ตอนที่ 373-1 ค้นหาความจริง (1)
แม้แต่ในยามฝันเฉียวเวยก็คงคิดถึงว่าจะมีวันที่ตัวเองได้มาขุดสุสานของผู้อื่น แล้วสุสานที่มาขุดยังเป็นสุสานแม่สามีของตนเอง คิดดูแล้วช่างอกตุญญูเนรคุณเหลือเกิน
“องค์หญิงท่านอย่าถือโทษโกรธพวกเราเลย พวกเราไม่ได้เจตนา ผู้ใดใช้ให้เผ่าเยี่ยหลัวส่งสตรีนางหนึ่งที่คล้ายท่านทุกอย่างจนน่าเหลือเชื่อมาคนหนึ่งเล่า พวกเราทำไปเพื่อค้นหาความจริง ขอดวงวิญญาณของท่านที่อยู่บนสวรรค์คุ้มครองให้พวกเราทำทุกสิ่งได้ราบรื่นด้วยเถิด”
เฉียวเวยเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่ในลานด้านหลังเรือน นางคำนับสามหนอย่างคารพ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในเรือน
จีหมิงซิวตระเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้พร้อมสรรพแล้ว เฉียวเวยกวาดตามองอย่างไวๆ รอบหนึ่ง แล้วพบว่าส่วนใหญ่มีแต่น้ำกับอาหารแห้ง ไหนพลั่วเหล็กที่คุยกันไว้ ไหนจอบที่คุยกันไว้ เหตุไฉนไม่มีอุปกรณ์ขุดสุสานสักอย่าง มีแต่ของกินกับน้ำ
“เอาของไปเท่านี้พอหรือ” เฉียวเวยถาม
“พอแล้ว” จีหมิงซิวตอบ
ในเมื่อเขาบอกว่าพอแล้วก็คงพอแล้วจริงๆ กระมัง ไม่ใช่ว่าสุสานทุกแห่งจะต้องพึ่งอุปกรณ์ในการขุดเสียหน่อย ตัวอย่างเช่นสุสานของตระกูลจีกับเขตต้องห้ามของตระกูลจีที่ดูเหมือนจะมีทางเข้าโดยเฉพาะ
เพื่อรับประกันความปลอดภัย เฉียวเวยจึงพกกระเป๋ายาใบกะทัดรัดที่ใส่เทียนไขไว้หลายแท่งไปด้วยหนึ่งใบ
จีหมิงซิวเข้าใจสาเหตุที่นำกระเป๋ายาไปด้วย แต่เทียนไขจะเอาไปทำอะไร
เฉียวเวยเหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าฉงนของสามีตัวเอง จึงหัวเราะหึๆ ตอบว่า “สุสานขององค์หญิงจะต้องมีของดีไม่น้อยแน่ ข้ากลัวว่าข้าจะคันไม้คันมือ…”
คันไม้คันมือแล้วเกี่ยวอะไรกับเทียนไข
จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาประหลาด
เฉียวเวยยกมือขึ้นคลึงติ่งหูอย่างจนปัญญา ก่อนจะกระซิบบอกเสียงเบาว่า “คนจุดเทียน ผีเป่าโคม ยามไก่ขันโคมดับอย่าฉกฉวยทอง ถ้าหากองค์หญิงไม่ยินยอมให้ข้าหยิบ ข้าก็จะได้ไม่หยิบอย่างไรเล่า”
“ตรรกะเพี้ยนๆ นี่มาจากที่ใดกัน” จีหมิงซิวหยิบของที่ไม่จำเป็นออกจากห่อสัมภาระของนาง “อยากหยิบอะไรก็หยิบตามใจเถิด ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นแม่สามีของเจ้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าให้แก่ลูกสะใภ้ก็แล้วกัน”
เฉียวเวยมองเทียนไขที่ถูก ‘ทอดทิ้ง’ ตาปริบๆ ผู้อื่นไม่ได้อยากจะหยิบฉวยสิ่งของจริงๆ สักหน่อย ก็แค่อยากลิ้มลองรสชาติการเป็นกองพลปล้นทอง[1] ดูสักหนเท่านั้นเอง…
ไม่ว่าอย่างไรการขุดสุสานก็ไม่ใช่เรื่องสง่าผ่าเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสุสานขององค์หญิง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป หมวกแพรดำ[2]ของจีหมิงซิวคงได้หลุดจากศีรษะ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่กระโตกกระตากให้ผู้ใดทราบ พวกเขารอตกกลางคืนยามคนสงัดก็ออกจากห้องมาอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสองคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาย่อมไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะประจันหน้ากับใต้เท้าเจ้าสำนักที่ปักหลักเฝ้าอยู่ที่ประตูอย่างจัง
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจะไปทำอะไร อย่าคิดปิดบังข้า!”
ทั้งสองคนย่อมไม่ปิดบังเขาเรื่องที่เผ่าเยี่ยหลัวส่งฮองเฮาผู้หน้าตาเหมือนองค์หญิงอย่างกับแกะมาเยือน ต่อให้พวกเขาสองคนไม่พูด ซิ่วฉินผู้ปากสว่างก็คงจะบอกเขาจนหมดเปลือกอยู่ดี หากเขาเดาไม่ออกว่าเฉียวเวยกับพี่ใหญ่ของตนจะออกไปทำอะไรกันตอนค่ำมืดดึกดื่น เขาก็คงโง่เกินเยียวยาแล้ว
“ข้าจะไปด้วย!” เขาบอกอย่างไม่สบอารมณ์
จีหมิงซิวเหลือบมองเขา แล้วบอกอย่างจริงใจ “นี่ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไร เจ้ารอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเถิด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ยอมถอย “เรื่องอะไรข้าต้องรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน เจ้าเก่งนักเจ้าก็เป็นคนรอสิ!”
จีหมิงซิวหน้าเคร่งขรึม “เจ้าคิดว่าสุสานน่าไปเยือนนักหรืออย่างไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่เฉียวเวย “นางเป็นสตรียังไปได้ ข้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเหตุใดจึงจะไปไม่ได้”
นิ้วชี้น้อยๆ ของเฉียวเวยจิ้มหน้าอกแข็งๆ ของเขา “เพราะนายหญิงคนนี้สู้เก่งเท่ากับเจ้าสิบคนอย่างไรเล่า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกจิ้มทีเดียวกระดูกซี่โครงก็เกือบหัก เขาทั้งโกรธทั้งโมโหจึงถลึงตาใส่เฉียวเวย แต่เฉียวเวยกลับเลิกคิ้วส่งยิ้มให้ เขาแค้นเคืองจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พอหันกลับไปมองจีหมิงซิวก็บอกว่า “ข้าไม่สน! สรุปคือข้าจะไป! ข้าโตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นหน้ามารดา ข้าไปพบหน้านางสักหนจะเป็นอะไรไป! หากเจ้าไม่พาข้าไป มารดาของข้าที่อยู่บนสวรรค์จะต้อง…จะต้องด่าเจ้าไม่เหลือดีแน่!”
เฉียวเวยเหลือบมองเขา ทำตัวเป็นเด็กน้อยจริงนะ!
“เจ้าจะไปให้ได้หรือ” จีหมิงซิวมองเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดอก “แน่นอน!”
จีหมิงซิวจึงยัดห่อผ้าเข้าไปในอ้อมแขนของเขา เขางุนงง “เจ้าทำอะไร”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ให้เจ้าไปมือเปล่าไม่ได้สิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตะลึงงัน เหตุไฉนรู้สึกเหมือนติดกับดักของจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้เข้าแล้ว…จิ้งจอกเฒ่าคิดจะใช้เขาหิ้วของสินะ
เฉียวเวยลอบหัวเราะ
“อยากจะให้เขาถือสัมภาระของเจ้าด้วยหรือไม่” จีหมิงซิวถามอย่างไร้มโนธรรม
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าดำเหมือนถ่านแล้ว!
เฉียวเวยว่าอย่างขบขัน “ไม่ต้องหรอก ของที่อยู่ในห่อสัมภาระของข้าล้วนแต่เป็นของมีค่า ข้าไม่วางใจยกให้เขาถือ”
นางไม่วางใจจริงๆ เจ้าซื่อบื้อคนนี้มีประวัติอันดำมืดยาวเป็นหางว่าว ถ้าเขาทำอาหารแห้งหายยังไม่เท่าไร แต่หากยาฉุกเฉินเหล่านี้หายไป นางคงปวดใจ
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาอย่างดูแคลน เจ้าสำนักคนนี้ก็คร้านจะหิ้วของให้เจ้าเหมือนกันเถอะ!
ทั้งสามคนเดินออกจากประตูใหญ่ของบ้านชิงเหลียน ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ‘พยัคฆ์ที่มาขวางทาง’ ในค่ำคืนนี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าซื่อบื้อคนนี้คนเดียว ฟู่เสวี่ยเยียนก็พกกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เตรียมตัวพร้อมสรรพยืนรออยู่ท่ามกลางสายลมยามราตรีด้วย
สายตาของเฉียวเวยวนรอบร่างนางจนครบรอบก็อ้าปากบอกว่า “ดึกป่านนี้เจ้าไม่หลับไม่นอน…คงไม่ใช่คิดจะออกไป ‘เดินเล่น’ กับพวกเราด้วยกระมัง”
“ข้าก็จะไปด้วย” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างจริงจัง
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าสตรีนางหนึ่งจะไปทำอะไร”
เฉียวเวยอยากจะทุบเขาสักยก!
ฟู่เสวี่ยเยียนดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าในหมู่พวกเขาจีหมิงซิวเป็นคนที่ตัดสินใจ นางจึงหันไปมองจีหมิงซิวตรงๆ แล้วว่า “ข้าก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาของข้าเหมือนกัน”
“ไม่ใช่อาแท้ๆ ของเจ้าสักหน่อย” ใต้เท้าเจ้าสำนักพึมพำเสียงเบา
เรื่องที่เกือบจะกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องกันทำเอาใต้เท้าเจ้าสำนักตกใจจนสำลัก โชคดีที่เป็นเพียงการนับลำดับรุ่นเท่านั้น!
จีหมิงซิวเลื่อนสายตามองหน้าท้องของนางด้วยแววตาอดทน “เจ้าไปไม่ได้”
ฟู่เสวี่ยเยียนลูบหน้าท้องโดยสัญชาตญาณ “ข้าไม่เป็นอะไร”
เฉียวเวยจูงฟู่เสวี่ยเยียนมาด้านข้าง แล้วทำท่าทางเสมือนจีเหล่าฮูหยิน พร่ำบ่นว่า “สตรีตั้งครรภ์มีพลังหยินมาก หากเดินทางไปยังสถานที่เช่นนั้นจะถูกภูตผีเล่นงานได้ง่าย”
ฟู่เสวี่ยเยียนโต้ว่า “ข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้”
เฉียวเวยข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ในอก ไหนบอกกันว่าคนโบราณงมงายกันทุกคนอย่างไรเล่า ความงมงายทำให้คนปวดหัว แต่คนไม่งมงายทำให้คนปวดหัวมากกว่า “ใต้ดินอากาศเย็นจัดจะกระทบกระเทือนครรภ์ของเจ้าได้ง่าย ตอนนั้นอาจจะยังไม่รู้สึก แต่หลังจากออกมาจะทำให้มดลูกเย็น”
ฟู่เสวี่ยเยียนกะพริบตา หันไปมองเฉียวเวยอย่างจริงจัง “จริงหรือ เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
เฉียวเวยชูนิ้ว “ข้าสาบาน”
สาบานว่าถ้าหลอกเจ้า ขอให้ข้าไม่ได้กินเนื้อสามวัน
ฟู่เสวี่ยเยียนยอมประนีประนอมในท้ายที่สุด นางดึงกริชตระกูลมู่ออกมาจากอกเสื้อ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าพกมันไว้เถิด”
เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ข้าไปค้นสุสาน ไม่ได้ไปต่อยตีกับผู้อื่นเสียหน่อย ต้องพกอาวุธไปทำอะไร เจ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถิด”
“พกไปเถิด” จู่ๆ จีหมิงซิวก็เอ่ยปากขึ้นมา
ดังนั้นเฉียวเวยจึงขานรับคำหนึ่ง แล้วพกติดตัวไว้อย่างเชื่อฟัง
พวกเขาไม่ได้นั่งรถม้า แต่เลือกม้าร่างกำยำที่ทรงพลังและวิ่งเร็วอย่างยิ่งมาสองสามตัว จากนั้นจึงห้อม้าด้วยความเร็วสูงสุดไปยังสุสานขององค์หญิง
ตอนเทศกาลชิงหมิงเฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักเคยมาเยือนสุสานขององค์หญิงหนหนึ่งแล้ว แต่หนนั้นพวกเขาไล่องครักษ์ออกไป ส่วนหนนี้องครักษ์อยู่กันครบถ้วนหน้า ทุกสิบก้าวมีองครักษ์หนึ่งคน ทุกร้อยก้าวมีป้อมเวรยามเฝ้าจับตา แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ
เฉียวเวยถอนหายใจ “โอย องครักษ์คุ้มกันแน่นหนายิ่งกว่าวังเสียอีก”
สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ผ่านไปสิบเก้าปีแล้วก็ยังคุ้มกันเข้มงวดเช่นนี้ เห็นชัดว่าความรักที่ฝ่าบาทมอบให้องค์หญิง…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
เฉียวเวยหยิบผงยาห่อหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ “ข้าจัดการเอง”
“ไม่จำเป็น” จีหมิงซิวกดมือของนางลง เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอย่างไม่เข้าใจ จีหมิงซิวจึงทำท่าบอกเป็นนัยให้นางหันไปมองไกลๆ เฉียวเวยมองตามแล้วทันใดนั้นนางก็ต้องตกตะลึง
มีบุรุษสองคนสวมชุดอำพรางตัวสีดำอยู่!
ดูจากท่าทางและวิชาตัวเบา เห็นชัดว่าพวกเขาไม่ใช่โจรกระจอกในยุทธภพที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเงาร่างของทั้งสองคนก็ดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เฉียวเวยไม่รู้ว่าทั้งสองคนเป็นใคร แล้วเหตุใดจึงมาเยือนสุสานขององค์หญิง แต่เห็นชัดว่าสองคนนี้พุ่งตรงไปหาพวกองครักษ์ พวกเขาต่างล้วงกระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเปิดฝาปิด ควันสีเขียวสายหนึ่งลอยออกมา
ทั้งสองคนใช้วิชาตัวเบากระจายควันสีเขียวไปรอบด้าน องครักษ์ที่สูดควันสีเขียวเข้าไปทยอยล้มลงบนพื้น
ทั้งสองคนแลกสายตากันหนึ่งหน จากนั้นจึงส่งสัญญาณมือประหลาดให้กันหนึ่งหนก่อนจะกระโจนเข้าไปในกำแพง
เฉียวเวยหรี่ตา โจรอะไรกล้าบุกสุสานขององค์หญิงในยามวิกาล
แต่เมื่อหันกลับไปมองจีหมิงซิวก็เห็นแววตาของเขามองตามโจรน้อยทั้งสองคนไปคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้ถือสาสักเท่าใด
“ท่านรู้ว่าใครหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวปัดแขนเสื้อเบาๆ “คนที่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่ได้มีเพียงพวกเรา”
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “พวกเขาก็คิดจะตรวจดูศพขององค์หญิงด้วยหรือ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “ไปเถิด”
เฉียวเวยไม่แสดงท่าทีอะไรตอบ คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังได้พึ่งร่มเงา มีคนยอมเป็นทัพหน้าให้ ช่างประหยัดแรงพวกเขาเสียจริง
ทั้งสามคนปีนกำแพงเข้าไปในสุสานขององค์หญิงได้สำเร็จ
เห็นชัดว่าสองคนนั้นคุ้นเคยกับภูมิประเทศด้านในสุสานองค์หญิง พวกเขาไม่เสียเวลาหาสักนิดก็ ตรงดิ่งไปยังจุดที่องค์หญิงถูกฝังทันที
เฉียวเวยสงสัยอย่างยิ่งว่าพวกเขาเคยมาเยือนที่แห่งนี้แล้ว! คนก่อคดีต้องเป็นคนคุ้นเคยแน่!
ระหว่างที่ใคร่ครวญก็เห็นทั้งสองคนปลดอุปกรณ์ที่ใช้ผ้าสีดำห่ออย่างดีออกมาจากบนหลัง พูดกันตามตรงค่ำคืนนี้มืดมิดเกินไปจึงมองไม่ออกจริงๆ ว่าบนหลังของทั้งสองคนแบกของมาด้วย รอจนกระทั่งสองคนนั้นแกะผ้าสีดำออกแล้ว เฉียวเวยถึงมองเห็นชัดว่านั่นคือพลั่วเหล็กเงาวาบวับสองเล่ม!
ดีมากพวก แม้แต่พลั่วเหล็กก็พกมาด้วย!
ทั้งสามคนหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วนั่งรอเจ้าโง่สองคนขุดสุสานอย่างสบายอกสบายใจ
สองคนนั้นขุดจนเหงื่อชุ่มศีรษะ ตอนแรกพวกเขายังยืนอยู่บนสุสาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปดินก็กองพูนขึ้นมาด้านข้าง ขณะที่ร่างของพวกเขาสองคนจมลงไปข้างใต้ จนกระทั่งมองไม่เห็นคนอีกต่อไป
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เข้าไปได้แล้ว”
เฉียวเวยจิ้มศีรษะที่พิงหัวไหล่ของตนอยู่ “ตื่นๆ ไปได้แล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสูดน้ำลาย แล้วลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย “ถึงแล้วหรือ”
เฉียวเวยฟาดฝ่ามือตบกะโหลกเขาหนึ่งหน “ถึงแล้วอะไรเล่า สุสานถูกผู้อื่นขุดเรียบร้อยแล้ว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสะท้านเฮือกแล้วลุกขึ้นยืนทันที!
จีหมิงซิวก้าวไปยังสุสาน สุสานถูกขุดจนเสร็จแล้ว ดินสองข้างกองเป็นเนินเขาขนาดย่อมๆ โลงศพน่าจะถูกฝังไว้ลึกมาก ดังนั้นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ด้านในจึงถูกบังไว้จนมิด
“น้องเจ็ด แน่ใจหรือไม่ว่าสุสานนี้ คงไม่ได้ขุดผิดกระมัง”
เจ้าโง่หมายเลขหนึ่งพูดขึ้นมา น้ำเสียงคุ้นหูยิ่งนัก
หนังตาของเฉียวเวยกระตุกยิกๆ ก้าวเท้าตามจีหมิงซิวไป
เจ้าโง่หมายเลขสองเอ่ยตอบ “นี่คือสุสานองค์หญิง นอกจากองค์หญิงยังจะมีสุสานของผู้ใดตั้งอยู่ที่นี่อีก”
ดวงตาของเฉียวเวยฉายประกายวาบ เสียงนี้คุ้นยิ่งกว่า!
หากนางเดาไม่ผิด คนผู้นี้น่าจะเป็น….
ทั้งสามคนเดินมาถึงตรงหน้าสุสาน
แสงจันทร์สาดลงมาตกต้องร่างทั้งสามคนจนเกิดเงาดำสามสายทอดยาวพาดลงบนโลงศพไม้เย็นชืด
เจ้าโง่หมายเลขหนึ่งกำลังใช้เครื่องมืองัดตะปูบนโลงไม้อยู่ เมื่อเขาเห็นเงาดุจภูตผีทั้งสาม เขาก็ตกใจจนสะดุดล้มลงไปนั่งบนพื้นดังตุ้บ “อ้ากกก ผี”
เจ้าโง่หมายเลขสองอุดปากเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเตือนเบาๆ “เจ้าทำอะไร อยากเรียกพวกองครักษ์มาหรือ”
เจ้าโง่หมายเลขหนึ่งชี้ไปด้านลังเขา
เห็นชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมา เมื่อหันหลังกลับไปมองเงาทั้งสามที่มาถึงพร้อมพรียงกัน เขาก็ตกใจจนขนทั่วร่างลุกตั้ง พลั่วเหล็กในมือร่วงตรงดิ่งอย่างไม่เอียงไม่เฉลงไปกระแทกเท้าของเจ้าโง่หมายเลขหนึ่ง เจ้าโง่หมายเลขหนึ่งเจ็บจนคู้ตัวลงไปทันใด!
“พวกเจ้าเองหรือ” เจ้าโง่หมายเลขสองจำพวกเขาได้แล้ว
จีหมิงซิวก้มมองเขาจากบนที่สูง “ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่ ยิ่นอ๋อง” จากนั้นก็หันไปมองเจ้าโง่หมายเลขหนึ่งที่ถูกพลั่วกระแทกเท้า เจ็บจนน้ำตาไหล “เจาอ๋อง”
เวลานี้เจาอ๋องเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว นอกจากใต้เท้าเจ้าสำนักที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เขาเคยเห็นจีหมิงซิวกับเฉียวเวยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาถอนหายใจยาวแล้วดึงมือของยิ่นอ๋องที่ปิดปากตัวเองอยู่ออก “พวกเจ้าเองหรือ ทำข้าตกใจหมด!”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอน วิ่งมาขุดสุสานมารดาของข้า ไม่รู้สึกว่าตนเองทำเกินไปบ้างหรือ”
ยิ่นอ๋องตอบเสียงเย็นชา “พวกเจ้าก็มาขุดสุสานเหมือนกันไม่ใช่หรือไร”
จีหมิงซิวย้อน “พวกเราดูเหมือนจะมาขุดสุสานหรือไร”
ยิ่นอ๋องมองเสื้อผ้าของทั้งสามคน แล้วมองเครื่องมือของตนเองกับเจาอ๋องที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น พวกเขาดูเหมือนโจรขุดสุสานมากกว่าจริงๆ….
เฉียวเวยยกมุมปากอย่างขบขัน มิน่าหมิงซิวถึงไม่ยอมให้เอาเครื่องมือมา นั่นก็เพราะสุสานองค์หญิงไม่จำเป็นต้องขุดแล้วนี่เอง ที่แท้เขาก็คาดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีคนมาขุดแทนพวกเขา “คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบหน้ากันอีกหน ยิ่นอ๋องผู้น่าเคารพ เพียงแต่สภาพของท่าน…เหตุไฉนจึงสุดจะพรรณนาเช่นนี้”
การขุดสุสานทำให้คนทั้งสองเปื้อนดินโคลนเต็มขา ไม่เหลือสภาพขององค์ชายผู้สง่างามดั่งหยกในวันวานอย่างสิ้นเชิง สภาพเช่นนี้ปล่อยให้จีหมิงซิวมาเห็นก็อนาถพอแล้ว ยังจะมาถูก ‘อดีตภรรยา’ เห็นอีก นี่มันช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ!
ยิ่นอ๋องเคยจินตนาการถึงการกลับมาพบหน้ากันของพวกเขาสองคนนับครั้งไม่ถ้วน ในภาพจินตนาการเขาย่อมเป็นองค์ชายผู้สูงส่ง ส่วนนางเป็นยัยแก่แร้งทึ้ง ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์กลับไม่เหมือนที่จินตนาการไว้แม้แต่นิดเดียว นับวันนางยิ่งงามสง่า ส่วนตัวเขากลับสภาพเหมือนชาวนาขาย่ำโคลน
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้เรื่องราวความแค้นระหว่างพวกเขาสักเท่าใด เขาแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน “เขาก็คือยิ่นอ๋องคนนั้นหรือ ตอนนั้นเจ้าจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับพี่ใหญ่ของข้าเพื่อเขาเนี่ยนะ โรคตาไม่มีแววของเจ้ารักษาหายดีตั้งแต่เมื่อใด”
คำพูดนี้กำลังด่าเฉียวเวยว่าตอนนั้นตาไม่มีแววชัดๆ ทิ้งจีหมิงซิวผู้ยอดเยี่ยมไปไล่ตามก้อนโคลนที่ยึดกำแพงไม่อยู่ก้อนหนึ่ง
ยิ่นอ๋องโกรธจนแทบจะล้มหงายหลัง!
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ข้าจะต้องตาเขาได้อย่างไรเล่า ข่าวลือเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ”
หากแววตาสังหารคนได้ ยิ่นอ๋องคงสังหารเฉียวเวยไปร้อยพันหนแล้ว!
ยิ่นอ๋องกับเจาอ๋องต่างไม่เคยพบใต้เท้าเจ้าสำนักมาก่อน แต่คำว่าพี่ใหญ่คำนั้นบอกตัวตนของเขาอย่างชัดเจน กล่าวกันตามตรงมาขุดสุสานมารดาของผู้อื่นแล้วถูกจับได้คาหนังคาเคา ไม่ว่าอย่างไรก็รักษาหน้าไว้ไม่ได้แล้ว แต่ขุดก็ขุดเสร็จแล้ว ไม่ดูสักหนก็จากไป ออกจะผิดต่อพวกเขาที่ลำบากขุดกันตั้งนานอยู่บ้าง
“ต่อสิ” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา
ยิ่นอ๋องโยนเครื่องมือใส่มือของเจาอ๋อง “เจ้าทำต่อ”
เจาอ๋องสีหน้ามึนงง “เหตุใดเป็นข้าเล่า แล้วเจ้าจะไปทำอะไร”
เฉียวเวยมองยิ่นอ๋องแล้วยิ้มน้อยๆ “เวลานี้แล้วอย่าห่วงหน้าตาอีกเลย อย่างไรท่านก็ไม่เหลือหน้าตาอะไรอยู่แล้ว”
ยิ่นอ๋องโกรธจนสำลัก
เจาอ๋องเป็นคนที่ถูกรังแกง่ายที่สุดในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ในใจจะโกรธ แต่เขากลับยังงัดตะปูบนโลงไม้อย่างเชื่อฟัง หลังจากงัดเสร็จแล้ว เจาอ๋องจึงอ้อมฐานของโลงไม้ เริ่มออกแรงผลักฝาโลงศพให้เปิด แต่จนปัญญาที่หนักเกินไป ผลักอยู่หลายหนก็ไม่ขยับ
เจาอ๋องถลึงตาใส่ยิ่นอ๋องอย่างขุ่นเคือง “เจ้าอย่ายืนทื่ออยู่สิ!”
แต่ยิ่นอ๋องไม่ยอมขยับ
เดี๋ยวนี้รู้จักแสร้งทำนิ่งเพิ่มค่าตัวแล้วสินะ เฉียวเวยปัดมือแล้วกระโดลงไปในหลุม “ข้าเอง”
เจาอ๋องมองนางอย่างไม่เชื่อถือ “บุรุษตัวโตอย่างข้ายังยกไม่ขึ้น เจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงทุ้มหนักดังลั่นขึ้นหนึ่งหน ฝาโลงศพถูกเฉียวเวยเปิดออกแล้ว
หลังจากเปิดออกมา มันกลับไม่ใช่โลงศพแต่เป็นทางเดินมืดสนิทเส้นหนึ่ง เฉียวเวยยื่นหน้าเข้าไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ นางมองทางเดินเส้นนั้นตาปริบๆ กลิ่นดินและไอเย็นโชยมาปะทะใบหน้าราวกับเกล็ดหิมะล่องหน ทำเอาเฉียวเวยหนาวจนกายสะท้าน!
นี่คงจะเป็นทางเข้าสุสาน เฉียวเวยหันกลับไปมองจีหมิงซิวก็เห็นจีหมิงซิวกระโดดลงมาแล้ว หลังจากนั้นใต้เท้าเจ้าสำนักก็กระโดดลงมาด้วย จีหมิงซิวปลดผ้าคลุมบนร่างมาคลุมไว้บนตัวเฉียวเวย นิ้วเรียวยาวผูกสายรัดจนเรียบร้อย การกระทำอ่อนโยนจนแม้แต่แสงจันทร์ก็แทบจะละลาย “ใต้ดินหนาว”
เฉียวเวยยิ้มหวาน
ยิ่นอ๋องถูกเมียเก่ากับศัตรูความรักป้อนอาหารหมาให้หนึ่งกำมือ หัวใจก็เจ็บจุกแทบวางวาย!
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มหยันมองเขา “หึๆ!”
จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเข้าไปในโลงศพ จากนั้นจึงเดินตามเข้าไปพร้อมกับใต้เท้าเจ้าสำนัก
[1]กองพลปล้นทอง กองทหารที่โจโฉตั้งขึ้นมาเพื่อออกปล้นสุสานเอาทรัพย์สมบัติมาใช้เติมเสบียงให้กองทัพ ต่อมาจึงเป็นอีกคำเรียกหนึ่ง ของโจรปล้นสุสาน
[2]หมวกแพรดำ เปรียบเปรยถึงตำแหน่งขุนนาง