ายจึงเกือบสู้รบกันขึ้นมาด้วยเหตุนี้ โชคดีที่ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายล้วนมีความคิดด้วยกันทั้งคู่ จึงข่มโทสะในใจเอาไว้แล้วทำการนัดพบหน้ากัน หลังจากได้พบหน้ากันแล้วถึงได้รู้ว่าเหตุที่ทั้งสองฝ่ายเจอนั้นคือการลอบโจมตีจากโจรกลุ่มหนึ่ง แต่โจรกลุ่มใดกันแน่ที่ใจกล้าถึงขั้นกระทำการให้กองทัพทั้งสองแคว้นไม่พอใจ ทั้งสองฝ่ายยังต้องสืบให้แน่ชัดอีกที

ฝ่ายที่สืบพบโจรกลุ่มนั้นได้ก่อนคือทหารของซยงหนีว์ ทหารซยงหนีว์ไปพบรังโจรเข้าตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างสองแคว้น หลังจากส่งสายสืบไปสังเกตการณ์ได้ความว่าทั้งหมดมีกำลังคนอยู่ไม่ถึงร้อยคน โจรป่าจำนวนไม่ถึงร้อยคนมีอะไรให้น่าต้องหวาดหวั่นกัน ทหารรักษาการณ์ของซยงหนีว์จึงส่งทหารห้าร้อยนายเข้าไปทลายรังโจร ไหนเลยจะรู้ว่าพอบุกไปก็เกิดเรื่องทันที

นี่ใช่รังโจรร้อยคนเมื่อไรกัน นี่มันค่ายทหารกบฏพันนายชัดๆ!

ประวัติที่มาของทหารกบฏเหล่านี้ยังไม่ธรรมดาเสียด้วย เป็นหลานชายของอดีตท่านข่านแห่งซยงหนีว์ อดีตท่านข่านผู้นั้นโหดเหี้ยมไร้ซึ่งจริยธรรม ด้วยความลุแก่อำนาจอย่างไม่อาจให้อภัยจึงถูกท่านข่านคนปัจจุบันสังหารทิ้ง แต่หญ้าที่ถูกตัดนั้นยังเหลือราก ปล่อยให้ทาสหญิงอายุครรภ์สองเดือนคนหนึ่งหนีรอดไปได้

ทาสหญิงให้กำเนิดทายาทของอดีตท่านข่าน ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของอดีตท่านข่านตามหานางจนพบ จึงแต่งตั้งบุตรของนางขึ้นเป็นประมุข ด้วยความอ่อนต่อโลก สองแม่ลูกจึงคิดไปเองว่าการมีข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่คุ้มครองไม่ได้กระทั่งอดีตท่านข่าน จะทำให้พวกนางสามารถช่วงชิงตำแหน่งประมุขของซยงหนีว์กลับมาได้ สองแม่ลูกมุ่งมั่นกับการตั้งค่ายอยู่หลายปี ไปไล่เกณฑ์ทหารซื้อม้าตามป่าตามเขา จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อให้จำนวนคนขยายเพิ่มมากเท่าไรก็ยังไม่ใช่คู่ปรับของทัพใหญ่แห่งซยงหนีว์อยู่ดี ดังนั้นสองแม่ลูกจึงคิดแผนเจ้าเล่ห์ ให้ซยงหนีว์กับต้าเหลียงแตกคอกัน คิดจะใช้กำลังทหารของต้าเหลียงลดทอนกำลังทหารของซยงหนีว์ลง แต่กลับไม่ทันคิดว่าแผ่นยุยงของตนจะล้มเหลว

แผนยั่วยุเช่นนี้มิใช่แผนการซับซ้อน ไม่ล้มเหลวสินับว่าแปลก ไม่รู้ว่ากุนซือสมองกลับคนใดที่ให้ไปกระทำตามแผนนี้จริงๆ

ทว่าต่อให้แผนนี้ไม่ก่อให้เกิดสงครามระหว่างต้าเหลียงกับซยงหนีว์ แต่กลับจับพลัดจับผลูล่อแม่ทัพรักษาการณ์ของซยงหนีว์เข้าไปยังค่ายของมันได้ อย่างที่กล่าวกันว่ามังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินได้ พลทหารห้าร้อยนายเมื่อต้องเผชิญกับทัพใหญ่หนึ่งพันนายก็ยังนับว่าห่างชั้นอยู่มาก

แต่กระนั้นแม่ทัพรักษาการณ์ผู้นี้ก็ไม่ใช่หุ่นเชิดที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เขาเป็นถึงน้องชายของต้าเยียนจือ[1]แห่งซยงหนีว์ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา ต้าเยียนจือคงจะเสียใจแย่

ที่โชคร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ทหารทั้งห้าร้อยนายนี้ถูกจับตาดูไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางส่งข่าวออกไปได้เลย ส่วนเหล่าทหารตามชายแดนที่รอแล้วรอเล่าท่านแม่ทัพก็ไม่กลับมาเสียที จึงพอเดาได้ว่าคงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นและเกิดขึ้นที่ใดนั้น พวกเขาไม่มีวันรู้เลย

ในขณะที่ทุกคนกำลังมืดแปดด้านไม่รู้จะทำเช่นไรดีนั้น ที่ค่ายทหารก็มีชายชราท่าทางลึกลับมาคนหนึ่ง ชายชราผู้นั้นบอกว่าแม่ทัพของพวกเขาถูกโจรป่าล้อมจับไว้และจะสิ้นอายุขัยภายในสามวัน เขามีหนทางที่จะช่วยแม่ทัพพวกเขารวมถึงทหารทั้งห้าร้อยนายออกมา แต่เขาต้องให้คนซยงหนีว์รับปากเขาเรื่องหนึ่ง

[1]ต้าเยียนจือ คือตำแหน่งสนมเอกของชนเผ่าซยงหนีว์