เล่ม 1 ตอนที่ 375-2 ค้นหาความจริง (3)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 375-2 ค้นหาความจริง (3)

ข่าวการมาเยือนของคนเผ่าเยี่ยหลัวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว บางทีฮ่องเต้อาจไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไปแล้ว เมื่อองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ทราบว่า ‘คนจากชนเผ่าเล็กๆ’ ที่ตนเองพามาด้วยกลับเป็นเผ่าเยี่ยหลัวในตำนาน เขาก็ตกใจจนเกือบจะมาคุกเข่าที่ตำหนักจินหลวน ต่อมาพอได้ยินว่าฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัวอาจจะเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้แห่งต้าเหลียงโปรดปรานที่สุด เขาก็ตกใจจนพูดไม่ออกอีกหน

คนที่ตกตะลึงยิ่งกว่าเขาน่าจะเป็นขุนนางเหล่านั้นในท้องพระโรง นับตั้งแต่ชั่วขณะที่ฮ่องเต้ออกพระราชโองการให้ต้อนรับคนของเผ่าเยี่ยหลับเข้ามาพำนักในพระราชวัง ทุกคนก็เหมือนจะแน่ใจแล้วว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวคือองค์หญิงเจาหมิงที่สวรรคตในอดีต ส่วนเรื่องที่ว่างนางกลายเป็นฮองเฮาเยี่ยหลัวได้เช่นไร ทุกคนต่างพูดกันไปต่างๆ นานา

บางคนบอกว่านางเป็นเด็กที่ถือกำเนิดจากฮ่องเต้สองรุ่นก่อนกับคนเผ่าเยี่ยหลัว บางคนบอกว่านางไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลหลี่ แต่ฮ่องเต้ไม่สืบสาวหาชาติกำเนิดขององค์หญิงเจาหมิง ทั้งยังสั่งห้ามขุนนางในท้องพระโรงพูดถึง

มีบางคนรอคอยหัวเราะเยาะตระกูลจี เพราะจู่ๆ นายหญิงแห่งตระกูลจีก็สะบัดตัวแปลงกายเป็นฮองเฮาแห่งเผ่าเยี่ยหลัว หมวกเขียว[1]บนศีรษะของจีซั่งชิงใบใหญ่เท่าก้อนเมฆเห็นจะได้ เพียงพอส่องทั่วทั้งเมืองหลวงให้เป็นสีเขียวหยกได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว

แต่จีซั่งชิงผู้เป็นคนสำคัญในเรื่องกลับสงบใจ ‘รักษาตัว’ อยู่ เขาจึงยังไม่รู้ข่าวเรื่องนี้

เฉียวเวยไม่กล้าบอกเขา กลัวว่าบอกไปแล้ว เขาจะวู่วามวิ่งไปขอคนจากวังหลวง นั่นคงได้วุ่นวายกันไปใหญ่

แม้ว่าในหัวใจของเฉียวเวยจะยังไม่อยากเชื่อว่าสตรีนางนั้นคือองค์หญิงเจาหมิงก็ตาม

เป้าหมายในการเดินทางมาหนนี้ของคนเผ่าเยี่ยหลัวเหมือนจะกระจ่างชัดแจ้งแล้ว พวกเขาต้องการให้ต้าเหลียงปล่อยตัวฟู่เสวี่ยเยียนกับมู่ชิวหยาง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน พวกเขายินดีจะช่วยจีหมิงซิวกับน้องชายแก้พิษ แต่ท่าทีของจีหมิงซิวแน่วแน่อย่างน่าประหลาด มู่ชิวหยางปล่อยได้ แต่ฟู่เสวี่ยเยียนต้องอยู่

คนเยี่ยหลัวไม่ยอมลดละ กล่าวว่าชีวิตของจีหมิงซิวกับจีหมิงเยี่ยสองชีวิต จะอย่างไรก็สมควรแลกกับตัวประกันสองคนถึงจะถูก

จีหมิงซิวกลับบอกว่า มอบตัวฟู่เสวี่ยเยียนให้ได้ แต่ต้องส่งหัวของผู้ร้ายที่ทำร้ายมารดาของเขาเมื่อตอนนั้นกับคนที่บงการเบื้องหลังมา

เรื่องนี้ทำให้คนเยี่ยหลัวลำบากใจแล้ว ผู้ร้ายที่ลงมือย่อมส่งตัวให้ได้ แต่ผู้ที่บงการเบื้องหลังไม่ใช่มู่อ๋องก็คือราชาเยี่ยหลัว หัวของพวกเขาจะไปแตะต้องง่ายๆ ได้อย่างไรเล่า

การเจรจาจึงหยุดชะงัก

ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ขับเคี่ยวกันนี่เอง ภายในวังก็มีข่าวอกมาว่าฮองเฮาแห่งเผ่าเยี่ยหลัวล้มป่วย

ความจริงเป็นเพียงอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้น แต่ช่วยไม่ได้ที่ฮ่องเต้รักนางมาก พระองค์ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา เรียกตัวเฉียวเวยเข้าวังทันที

เฉียวเวยกลัวว่าฮองเฮาจะหายดีก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปถึง นางจึงรีบคว้าล่วมยาแล้วขึ้นรถม้าเข้าวังไปกับฝูกงกงทันที

ระหว่างทางเฉียวเวยก็สอบถามเรื่องของฮองเฮาเยี่ยหลัวจากฝูงกงกงอย่างคร่าวๆ

ฝูกงกงรู้มาไม่มากนัก แต่เขาบอกอย่างไม่หมกเม็ดแม้แต่น้อย “…รายละเอียด บ่าวเองก็ไม่รู้ชัดเจนนัก แต่รู้สึกว่า…นางมีนิสัยขี้กลัวมากขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางใจกล้ามากอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้…กลับเหมือนกระต่ายขี้ตกใจตัวหนึ่ง”

กระต่ายขี้ตกใจ….เฉียวเวยพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วถามอีกว่า “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่”

ฝูกงกงนึกๆ แล้วก็ตอบว่า “ยังมีอีกอย่างหนึ่ง….องค์หญิงหมือนจะจดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แล้ว ฮ่องเต้กลัวว่าจะทำให้นางหวาดกลัวจึงไม่กล้าถามมาก ประเดี๋ยวฮูหยินพยายามเลี่ยงอย่าเอ่ยถึงเรื่องในอดีต องค์หญิงเหมือนจะไม่ชอบให้ผู้อื่นถามเรื่องเหล่านี้กับนาง”

เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณกงกงที่เตือน”

ฝูกงกงหยุดรออยู่นอกห้องบรรทม แล้วค้อมกายเอ่ยว่า “บ่าวจะรออยู่ที่นี่ ฮูหยินมีสิ่งใดต้องการ เรียกใช้บ่าวได้ตลอดเวลา”

“อืม”

เฉียวเวยขานตอบคำหนึ่งก็ก้าวเข้าไปในห้องบรรทม

ห้องบรรทมห้องนี้เป็นห้องที่ดีที่สุดในตำหนักฉางฮวน แต่เดิมมันถูกจัดสรรให้องค์ชายแห่งเผ่าซยงหนีว์ แต่หลังจากองค์ชายแห่งเผ่าซยงหนีว์ทราบความเป็นมาของเรื่องแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าวางท่าอยู่ที่นี่ต่อ เขาย้ายไปตำหนักข้างอย่างว่าง่ายแล้ว

เฉียวเวยเดินผ่านสวนน้อยแห่งหนึ่ง ภายในสวนมีแต่บ่าวรับใช้ชาวเยี่ยหลัว พวกเขาเหมือนจะเดาได้ว่ามีหมอหญิงมาเยือน พอเห็นเฉียวเวยหิ้วล่วมยาเข้ามาจึงไม่พูดอะไร นำทางนางเข้าไปในห้องของฮองเฮาเยี่ยหลัว

ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่เหมือนคนป่วยสักนิด นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองด้านนอกอย่างเหม่อลอย

เฉียวเวยเหลือบมองดวงหน้าของนาง เหมือนคนในภาพวาดราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เพียงแต่นางงดงามชวนให้หวั่นไหวยิ่งกว่าในภาพวาดอยู่สามส่วน วันเวลาดูเหมือนจะเอ็นดูนางเป็นพิเศษ แม้จะอายุเท่านี้แล้วแต่ก็ยังคงงดงามจนน่าเหลือเชื่อ

อาจเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของเฉียวเวย ฮองเฮาเยี่ยหลัวจึงหันกลับมา นางมองเฉียวเวยผ่านๆ หนหนึ่ง จากนั้นจึงใช้ภาษาจงหยวนที่พูดได้คล่องแคล่วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ป่วย”

หญิงรับใช้ใบหน้ากลมคนหนึ่งเดินถือเสื้อคลุมกันลมเข้ามา “เมื่อคืนท่านไออยู่หลายหน ให้ท่านหมอตรวจดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

นางเองก็พูดภาษาจงหยวนเช่นเดียวกัน แต่ว่าพูดติดขัดกว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวมาก

ฮองเฮาเยี่ยหลัววางมือลงบนโต๊ะอย่างไม่ใคร่จะยินยอม

เฉียวเวยหิ้วล่วมยาเดินเข้าไปหา

หญิงรับใช้หน้ากลมขนม้านั่งมาให้

เฉียวเวยทราบว่านางรู้ภาษาจงหยวนจึงบอกนางว่า “ระหว่างข้ารักษาไม่ชินกับการมีคนคอยเฝ้ามอง รบกวนแม่นางคนนี้ออกไปก่อนเถิด”

หญิงรับใช้ใบหน้ากลมหันไปมองฮองเฮาเยี่ยหลัว ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า นางจึงตอบว่า “เฉี่ยวหลิงขอตัวเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง

“เจ้ารีบจับชีพจรแล้วก็ออกไปเสียเถิด ข้าไม่ชอบหมอ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวพูด

เฉียวเวยถูกรังเกียจกลับไม่โมโห นางยิ้มน้อยๆ ยกสามนิ้วแตะบนข้อมือขาวผ่อง “ฮองเฮาทรงตรัสภาษาจงหยวนได้ดียิ่งนัก ฟังแล้วเหมือนกับคนที่เติบใหญ่มาในจงหยวน”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “ข้าไม่ใช่คนจงหยวน แล้วข้าก็ไม่ได้เติบใหญ่มาในจงหยวนด้วย”

เฉียวเวยถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดภาษาจงหยวนของฮองเฮาจึงดีถึงเพียงนี้เล่า”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิด “ข้ามีอาจารย์จากจงหยวน”

เฉียวเวยทำหน้าไม่เข้าใจ “เหตุไฉนฮองเฉาจึงต้องเชิญอาจารย์จากจงหยวนด้วยเล่า”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวเหมือนจะตระหนักได้แล้วว่าตนเองกำลังถูกหลอกถาม ดวงหน้างามเคร่งขรึมขึ้นมาทันควัน “เรื่องอะไรข้าต้องบอกเจ้า”

เฉียวเวยชักมือกลับ นางเปิดล่วมยาแล้วหยิบม้วนภาพวาดสองม้วนออกมาจากด้านใน นางวางม้วนภาพบนโต๊ะแล้วคลี่ออกทีละม้วน “ฮองเฮารู้จักเขาได้หรือไม่”

สายตาของฮองเฮาเยี่ยหลัวหยุดชะงักบนภาพเหมือน “ไม่รู้จัก”

สายตาของเฉียวเวยทอดมองภาพเหมือนด้วยแววตาอ่อนโยน “นี่คือหมิงซิวตอนยังเล็ก องค์หญิงวาดภาพนี้ให้เขาด้วยพระองค์เอง”

น้ำเสียงของฮองเฮาเยี่ยหลัวเริ่มร้อนรน “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่องค์หญิงต้าเหลียงของพวกเจ้า!”

เฉียวเวยกลอกตา จากนั้นมองเข้าไปในดวงตาของนางตรงๆ “ท่านไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นข้าถามท่าน เมื่อสิบเก้าปีก่อนท่านอยู่ที่ใด”

“ข้าอยู่ที่เยี่ยหลัว” นางตอบ

“ทำสิ่งใดอยู่” เฉียวเวยถาม

“ข้า…” แพขนตาของฮองเฮาเยี่ยหลัวกระพือไหว ออกอาการเสียท่าไม่เป็นกระบวน นางหลุบตาลง มือขยำผ้าเช็ดหน้าทีละนิดๆ

เฉียวเวยเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ฮองเฮาจำไม่ได้ใช่หรือไม่เพคะ เรื่องในอดีตล้วนเป็นผู้อื่นที่บอกเล่าให้ท่านฟังใช่หรือไม่ ท่านกล้าเขียนตัวอักษรออกมาสักสองสามตัว แล้วพวกเรามาเปรียบเทียบกันดูหรือไม่”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกัดริมฝีปาก

เฉียวเวยกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ท่านไม่กล้าเขียน ท่านรู้ว่าลายมือจะเปิดเผยความลับของท่าน”

หน้าอกของฮองเฮาเยี่ยหลัวพองยุบขึ้นลงอย่างแรง “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้า…”

เฉียวเวยมองนางตาไม่กระพริบ บ่งบอกเป็นนัยว่าให้นางพูดต่อ

ร่างกายของนางสั่นเทาเบาๆ มือกำผ้าเช็ดหน้า ออกแรงขยำมากขึ้น

เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงความสับสนในหัวใจของนาง จึงเอื้อมมือออกไปช้าๆ จับแขนของนางไว้ ร่างกายของนางสั่นเทา เฉียวเวยมองนางอย่างให้กำลังใจ “ท่านไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีวันทำร้ายท่าน เมื่อครู่ท่านอยากจะพูดอะไร”

“ข้า…”

“ท่านคือเจาหมิงใช่หรือไม่”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวเหลือบมองประตู น้ำลายอึกหนึ่งถูกกลืนลงคอ “ข้า…”

“ราชครูมาถึงแล้ววว”

[1]สวมหมวกเขียว สำนวนแปลว่าภรรยานอกใจ