เล่ม 1 ตอนที่ 373-2 ค้นหาความจริง (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 373-2 ค้นหาความจริง (1)

หลังจากเงาของทั้งสามคนค่อยๆ เลือนหายไปในเงามืด เจาอ๋องก็กระแอมอย่างกระอักกระอ่วน “แล้วพวกเราจะเอาอย่างไร กลับไปหรือว่าลงไป”

ยิ่นอ๋องตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “มาก็มาแล้ว ต้องดูให้มันรู้ดำรู้แดงแล้วค่อยไปสิ!”

เจาอ๋องนึกทบทวนดู เหมือนเมื่อครู่จีหมิงซิวไม่ได้ห้ามพวกเขาตามไป ดังนั้นจึงกระโดดเข้าไปในโลงศพ เดินลงไปตามทางเดินพร้อมกันกับยิ่นอ๋องด้วย

การจุดไฟใต้ดินเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงจะทำให้ออกซิเจนที่มีอยู่เบาบางลงได้ง่าย แต่มันอาจจะชักนำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายอีกด้วย ในสถานที่เช่นนี้หากไฟไหม้ขึ้นมาย่อมหนีออกไปยากยิ่ง

พวกเฉียวเวยไม่ได้จุดคบไฟ พวกเขาใช้ไข่มุกจันทร์กระจ่าง

แม้ไข่มุกจันทร์กระจ่างจะเทียบกับไฟฉายในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่มันก็สว่างกว่ามุกราตรีปกติอยู่เล็กน้อย พวกยิ่นอ๋องสองคนเดินตามแสงมา

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาอย่างดูแคลน “ตามติดเป็นเหลือบไรเชียวนะ!”

เจาอ๋องมุมปากกระตุก เจ้าเด็กหน้าเหม็น อย่าคิดว่าพี่ชายเจ้าอยู่ด้วยแล้วข้าจะไม่กล้าทุบเจ้านะ! วันไหนพี่ชายเจ้าไม่อยู่ ท่านอ๋องผู้นี้จะทุบเจ้าให้ฟันร่วงเกลื่อนพื้น!

ทางเดินเส้นนี้เริ่มแรกมุ่งลงไปด้านล่าง หลังจากเดินไปช่วงระยะหนึ่งก็เหมือนจะมาถึงพื้นราบ แต่มันก็ยังคงเป็นอุโมงค์ทางเดิน ทั้งยังคับแคบอย่างยิ่ง รูปร่างอย่างจีหมิงซิวจำเป็นต้องก้มหลังเล็กน้อย ศีรษะถึงจะไม่ชนเพดาน

จีหมิงซิวถือไข่มุกจันทร์กระจ่างเดินอยู่ด้านหน้าสุด ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลาง ส่วนเฉียวเวยเป็นคนปิดท้าย

เดินไปได้ระยะหนึ่ง จีหมิงซิวก็ลูบเพดานหินเหนือศีรษะ “มีบางสิ่ง ถือซิ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักรับไข่มุกจันทร์กระจ่างไปถือแล้วส่องจุดที่จีหมิงซิวชี้ จีหมิงซิวเคาะหิน พบว่ามันกลวงเปล่า เขาจึงหยิบเหล็กท่อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วกระทุ้งเบาๆ

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะกระทุ้งได้ครึ่งเดียว เงาดำเงาหนึ่งก็วิ่งพรวดออกมา กระโจนลงมาที่ไข่มุกจันทร์กระจ่างในมือใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักตกใจจนมือสั่น ไข่มุกร่วงตกพื้นหลังจากนั้นกลิ้งหายไปที่ใดก็ไม่ทราบ อุโมงค์ทางเดินมืดสนิทอย่างฉับพลัน

เฉียวเวยว่าอย่างขัดใจ “แค่หนู เจ้าก็กลัวแล้วรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักก้มหน้าอย่างน้อยอกน้อยใจ

โชคยังดีที่จีหมิงซิวเจาะช่องสำเร็จแล้ว ตอนนี้ในอุโมงค์ทางเดินมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เขาจึงได้แต่ใช้มือคลำ เขาคลำไปพบจุดนูนจุดหนึ่งจึงกดลงไปเบาๆ ด้านหน้าพลันมีเสียงประตูหินเลื่อนเปิด

จีหมิงซิวกำชับว่า “อย่าเดินหลงกัน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเสตามองฟ้าคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ทันที

แม้อุโมงค์ทางเดินจะสิ้นแสงสว่างไปแล้ว แต่จากเสียงก็ยังพอแยกแยะตำแหน่งของแต่ละคนได้อยู่ ทั้งห้าคนยกให้จีหมิงซิวเป็นคนนำขบวน ก่อนจะเดินผ่านประตูหินบานนั้นไป

บนกำแพงมีแสงเรืองๆ มาจากหินแสงจันทร์ที่ประดับอยู่สองสามก้อน อาศัยแสงจากหินแสงจันทร์ ทุกคนจึงพอมองเห็นเค้าโครงด้านในประตูหินอยู่เล็กน้อย มันดูเหมือนหอศิลาใต้ดินหลังหนึ่ง สิ่งที่แตกต่างก็คือหอที่อื่นสร้างขึ้นด้านบน แต่หอหลังนี้สร้างลึกลงไปด้านล่าง

“น่าจะมีสองชั้น” จีหมิงซิวบอก

“ท่านรู้ได้อย่างไร” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวจึงตอบว่า “เคยบังเอิญได้ยินฝ่าบาทพูดถึง”

เฉียวเวยเข้าใจทันที “พวกเราเพียงเดินลงไปก็ถึงแล้วใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวกลับไม่ตอบคำถามทันที เฉียวเวยอาศัยแสงเลือนรางหันไปมองใบหน้าของเขา นางรู้สึกว่าเขากำลังครุ่นคิดบางสิ่งมาตลอดทาง ตอนที่เฉียวเวยคิดจะถามให้กระจ่างนั่นเอง เขาก็เอ่ยปากบอกเบาๆ ว่า “ไปกันเถิด”

พวกเขาห้าคนก้าวเท้าเดินลงไปตามบันไดหิน

บันไดหินวนโค้ง เมื่อเดินไปถึงจุดที่เลี้ยวโค้ง เดินต่อไปอีกช่วงหนึ่งก็จะถึงชั้นสอง เพียงแต่ว่าเรื่องประหลาดก็คือทุกคนเลี้ยวโค้งไปสองหนแล้วก็ยังเดินไม่ถึงสุดทางเสียที

จีหมิงซิวจำผิดหรือ

หอศิลาหลังนี้มีเพียงสองชั้นไม่ใช่หรือ

ทุกคนเดินต่อลงไปด้านล่าง

หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ…

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลืนน้ำลาย “พวกเราเลี้ยวมาสิบกว่ารอบแล้วนะ…เหตุใดยังเดินไม่พ้นเสียทีเล่า”

เฉียวเวยไม่ตอบอะไร ใช่แล้ว หอบนพื้นดินยังสร้างถึงสิบกว่าชั้นไม่ได้ หอใต้ดินจะสร้างได้อย่างไร

จีหมิงซิวหยิบมีดบินเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วปักลงบนกำแพง

ทุกคนเดินลงไปต่ออีกหนึ่งชั้น แล้วเงยหน้าขึ้นดู มารดามันสิ! นี่มีดบินของจีหมิงซิวไม่ใช่หรือไร พวกเขาเดินวนกลับมาที่เดิมเช่นนั้นหรือ!

เจาอ๋องรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว “พวกเรา เมื่อครู่พวกเราคงไม่ได้ถูกผีหลอกใช่หรือไม่”

เฉียวเวยหันกลับไปมองเขา “ผีหลอกอะไร อย่ามางมงายนักเลย! หากเจ้ากลัวนักก็เดินกลับออกไปทางเดิม!”

เจาอ๋องอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา “ข้าออกไปไม่ได้นี่…”

เฉียวเวยส่ายหัวแล้วเลิกสนใจเขา นางหันกลับไปมองเส้นทางด้านหน้า แต่กลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว!

เวลาเพียงชั่วพริบตาหมิงซิวกับเจ้าซื่อบื้อไปที่ใดแล้ว

เมื่อหันกลับไปมองยิ่นอ๋อง เจาอ๋อง แม้แต่ทั้งสองคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย!

นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!

นางเดินออกไปสองสามก้าว ทันใดนั้นแสงเรืองๆ บนกำแพงก็ดับลง!

รอบด้านมืดสนิทและเงียบกริบ

“หมิงซิว!”

“หมิงเยี่ย!”

“พวกเจ้าอยู่ที่ไหน!”

มือเย็นเฉียบข้างหนึ่งตะปบลงบนข้อมือของนาง นางเงื้อมืออีกข้างหนึ่งฟาดใส่อีกฝ่ายอย่างแรง

“ข้าเอง!”

แต่อีกฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

เฉียวเวยยั้งมือไว้ทันเวลา รัตติกาลมืดสนิทเหลือเกิน นางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่อาศัยฟังจากเสียงกับลมหายใจก็พอจะแน่ใจว่าใบหน้าของเขาอยู่ตรงไหน “ยิ่นอ๋องหรือ”

ยิ่นอ๋องพยักหน้า “เจ้าอย่าขยับส่งเดช ที่นี่ประหลาดยิ่งนัก รอบด้านล้วนมีแต่กำแพง”

เฉียวเวยถามอย่างแปลกใจ “สี่ด้านจะมีแต่กำแพงได้อย่างไร พวกเราเพิ่งลงบันไดมาไม่ใช่หรือ”

ยิ่นอ๋องตอบสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากแสงดับมืดเมื่อครู่ เจ้าเดินออกมาอีกสองสามก้าวใช่หรือไม่”

เฉียวเวยพยักหน้า

“ตอบสิ” ยิ่นอ๋องมองไม่เห็นเสียหน่อยว่านางพยักหน้า

เฉียวเวยตอบว่า “ใช่ เดินออกมาสองสามก้าว”

ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วถอนหายใจ “เจ้าเดินพ้นจากบันไดเข้ามาในสถานที่บัดซบนี่แล้ว”

“คนอื่นเล่า” เฉียวเวยถาม

ยิ่นอ๋องเดาว่า “น่าจะเหมือนกับพวกเรา ถูกขังไว้ในห้องลับบางแห่ง เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเจ้าส่งเสียง ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่ด้วย”

เฉียวเวยอยากดึงมือกลับ แต่ยิ่นอ๋องจับไว้แน่น เฉียวเวยจึงออกแรงมากขึ้นดึงมือออกมาจากมือของเขา

ท่ามกลางความมืด นางได้ยินเสียงถอนหายใจที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินของยิ่นอ๋อง

เฉียวเวยคลำท่ามกลางความมืดอย่างเชื่องช้า จนเดินมาถึงหน้ากำแพงผืนหนึ่ง “ต้องมีกลไกอยู่แน่ ข้าคลำเจอแล้ว! เหมือนจะเป็นกล่องใบหนึ่ง บนตัวท่านมีเหล็กเส้นบางๆ หรือไม่”

มือข้างหนึ่งยื่นมาหา

เฉียวเวยยื่นมือคลำ แต่นางคลำไม่เจอลวดเหล็ก กลับคลำพบมือข้างหนึ่งแทน ทว่านั่นไม่ใช่มือของมนุษย์ที่มีชีวิต แต่เป็น…

ภายในห้องค่อยๆ มีแสงส่องสว่าง แม้จะยังสลัวอย่างยิ่ง ทว่านั่นเพียงพอให้เฉียวเวยมองเห็นมือข้างนั้นชัดแล้ว

“เวรเอ๊ย!”

เฉียวเวยสะบัดมือโครงกระดูกข้างนั้นทิ้งทันควัน

เจ้าของมือโครงกระดูกก็คือโครงกระดูกที่มีชิ้นส่วนครบร่างโครงหนึ่ง มันลอยไปกระแทกกำแพงหินดังโครม

ด้านในเบ้าตาของมันเปล่งแสงสีเขียว แสงสีเขียวนี่เองที่ทำให้ภายในห้องศิลาสว่างขึ้นมา ทว่าเมื่อตกอยู่ใต้แสงสีเขียวสลัวนี้ ทุกสิ่งกลับแลดูเย็นยะเยือกและน่าขนลุก ปัญหาหนักกว่าก็คือยิ่นอ๋องที่เมื่อครู่ยังพูดกับนางอยู่ไม่อยู่ในห้องศิลาแล้ว!

มารดามันสิ นี่มันจะลี้ลับเกินไปแล้ว! นางคงไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่

เฉียวเวยหยิกตนเองหนึ่งหน เจ็บจนหัวใจดวงน้อยของนางกระตุกเบาๆ

ไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วย!

โครงกระดูกตาเขียวร่างนั้นเงื้อดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาหมายจะฟันเฉียวเวย เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบ ดาบเล่มใหญ่ฟันลงบนกำแพงหิน

โครงกระดูกเหมือนจะไม่ยอมเลิกรา มันเข้ามาฟันเฉียวเวยอีกหน เฉียวเวยถีบมันจนตีลังกาลงไปกองบนพื้น ทว่ามันเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ส่งเสียงกึกๆ ลุกขึ้นมาอีกหน

เฉียวเวยขนลุกซู่ ถีบมันจนลอยกระเด็นไปอีกครั้ง

แต่มันก็ลุกขึ้นมาอีกหน

โครงกระดูกทนทายาดเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ตนเองเหนื่อยจนขาดใจตาย มันก็คงยังอยู่ดีอยู่

ชั่วสะเก็ดไฟแลบ เฉียวเวยพลันสะบัดแขนข้างหนึ่ง กริชเฟิ่นเทียนไหลลงมาอยู่ในมือ

“เจ้าไม่กลัวถูกทุ่ม ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับถูกผ่าหรือไม่หืม”

นายหญิงคนนี้เป็นถึงศัลยแพทย์ เดี๋ยวนายหญิงจะจับแกผ่าออกมาเป็นกระดูกหนึ่งพันหนึ่งชิ้นให้เอง!

เฉียวเวยบุกเข้าไปฟันโครงกระดูกจนแหลกกระจุย นางฟันแล้วฟันอีก แต่ทันใดนั้นเองพื้นใต้เท้าก็แยกออก เฉียวเวยร้องเสียงดังก่อนจะร่วงลงไปเบื้องล่าง!

เฉียวเวยร่วงลงมากระแทกจนมึนงง นางนวดศีรษะที่กำลังมึนของตัวเอง ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าแสบตาสายหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า

“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

เสียงของบุรุษดังขึ้นเบื้องหน้า

เฉียวเวยยกมือขึ้นมาบังแสงแล้วหลับตา นางรอให้ดวงตาปรับเข้ากับแสงสว่างจ้าก่อนจะยกมือลงแล้วหันไปมองตามเสียง สิ่งที่นางเห็นคือโลงศพศิลาอันประณีตใบหนึ่ง เหนือโลงศพศิลามีไอเย็นลอยเงียบเชียบ ส่วนอีกด้านหนึ่งของโลงศพศิลามีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่

นางเห็นรูปลักษณ์ของเขาไม่ชัด ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์หรือหน้าตา

แสงส่องมาจากด้านหลังของบุรุษผู้นั้น เฉียวเวยเหมือนจะยังปรับดวงตาเข้ากับแสงสว่างไม่ได้อยู่เล็กน้อย นางจึงหรี่ตาลงนิดๆ ถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ใด”

บุรุษผู้นั้นตอบว่า “ข้าน่าจะเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าเจ้าเป็นผู้ใด”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่ทันคิด “เฉียวซื่อ”

บุรุษผู้นั้นแย้ง “ไม่ เจ้าไม่ใช่ เฉียวซื่อตายแล้ว”

หัวใจของเฉียวเวยสะท้านเฮือก

บุรุษผู้นั้นยกคันธนูสีดำวาววับขึ้นมาเล็งที่หัวใจของเฉียวเวย

ในมือเขาไม่มีลูกธนู แต่เมื่อเขาง้างสายธนู ก็ดูเหมือนกับว่า…ตรงนั้นมีลูกธนูล่องหนดอกหนึ่ง

เฉียวเวยมองเขาอย่างสับสนมึนงง

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในหัวใจนางจึงเกิดความไม่สบายใจผุดพรายขึ้นมา

“มาจากที่ใด จงกลับไปที่นั่นเสีย”

บุรุษผู้นั้นกล่าวจบก็ปล่อยสายธนู ราวกับกำลังยิงลูกธนูล่องหนดอกนั้นออกมา

เฉียวเวยรู้สึกเหมือนถูกยิงเข้าจริงๆ หัวใจเจ็บแปลบในทันใด!

“นางยักษ์! นางยักษ์! นางยักษ์!”

เฉียวเวยตัวสั่นเทาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ปฏิกิริยาแรกของนางคือลูบหน้าอกของตนเอง ไม่เป็นไร ยังอยู่ดี แต่ฝันเมื่อครู่เหมือนจริงเกินไปแล้ว นางเหมือนจะยังสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่หลงเหลือได้อยู่เลย

“เจ้าเป็นอะไร”

เฉียวเวยได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว นางอาศัยแสงสีเขียวเรืองๆ รอบด้านมองใบหน้าของใต้เท้าเจ้าสำนักชัด “ข้าไม่เป็นอะไร เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”

ใต้เท้าเจ้าสำนักชี้เพดานดำมืดที่อยู่เหนือศีรษะ “ก็เหมือนเจ้านั่นแหละ ร่วงลงมาจากด้านบน”

เฉียวเวยเพิ่งจะนึกได้ว่าเดิมทีตัวเองสู้อยู่กับโครงกระดูกร่างหนึ่ง แต่ทันใดนั้นพื้นก็แยกออกเป็นช่องว่างจนร่างของนางร่วงลงมา ดูท่าเมื่อครู่คงพลัดร่วงลงมาจนสลบไป ถึงได้ฝันประหลาดแบบนั้น

เฉียวเวยมองไปรอบด้าน โครงกระดูกที่ถูกนางฟันก็ร่วงลงมาด้วย หินแสงจันทร์สีเขียวที่อยู่ในดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองพื้นที่เต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายอย่างรังเกียจ “เจ้าพวกนี้เป็นกลไกชั้นต่ำ ปิดกลไกเสร็จก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าจะไปฟันมันอีกทำไม”

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ใช่สิ เจ้ารู้เรื่องกลไก เจ้ามันเก่ง!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างหยิ่งยโส “ข้าเก่งแน่นอนอยู่แล้ว!”

เฉียวเวยมองโครงกระดูกครบสมบูรณ์ร่างหนึ่งที่นอนอยู่ไม่ไกล มันคงร่วงลงมาพร้อมกันกับใต้เท้าเจ้าสำนัก ก็ได้ นางยอมรับว่าเจ้าหมอนี่มีฝีมือยอดเยี่ยมในการจัดการของพรรค์นี้จริงๆ

เฉียวเวยถามต่อว่า “ข้าเพิ่งพลัดเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่งกับยิ่นอ๋อง แต่เดี๋ยวเดียวยิ่นอ๋องก็หายไป จากนั้นโครงกระดูกกลไกตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ฝั่งเจ้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดจึงมีเจ้าอยู่คนเดียว พี่ใหญ่ของเจ้าเล่า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักผายมือ “พลัดหลงกันแล้ว จริงสิ เมื่อครู่เจ้าฝันเห็นอะไร ดูเหมือนตื่นตระหนกมาก”

เฉียวเวยตอบปัด “จำไม่ได้แล้ว”

ใต้เท้าเจ้าสำนักจิ๊ปาก “ไม่อยากบอกก็ช่าง! ข้าก็คร้านจะถามเหมือนกัน!”

เฉียวเวยมองสำรวจรอบด้าน “สุสานแห่งนี้ประหลาดนัก ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนออกแบบ”

คิ้วเรียวของใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกขึ้นนิดๆ ตอบว่า “องค์หญิง”

สีหน้านั่นคือความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด!

เฉียวเวยไม่สนใจท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเขา แต่ถามขึ้นมาว่า “มารดาของเจ้าหรือ เจ้าได้ยินใครบอกมา”

“ก็จีหมิงซิวเจ้าหมอนั่นไง” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ

เฉียวเวยเงียบ นางคิดมาตลอดว่าการที่องค์หญิงไม่ได้ถูกฝังในสุสานของตระกูลจีหลังสิ้นพระชนม์เป็นความต้องการของฮ่องเต้ แต่หากทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวองค์หญิงออกแบบเอง ถ้าเช่นนั้นก็บ่งบอกได้ว่าการนำร่างมาฝังไว้ที่นี่เป็นความต้องการของตัวนางเอง

เหตุใดนางจึงทำเช่นนี้

เหตุใดจึงไม่เข้าสุสานตระกูลจี

เหตุใดจึงฝังร่างไว้ที่นี่

เหตุใดออกแบบสุสานให้มีกลไกมากมายเช่นนี้

“พอแล้ว เจ้าอย่าเค้นสมองคิดมากมายนักเลย” ใต้เท้าเจ้าสำนักขัดความคิดของเฉียวเวยแล้วยกมือชี้ตัวเอง “อัจฉริยะแห่งกลไก จะพาเจ้าเดินออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยเอง!”

ทว่าเพิ่งเอ่ยจบ ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ปัดไปแตะถูกอะไรบางอย่างเข้า ทันใดนั้นแผ่นหินที่พื้นก็แยกออกอีกหน ทั้งสองคนกรีดร้องร่วงลงไปเบื้องล่าง!

ไม่รู้ว่าร่วงลงไปนานเท่าใด แต่รู้สึกราวกับว่าร่วงหล่นลงไปในหุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง จนสุดท้ายได้ยินเสียงตู้มใสกังวานสองที ทั้งสองคนก็ร่วงลงมาในบึงน้ำเย็นเฉียบ

ใต้เท้าเจ้าสำนักว่ายน้ำไม่เป็น เขาจมลงไปในพริบตา ศีรษะของเฉียวเวยกระแทกผิวน้ำจนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่นางอาศัยสัญชาตญาณคว้ามือของเขาไว้ แล้วพาเขาว่ายขึ้นมายังผิวน้ำได้สำเร็จ

ที่แห่งนี้เป็นถ้ำศิลามืดทึม รอบด้านติดหินแสงจันทร์เอาไว้เต็มไปหมด พวกมันส่องให้ถ้ำศิลาสว่างไสว

เฉียวเวยรั้งสายตาที่มองสำรวจกลับมา แล้วยกมือขึ้นตบหน้าของเขาเบาๆ “หมิงเยี่ย หมิงเยี่ย หมิงเยี่ยเจ้าตื่นสิ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสำลักน้ำในบึงดังอ๊อก เขาไออยู่สองสามหน แล้วพูดออกมาอย่างทรมาน “เหตุใดมีน้ำได้เล่า นี่มันสถานที่บัดซบอะไรกันแน่”

เฉียวเวยชะเง้อมองรอบด้าน แม้ที่แห่งนี้จะเป็นถ้ำศิลาแห่งหนึ่ง แต่ทุกหนทุกแห่งกลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาด แต่จะบอกให้ชัดว่าแปลกประหลาดที่ใด นางเองก็ตอบไม่ถูก

นางชะเง้อมองเสร็จก็เห็นบันไดอยู่ไม่ไกล เหนือบันไดมีโลงศพศิลาอันประณีตใบหนึ่งวางอยู่ บนโลงศพศิลาสลักภาพสัญลักษณ์ประหลาดเอาไว้

โลงศพศิลาใบนี้แลดูคุ้นตายิ่งนัก

“โลงศพหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักก็สังเกตเห็นมันแล้วเช่นกัน ดวงตาแวววาวเบิกโต “ขององค์หญิงหรือ”

เฉียวเวยพยักหน้า “น่าจะใช่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักปัดก้นแล้วลุกขึ้นยืน เขาไม่สนใจความรู้สึกทรมานจากความเปียกชื้นบนตัว แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ถ้าเช่นนั้นยังจะรออะไรอีกเล่า! ไปเถิด!”

ทั้งสองคนเดินเข้าไปหาโลงศพศิลา จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนต่างคิดว่าระยะทางสั้นๆ นี่อาจจะไม่ราบรื่นนัก คิดไม่ถึงว่าเดินไปจนสุดทางแล้วก็ยังไม่พบเรื่องประหลาดอันใดทั้งสิ้น

บนโลงศพศิลาเย็นเฉียบ มีไอเย็นลอยขึ้นมาเลือนราง

ใต้เท้าเจ้าสำนักยื่นมือออกมาลูบหนึ่งหน “โอ๊ะ! เย็นมาก!”

เฉียวเวยตอบว่า “นี่คือหยกเหมันต์ หน้ากากของเจ้ากับพี่ชายของเจ้าก็ทำมาจากหยกชนิดนี้เช่นเดียวกัน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วเอ่ยว่า “มิน่าข้าจับแล้วถึงรู้สึกสบายเช่นนี้!”

“เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่ ข้าจะเปิดโลงศพแล้ว”

ดวงตาของใต้เท้าเจ้าสำนักฉายอารมณ์อันซับซ้อนออกมา “อืม”

เฉียวเวยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “หากเจ้าไม่อยาก…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบขึ้นมาว่า “เปิดเถิด”

เฉียวเวยคำนับโลงศพหินหนึ่งหน จากนั้นกล่าวด้วยความเคารพ “ขออภัยองค์หญิง ข้าจะเปิดโลงศพแล้ว หากดวงวิญญาณของท่านอยู่บนสวรรค์ได้โปรดอย่าได้ถือโทษโกรธข้า หมิงเยี่ยเป็นคนใช้ให้ข้าเปิด…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน “เฮ้ย! เจ้าเหตุใดจึงเป็นคนเช่นนี้!”

หยกเหมันต์ช่างสมชื่อจริงๆ เฉียวเวยเพียงสัมผัสเบาๆ นิดเดียวก็รู้สึกว่าทั้งร่างเย็นยะเยือก แม้แต่เลือดก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง

เฉียวเวยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเปิดฝาโลงศพอย่างเชื่องช้า เสียงครูดจากของน้ำหนักอันหนักอึ้งดังก้องท่ามกลางถ้ำศิลาอันเงียบสงัด คล้ายกับสุ้มเสียงที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน

สีหน้าของทั้งสองคนเคร่งขรึมอย่างช่วยไม่ได้

แม้ก่อนเดินทางมายังที่แห่งนี้ ทั้งสองคนจะเตรียมใจกันมาดีแล้ว แต่เมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ด้านในเข้าจริงๆ พวกเขาก็ยังตะลึงตาค้างอย่างพร้อมเพรียง

“ว่างเปล่า…” ใต้เท้าเจ้าสำนักพึมพำ