เล่ม 1 ตอนที่ 372-1 แม่ลูก พบหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 372-1 แม่ลูก? พบหน้า

หลังจากผ่านพ้นกลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เย็นลงมาก ยามออกมานั่งในศาลา ต้มชากาเล็กๆ พลางกินขนมแกล้มสองสามอย่าง คู่กับการเล่นหมากอีกสักกระดาน ช่างรู้สึกว่าชีวิตรื่นรมย์ยิ่งนัก

เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนกำลังนั่งดวลหมากกัน ฝีมือการเล่นหมากของเฉียวเวยสู้ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้ แต่หลายวันผ่านไป ทักษะของนางก็ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย บางครั้งก็ฟาดฟันเสมอกับฟู่เสวี่ยเยียนได้สำเร็จ

บนพื้นหญ้าโล่งของสวนดอกไม้น้อยที่อยู่ด้านข้าง จิ่งอวิ๋นกับใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังฝึกอินทรีทองให้บินอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเบื่อ ขาของอินทรีทองรับน้ำหนักไม่ได้อีกแล้ว แต่จิ่งอวิ๋นทนไม่ได้ที่จะพรากสิทธิในการโบยบินไปจากมัน ดังนั้นเขาจึงขอร้องให้อารองของเขาคิดหาวิธีให้ เวลาเช่นนี้ไม่ไปหาบิดาบังเกิดเกล้า แต่มาหาอารองนับว่าถูกต้องแล้ว เพราะถึงแม้เรื่องอื่นใต้เท้าเจ้าสำนักจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องการทำเครื่องไม้เครื่องมือเขาเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำห่วงข้อเท้าสวมไว้บนขาของอินทรีช่วยให้มันรับแรงได้ ในเวลาเดียวกันฐานของห่วงข้อเท้าก็มีกลไกอย่างหนึ่ง เพียงกรงเล็บของมันหุบเบาๆ กลไกก็จะทำงานส่งแรงดีดให้ร่างของมันเหินขึ้นจากพื้น

เพียงแต่ว่า…แรงที่ดีดออกมาควบคุมไม่ได้ ดังนั้นมันจำเป็นจะต้องออกแรงถีบเท้าอีกข้างหนึ่งให้เท่ากัน มิเช่นนั้นก็จะเสียสมดุล

ใต้เท้าเจ้าสำนักต้องปรับความแน่นความหลวมของกลไกครั้งแล้วครั้งเล่า ผลลัพธ์ก็คือ…

อินทรีทองถูกดีดขึ้นฟ้า

อินทรีทองถูกดีดขึ้นฟ้า

อินทรีทองถูกดีดขึ้นฟ้า…

จูเอ๋อร์ยังคงนั่งอาบแดดอยู่บนรถเข็นในตำแหน่งที่แสงตะวันเจิดจ้าที่สุดด้วยกันกับอาจารย์ตาฮั่วและศิษย์พี่กระบี่ ส่วนหลิวเกอร์กับวั่งซูไม่รู้ว่าวิ่งไล่ต้าไป๋เสี่ยวไป๋ไปอยู่ตรงมุมไหนแล้ว

ทุกสิ่งคล้ายจะเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด นอกจาก…ซิ่วฉินที่วิ่งตะลีตะลานเข้ามา

“คุณหนู!” ซิ่วฉินก้าวขึ้นบันไดเข้ามาในศาลา

ฟู่เสวี่ยเยียนวางหมากสีขาวเม็ดหนึ่งบนกระดาน แล้วถามเบาๆ ว่า “มีอะไร”

ซิ่วฉินแววตาวูบไหวเล็กน้อย นางเหลือบมองเฉียวเวย แล้วทำท่าจะเอ่ยปากพูดแต่ก็ชะงัก ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “คนกันเองทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดพูดไม่ได้”

ซิ่วฉินขานตอบรับคำหนึ่งแล้วจึงเล่าเรื่องที่พบเจอในตลาดให้ฟู่เสวี่ยเยียนฟัง เรื่องมีอยู่ว่าตอนเช้าตรู่ฟู่เสวี่ยเยียนอยากกินเกาลัด แต่ในฤดูกาลนี้เมืองหลวงมีแต่แป้งเกาลัดที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมาแล้ว มีลูกเกาลัดสดใหม่เสียที่ไหน แต่ในเมื่อฟู่เสวี่ยเยียนอยากกิน ซิ่วฉินจึงตัดสินใจออกไปลองเสี่ยงดวงข้างนอกดูสักหน

ไหนเลยจะคิดว่านางเพิ่งเดินทางไปถึงตลาดก็บังเอิญพบกับคณะทูตของเผ่าซยงหนีว์ที่เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงพอดี ถนนกันคนออกจากเส้นทางอย่างเข้มงวด นางจำต้องหลบไปด้านข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนที่คณะทูตของเผ่าซยงหนีว์เดินขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่นั่นเอง นางก็เห็นองครักษ์ของเผ่าเยี่ยหลัวเข้า!

เฉียวเวยกะพริบตาอย่างงุนงง “ประเดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าในคณะทูตของเผ่าซยงหนีว์มีคนเยี่ยหลัวอยู่หรือ”

นางทราบเรื่องที่คณะทูตของเผ่าซยงหนีว์จะมาเยือนแล้ว หลายวันก่อนนางได้ยินหมิงซิวเปรยว่าชายแดนทางเหนือเกิดความไม่สงบเล็กน้อย หากไม่ใช่การท้าทายก็เป็นความเข้าใจผิด หากว่าเป็นการท้าทาย สองฝ่ายคงจะได้เปิดศึกกันในไม่ช้า แต่หากเป็นความเข้าใจผิด เผ่าซยงหนีว์คงจะมาเยี่ยมเยือนในอีกไม่นาน

แล้วคณะทูตของเผ่าซยงหนีว์ก็มาเยือนจริงๆ แต่เหตุใดจึงพาคนของเผ่าเยี่ยหลัวมาด้วยเล่า

ต่อให้บอกว่าเผ่าซยงหนีว์สมคบกับเผ่าเยี่ยหลัว แต่มีอย่างที่ไหนสมคบกันแล้วพาอีกฝ่ายเข้าเมืองหลวงมาด้วยกัน นี่จะหลอกศัตรูหรือจะหลอกทำร้ายพรรคพวกตัวเองกันแน่

จุดที่ฟู่เสวี่ยเยียนสนใจแตกต่างจากเฉียวเวยอย่างชัดเจน นางถามซิ่วฉินว่า “องครักษ์ของผู้ใด”

ซิ่วฉินก้มหน้า ตอบอย่างกังวลและลำบากใจ “ข้าเห็นเพียงแวบเดียวก็ถูกฝูงชนดันออกมา…ข้าจึงไม่ทันมองเห็นชัด…”

ฟู่เสวี่ยเยียนจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเห็นผู้ใด”

ซิ่วฉินตอบว่า “คุณหนูเฉี่ยวหลิงเจ้าค่ะ”

“คุณหนูเฉี่ยวหลิงคือผู้ใด” เฉียวเวยถาม

ดวงตาของฟู่เสวี่ยเยียนปรากฏแววตาซับซ้อน “องครักษ์ข้างกายของฮองเฮา”

เฉียวเวยตกตะลึง “ฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัวมาหรือ”

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แค่จับตัวมู่ชิวหยางได้คนหนึ่ง แล้วก็ ‘กักตัว’ ฟู่เสวี่ยเยียนไว้อีกคนหนึ่งเท่านั้นก็ล่อฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัวออกมาได้เชียวหรือ!

ในตำหนักข้างของตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้สั่งให้นางกำนัลออกไปเหลือแต่ตัวพระองค์เองกับฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัว ทั้งสองคนนั่งบนเก้าอี้กวนเม่า[1] ทำจากไม้แดงที่คั้นกลางด้วยโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว น้ำชาถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ไม่มีผู้ใดขยับมือไปหยิบ

ฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัวนั่งนิ่งไม่เหลือบแลสายตาไปที่ใด ส่วนฮ่องเต้เอนกายมามองสำรวจนางตาไม่กะพริบ

เหมือน เหมือนเหลือเกิน!

เหมือนเจาหมิงของเขากลับมามีชีวิต!

“ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว”

คำเรียกขานของฮ่องเต้เปลี่ยนไปแล้ว “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ ข้าน่าจะเดาออกตั้งนานแล้วว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตอนข้าได้ข่าวว่าหมิงเยี่ยยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็เคยคิดว่าตอนนั้นเจ้าอาจจะถูกคนใช้วิธีการเดียวกัน…ข้าทายถูกแล้วสินะ พวกเขาขโมยตัวเจ้าไป”

สีหน้าของฮองเฮาเยี่ยหลัวเริ่มอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนอยู่ในตำหนักจินหลวน นางเป็นฮองเฮาผู้สง่างาม แต่เมื่ออยู่ที่นี่ตามลำพัง นางกลับเหมือนแม่นางน้อยที่ถูกฮ่องเต้ข่มขู่จนหวาดผวา

นางกำผ้าเช็ดหน้าแล้วขยำมันทีละนิดๆ

ฮ่องเต้เห็นว่าตนเองเหมือนจะทำให้นางกลัวเสียแล้วจึงรีบยกพระหัตถ์ขึ้นมาตั้งใจจะลูบปลอบ “เจ้าไม่ต้องกังวล”

จังหวะที่พระหัตถ์ของฮ่องเต้กำลังจะแตะถูกตัว นางก็ขยับหลบเล็กน้อย

พระหัตถ์ของฮ่องเต้นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ

ไม่รู้ว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวตระหนักได้ว่าตนทำให้หัวใจของบุรุษผู้นี้หนาวเหน็บหรืออย่างไร แพขนตาจึงกระพือไหวเบาๆ แต่นางก็ยังคงขยำผ้าเช็ดหน้าอย่างดื้อรั้น หากขุนนางทั้งหลายที่เพิ่งประจักษ์ความสูงส่งสง่างามเมื่อครู่มาเห็นเข้า เกรงว่าพวกเขาคงตกใจจนตาค้าง

ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นใด แต่เพราะการกระทำนี่…ดูเหมือนเด็กน้อยมากเหลือเกิน

จู่ๆ ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมา เขาหวนนึกถึงสมัยก่อนตอนเจาหมิงโกรธแล้วเมินเขา นางก็มักจะขยำผ้าเช็ดหน้าทีละนิดๆ เช่นนี้เหมือนกัน “เจ้าคือเจาหมิงใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่” นางตอบ

ฮ่องเต้ชะงัก

นางเอ่ยต่อว่า “ข้าคือฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว ไม่ใช่องค์หญิงราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกท่าน ข้าเติบใหญ่มาในเผ่าเยี่ยหลัว”

ฮ่องเต้รีบตรัสว่า “เจ้าเติบใหญ่มาในต้าเหลียงต่างหาก ตอนอดีตฮ่องเต้อุ้มเจ้ากลับมา เจ้าเพิ่งอายุไม่กี่เดือน”

นางหันไปมองฮ่องเต้อย่างจริงจัง “ท่านจำคนผิดแล้ว ข้าไม่เคยมาต้าเหลียงมาก่อน”

“เป็นไปไม่ได้…ข้าไม่มีทางจำผิด ฝูกงกง!” ฮ่องเต้ตวาด

ฝูกงกงเดินฉับๆ เข้ามา “ฝ่าบาท พระองค์เรียกบ่าวหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้สั่งว่า “ไปเอาภาพเหมือนของเจาหมิงมา!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงแอบเหลือบมองฮองเฮาเยี่ยหลัวแวบหนึ่ง หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ไม่แปลกที่เมื่อครู่ขุนนางเฒ่าตำแหน่งสูงในตำหนักพวกนั้นจะมีหลายคนตกใจจนเป็นลม

ฝูกงกงกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาวางม้วนภาพวาดเจ็ดม้วนตรงโต๊ะที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองคน จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างรู้จักสถานการณ์

ฮ่องเต้รีบร้อนคลี่ม้วนภาพวาด “เจ้าดู นี่คือตอนเจ้าอายุสิบสาม เจ้ากำลังอ่านหนังสือ นี่คือตอนเจ้าอายุสิบสี่ เจ้ากำลังตกปลาที่สระไท่เยี่ย นี่คือตอนเจ้าอายุสิบห้า…”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองหญิงสาวในภาพเหมือน จากนั้นยื่นมือออกมาลูบใบหน้าของคนในภาพเหมือนอย่างฉงน

ดวงเนตรของฮ่องเต้เป็นประกาย “นึกออกแล้วใช่หรือไม่”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “เหมือนมากจริงๆ แต่ข้าไม่ใช่นาง เรื่องราวเหล่านั้นที่ท่านพูดถึง ข้าไม่เคยทำ”

แววตาของฮ่องเต้หม่นแสง “เจาหมิง…”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวขัดจังหวะเขา นางสูดลมหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาราวกับต้องเค้นคำพูดลอดไรฟันอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังฝืนพูดออกมา “ข้าเดินทางมาหนนี้เพราะต้องการขอร้องฝ่าบาท โปรดปล่อยตัวหลานชายข้ากับคู่หมั้นของบุตรชายข้าด้วย”

ฮ่องเต้เข้าใจเรื่องหลานชายได้ มู่อ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของราชาเยี่ยหลัว ลูกชายของเขาย่อมเป็นหลานชายแท้ๆ ของราชาเยี่ยหลัวกับฮองเฮา แต่ลูกชายมันเรื่องอะไรกัน

ระหว่างที่ฮ่องเต้ครุ่นคิดร้อยตลบแต่ยังไม่ได้คำตอบ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น

“องค์ชายสาม ท่านเข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกับฮองเฮากำลังสนทนากันอยู่”

นั่นเป็นเสียงห้ามอย่างอดทนของฝูกงกง

“ปล่อยข้าเข้าไป! ผู้ใดจะรู้ว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงของพวกเจ้ามีแผนอะไรอยู่ในใจหรือไม่ ข้าจะพบเสด็จแม่ของข้า!”

พร้อมกับที่เสียงตวาดอันเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มดังขึ้น บุรุษหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวนวลก็บุกเข้ามาพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่าน ในมือเขาถือกระบี่มาด้วยเล่มหนึ่ง!

ฝูกงกงหน้าซีดเผือด เขาตาลีตาเหลือกวิ่งไล่ตามมาพลางร้องว่า “ฝ่าบาท บ่าวขวางเขาไม่อยู่…”

“เสด็จแม่!” ชายหนุ่มก้าวพรวดเข้ามาหาฮองเฮาเยี่ยหลัว แล้วพูดพลางชี้กระบี่ไปยังฮ่องเต้ “เสด็จแม่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ บุรุษผู้นี้ทำอะไรท่านหรือไม่”

ฝูกงกงตกใจนเข่าอ่อน ทว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้ไม่มีแววตำหนิแม้แต่น้อย พระองค์เพียงจับจ้องชายหนุ่มนิ่งๆ คล้ายกับว่าอยากจะมองจนใบหน้าของเขามีดอกไม้ผุดขึ้นมา

ชายหนุ่มถูกจ้องจนหมดความอดทน เขาถลึงตาใส่ฮ่องเต้อย่างดุร้าย “เจ้ามองอะไรของเจ้า”

ฮ่องเต้สรวล “เจ้าอายุเท่าใดแล้ว”

“สิบแปด! มีอะไร” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม

ดวงเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง “อายุพอดีกัน”

ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “เสด็จแม่ คนผู้นี้แปลกนัก ท่านอย่าสนทนากับเขาเลย! เรื่องช่วยซื่อจื่อกับเยียนเอ๋อร์ยกให้ข้าจัดการเอง ข้าจะช่วยพวกเขาออกมาให้ได้!”

ไม่รู้ว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จหรืออย่างไร นางจึงลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดของบุตรชายแล้วย่อกายคำนับฮ่องเต้อย่างมีมารยาท “ขอตัวลา”

ฮ่องเต้รีบเรียกนาง “เจาหมิง!”

แต่ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่สนใจเขา นางจูงมือชายหนุ่มเดินออกไปจากตำหนักข้าง

ด้านนอกตำหนักจินหลวน บนบันไดหินอ่อนขาวที่ทอดยาว จีหมิงซิวยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายลม สายวาโยแห่งสารทฤดูพัดชุดขุนนางสีม่วงเข้มของเขา ยามทอดสายตามองเขาดูเหมือนทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ร่วงอันงดงามที่สุดในพระราชวัง

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกับชายหนุ่มจูงมือกันเดินผ่านมา จีหมิงซิวจับจ้องพวกเขา พวกเขาก็เห็นจีหมิงซิวแล้วเช่นกัน แต่แววตาของพวกเขาเหมือนเห็นคนแปลกหน้า

“คนนั้นคืออัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง” ชายหนุ่มบอกอย่างดูแคลน

ฮองเฮาเยี่ยหลัวผงกศีรษะ นับว่าทักทายอย่างมีมารยาทแล้ว

จีหมิงซิวไม่ขยับ เขาเพียงเลื่อนสายตามาจับบนใบหน้าของนาง

ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ชอบใจที่จีหมิงซิวเอาแต่จ้องเสด็จแม่ของตน เขาจึงสลับตำแหน่งมายืนอีกด้านหนึ่งของเสด็จแม่ ขวางจีหมิงซิวกับฮองเฮาเยี่ยหลัวออกจากกัน

จีหมิงซิวมองคนทั้งสองเดินผ่านข้างกาย ทิ้งกลิ่นหอมชวนดมดอมลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมเลือนราง รู้สึกเคยคุ้นอยู่เล็กน้อย

[1] เก้าอี้กวนเม่า เก้าอี้รูปแบบโบราณชนิดหนึ่งของจีน ได้ชื่อนี้มาเพราะมีรูปทรงคล้ายหมวกของขุนนางจีนในสมัยโบราณ