เล่ม 1 ตอนที่ 371-2 ฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 371-2 ฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว

ผู้ช่วยแม่ทัพเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพ ถึงจะรู้ว่าเงื่อนไขของชายชราผู้นั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นกลลวง และถึงแม้จะรู้ว่าชายชราผู้นั้นอาจจะตั้งใจพูดให้เหตุการณ์ฟังดูเลวร้าย แต่เขาก็ยังยินดีที่จะเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรต้องช่วยน้องชายของต้าเยียนจือออกมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เขารับปากข้อเสนอของชายชรา

ชายชราเดินลึกเข้าไปในภูเขา แค่เพียงคืนเดียวก็สามารถช่วยเหลือน้องชายของต้าเยียนจือกับทหารทั้งห้าร้อยนายออกมาได้ เหตุการณ์โดยรวมว่าช่วยออกมาเช่นไรนั้นไม่มีใครจำได้ จำได้เพียงลางๆ ว่าตนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่ร้อนระอุ รอบด้านมีแต่เปลวไฟ พอกลับมาถึงค่ายทหารของตน น้องชายของต้าเยียนจือส่งทหารหนึ่งหมื่นนายขึ้นภูเขาไปเผารังโจรบนนั้นจนมอดไหม้ แต่มีหรือจะจบเพียงเท่านั้น ยอดเขาทั้งยอดถูกเผาจนไหม้เกรียม ตามถนนหนทางบนป่าเขามีแต่ศพดำเมี่ยม เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนจนทุกคนต้องอาเจียนออกมาอย่างทนไม่ไหว!

น้องชายของต้าเยียนจือถามชายชราว่าทำได้อย่างไร ชายชราเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ

น้องชายของต้าเยียนจือยังนับว่ารักษาสัญญา เขาถามชายชราว่าต้องการให้พวกเขาทำสิ่งใด ชายชราตอบว่า “ข้าเป็นชนเผ่าเล็กๆ ในทะเลสาบ ชนเผ่าข้าประสงค์จะสานสัมพันธ์กับต้าเหลียงแต่ก็จนใจที่หาได้มีหนังสือผ่านทางไม่ หวังว่าแคว้นท่านจะอำนวย ช่วยเปิดทางนำชนเผ่าข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งต้าเหลียง”

เรื่องเท่านี้ รีบบอกมาแต่เนิ่นๆ สิ ใช่เรื่องยากที่ไหนกัน

น้องชายของต้าเยียนจือเขียนจดหมายถึงท่านข่านและพี่สาวทันที ท่านข่านกับต้าเยียนจือหารือกันเช่นไรท่านแม่ทัพผู้นี้ไม่รู้ แต่ผ่านไปไม่นาน ขณะทูตจากซยงหนีว์ก็มาถึงชายแดน ตามที่นัดหมายกันไว้ คณะทูตจะพาชายชรากับชนเผ่าของเขาเดินทางเข้าเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่

หากเป็นเมื่อก่อน คงจะพาคนเหล่านี้เข้าไปไม่ได้ แต่ตั้งแต่ทั้งสองแคว้นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็เป็นมิตรและเปิดกว้างต่อกันมากขึ้นมากนัก พอได้ยินว่าเป็นชนเผ่าเล็กๆ ที่ซยงหนีว์รับประกันให้ จวนทางการตรงชายแดนก็เปิดทางให้โดยไม่ถามอะไรให้มากความทันที

ส่วนในเวลานี้ คณะทูตของซยงหนีว์ยังไม่รู้เลยว่าชนเผ่าเล็กๆ ที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างนั้นคือชนเผ่าเยี่ยหลัวที่เคยสั่นสะท้านไปทั้งใต้หล้า

หากมิใช่เพราะจีหมิงซิวเจอเกี้ยวอีกฝ่ายขณะเดินทางไปประชุมราชการ แล้วเผอิญได้ยินอีกฝ่ายสนทนากันในภาษาเยี่ยหลัว น่ากลัวว่าคนกลุ่มนี้คงให้องค์ชายรองของซยงหนีว์พาตรงเข้าวังหลวงไปแล้ว!

“ว่าอย่างไรนะ คนเยี่ยหลัว?” ฮ่องเต้ได้ยินก็พลันหน้าถอดสี

จีหมิงซิวพยักหน้าแล้วเอ่ยไปตามจริงว่า “พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาเยี่ยหลัวไม่ผิดแน่”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดขาว “คนซยงหนีว์พาคนเยี่ยหลัวมาได้อย่างไร พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่!”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบว่า “คนซยงหนีว์น่ากลัวว่าคงยังไม่รู้เรื่องนี้”

ฮ่องเต้ทรงทุบโต๊ะ “เจ้าพวกโง่!”

ไม่รู้ว่ากำลังด่าว่าผู้ใด ด่าว่าคณะทูตซยงหนีว์ที่ถูกคนเยี่ยหลัวปั่นหัว หรือขุนนางทหารของตนเปิดประตูต้อนรับคนเยี่ยหลัวให้เข้ามากันแน่

“ฝ่าบาท” ฝูกงกงซอยเท้าถี่เดินเข้ามา “องค์ชายรองแห่งซยงหนีว์ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายรอง?” ฮ่องเต้งุนงงไปพักหนึ่ง ความคิดถูกเรื่องที่คนเยี่ยหลัวเข้าเมืองมาทำลายไปหมดแล้ว จึงใคร่ครวญไม่ทันว่าองค์ชายรองที่ว่าคือผู้ใด

ฝูกงกงเอ่ยเตือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “องค์ชายที่แต่งคุณหนูรองตระกูลเฉียวไปน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อบอกเช่นนี้ ฮ่องเต้เลยนึกขึ้นได้ คิ้วพลันเลิกขึ้น “เจ้าหน้าสามเหลี่ยมนั่น?”

ฝูกงกงเกือบกลั้นไม่อยู่ รีบใช้แขนเสื้อปิดปากตนไว้ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เหลือบมองจีหมิงซิวทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างแฝงความนัยน์ว่า “ยังเป็นญาติเจ้าเสียด้วย”

จีหมิงซิวขยับแขนเสื้อ “ฝ่าบาทแดกดันกระหม่อมอีกแล้ว”

สามีของพี่สาวน้องสาวถึงจะเรียกได้ว่าเป็นญาติกัน แต่เฉียวอวี้ซีกับเฉียวเวยนับว่าเป็นพี่น้องกันเมื่อไรกัน คนหนึ่งแย่งสามีอีกฝ่าย อีกคนหนึ่งยัดสามีให้อีกฝ่าย เมื่อชาติก่อนต้องมีความแค้นถึงขั้นสังหารบุพการีกันมาแน่นอน ชาตินี้ถึงได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน

ฝ่าบาทมีความประทับใจที่ไม่เลวกับองค์ชายรองผู้นี้ เพราะถึงอย่างไรเมื่อตอนบุตรชายของตนล่วงเกินชายาในอนาคตของเขา เขาไม่เพียงไม่ยกเลิกการแต่งงาน แต่ยังช่วงชิงชายาในอนาคตที่ถูกล่วงเกินกลับซยงหนีว์ไปอย่างภาคภูมิใจเสียด้วย เรื่องนี้หากอยู่ในจงหยวนคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ฮ่องเต้รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ เมื่อได้มององค์ชายรองอีกครั้งจึงรู้สึกถูกชะตาขึ้นมา “ให้เขาเข้ามาเถิด”

ไม่นานองค์ชายรองจากซยงหนีว์ได้ถูกเชิญเข้ามายังห้องทรงพระอักษร รัศมีของเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อคราที่แล้ว กระทั่งใบหน้าสามเหลี่ยมนั่นก็ยังดูได้สัดส่วน เครื่องหน้าแยกกันชัดเจนมากขึ้น

คงเพราะแต่งงานได้ภรรยาชาวจงหยวนไปกระมัง ภาษาฮั่นของเขาก็พัฒนากว่าเมื่อปีก่อนไปมาก เขายิ้มพรางทำความเคารพฮ่องเต้ “ฝ่าบาท!” ทั้งยังหันไปทำความเคารพจีหมิงซิวด้วย “พี่เขย!”

จีหมิงซิว “น้องเขย”

องค์ชายรองแห่งซยงหนีว์ยิ้มจนไม่เห็นตา

ฮ่องเต้ไต่ถามเขาถึงพระชายาของเขาตามมารยาทอยู่สองสามประโยค เห็นได้ชัดว่าองค์ชายซยงหนีย์พอใจในชายาของตนเป็นที่ยิ่ง ไม่เพียงรูปโฉมที่งดงามประหนึ่งบุปผา (สตรีทั้งซยงหนีว์รวมกันยังสู้ความงามของนางไม่ได้) แต่ยังมีเรือนร่างที่อรชร น้ำเสียงหวานล้ำ ในอดีตเขาชื่นชอบสตรีที่แข็งแกร่ง แต่เวลานี้เขาชื่นชอบสตรีเช่นชายาของตนมากกว่า หากมิใช่เพราะในซยงหนีย์ไม่เคยให้ชายาตามขบวนมาก่อน เขาก็อยากพาชายาตัวน้อยของเขามาด้วยเช่นกัน

ฮ่องเต้มีหรือจะสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของพวกเขาจริงๆ แค่เพียงสอบถามตามมารยาทเท่านั้น แต่องค์ชายรองจากซยงหนีว์นี้ก็ช่างพูดเหลือเกิน คืนหนึ่งร่วมกิจกันกี่ครั้งก็แทบจะบอกออกมาหมด!

“แค่กๆ” ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ เป็นการตัดบทองค์ชายรองจากซยงหนีว์แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้ามาครั้งนี้ ยังพาคนจากชนเผ่าเล็กๆ มาด้วย มาจากชนเผ่าใดหรือ”

องค์ชายรองจากซยงหนีว์เอ่ยไปตามจริงว่า “ชนเผ่าอะไรข้าก็ไม่แน่ใจ ชื่อที่พวกเขาเอ่ยนามมาข้าฟังไม่เข้าใจ”

มุมปากฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย ไม่เข้าใจแต่เจ้าก็ยังกล้าพามา ที่นี่ไม่ใช่บ้านพวกเจ้านะ!

องค์ชายรองจากซยงหนีว์บอกว่า “ข้าพาพวกเขามาด้วยแล้ว รออยู่ที่นอกวังนี้เอง ฝ่าบาทอยากให้เรียกพวกเขาเข้ามาหรือไม่”

มาถึงที่แล้ว ไม่เรียกจะได้หรือ

ฮ่องเต้ถลึงตาใส่องค์ชายรองด้วยความไม่พอใจ หากรู้แต่แรกว่าเจ้านี้โง่เขลาเพียงนี้ เขาก็คงไม่เจรจาด้วยแต่แรก แค่ทำศึกสักหน่อยก็ช่วงชิงซยงหนีว์ได้แล้ว!

เวลานี้ประชุมราชการจบแล้ว แต่ยังมีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ยังทำงานอยู่ในตำหนัก ฮ่องเต้เรียกขุนนางมายังตำหนักจินหลวนเพื่อให้อยู่ต้อนรับ “ชนเผ่าเล็กๆ” ด้วยกัน

คนจากชนเผ่านี้มีไม่มากนัก มีไม่เกินยี่สิบคน นอกจากชายชราลึกลับผู้นั้นแล้วยังมีสองคนที่ฐานะดูสูงส่ง ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า ไม่เปิดเผยหน้าตาให้เห็นสักนิด ว่ากันตามตรงแล้ว องค์ชายรองจากซยงหนีย์ก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่รอให้ฮ่องเต้มีรับสั่งก็ไปร่วมวงที่ตำหนักชิงหลวนด้วยตนเองทันที

ฮ่องเต้ประทับอยู่บนเก้าอี้มังกรตัวหรูหรา มองนิ่งไปตรงหน้าประตู แสงอาทิตย์สาดเอียงเข้ามาช่วยให้ตำหนักที่หนาวเย็นดูมีไออุ่นขึ้นมาเล็กน้อย พอมีเสียงเอ่ยรายงานของขันทีดังขึ้น องครักษ์ในเครื่องแต่งกายประหลาดแปดคนก็เข้ามายืนเรียงตรงหน้าประตูสองฝั่ง เอาสองมือไขว้กันตรงหน้าอกแล้วโค้งกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม

พอเห็นท่าทางที่ทุกคนใช้ทำความเคารพ จีหมิงซิวก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนเยี่ยหลัว

ภายในตำหนักเงียบเชียบจนน่าประหลาด ทุกคนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ในใจทุกคนกลับนึกระวังตัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คล้ายว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตขึ้นกระนั้น

ไม่นานสาวใช้สองคนก็ถือโคมไฟเดินเข้ามาในตำหนักจินหลวน แยกตัวเป็นสองแถวแล้วค้อมกายลงอย่างนอบน้อม

ในตอนนั้นในที่สุดก็มีเรือนร่างอันเย้ายวนเดินเหยียบแสงอาทิตย์ข้ามธรณีประตูเข้ามาช้าๆ

สตรีนางนั้นสวมรองเท้าผ้าไหมสีขาวผ่อง ชายกระโปรงก็ขาวผ่องราวกับหมู่เมฆ ด้ายสีทองวิ่งล้อไปตามชายกระโปรง มองดูคล้ายหมู่เมฆอาบแสงอาทิตย์ งดงามหาใดเปรียบ

สตรีนางนั้นคลุมผ้าคลุมสีเงินขาวซึ่งช่วยขับให้เรือนร่างดูสูงโปร่งงดงามเป็นที่ยิ่ง นางยืนหันหลังให้แสงอาทิตย์ รูปลักษณ์จึงดูพร่ามัว แต่ด้วยเรือนร่างและลักษณะท่าทางของนาง ก็พอเดาได้ว่านางคือสตรีผู้เลอโฉมที่งดงามพอจะล้มบ้านล้มเมืองได้

นางเดินเข้ามาอย่างสง่างาม นางแค่เพียงเดินผ่านก็สามารถทำให้พื้นที่แห่งนั้นคล้ายมีกลิ่นหอมกรุ่นลอยขึ้นมา

จนเมื่อนางเดินพ้นจากแสงอาทิตย์เข้ามายืนอยู่กลางตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้ถึงได้เห็นใบหน้านางชัดเจน ฮ่องเต้ลุกยืนขึ้นจากบัลลังก์มังกรด้วยความตกใจ

สตรีนางนั้นเอามือไขว้กัน ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วค้อมกายทำความเคารพ “ฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว คารวะฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าเหลียง”