เล่ม 1 ตอนที่ 376-1 วั่งซูจัดการราชครู (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 376-1 วั่งซูจัดการราชครู (1)

ฮองเฮาเยี่ยหลัวลุกพรวด “เจ้ารีบไปเร็วเข้า!”

เฉียวเวยงุนงง “เหตุใดข้าต้องไปด้วย”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระซิบ “ราชครูไม่ชอบคนตระกูลจี”

“เพราะเหตุใดเล่า” เฉียวเวยถามนางอย่างประหลาดใจ

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบอย่างเคร่งเครียด “ข้าก็ไม่รู้ สรุปก็คือเขาไม่ชอบ เจ้ารีบไปเร็วเข้าเถิด”

เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ที่แห่งนี้คือต้าเหลียง เขาบอกไม่ชอบแล้วต้องตามใจเขาหรือ หากผู้ใดจะต้องไปก็ต้องเป็นเขาไป นอกจากนั้นที่นี่ก็มีประตูใหญ่เพียงบานเดียว ต่อให้ข้าออกไปก็ต้องพบหน้าเขาอยู่ดี”

พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ฮองเฮายังจะพูดอะไรได้อีกเล่า

ฮองเฮาเยี่ยหลัวยื่นข้อมือออกมา บอกเป็นนัยว่าให้เฉียวเวยจับชีพจรนาง

เฉียวเวยจับชีพจรแล้วยกพู่กันจรดเขียนเทียบยาอย่างให้ความร่วมมือ ทว่าเพิ่งเขียนตัวอักษรตัวเบ้อเริ่มได้สองตัวก็เห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีเทาคนหนึ่งเดินเข้ามา

เมื่อคืนวานเฉียวเวยเพียงเหลือบมองจากไกลๆ เท่านั้นจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ตอนนี้เขาเดินเข้ามาในห้อง ในที่สุดเฉียวเวยก็เห็นหน้าตาของเขาชัดแล้ว

เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชา เส้นผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ ดูแล้วอายุใกล้ถึงเจ็ดสิบปี แต่ฝีเท้าอันแข็งแรงรวมไปถึงลมหายใจที่มีพลังนั่นล้วนทำให้คนรู้สึกว่าร่างกายของเขาเยาว์วัยอย่างน่าประหลาด

ระหว่างที่เฉียวเวยมองสำรวจเขา เขาก็หันมามองเฉียวเวยเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องบนใบหน้าของเฉียวเวย คล้ายกับว่ามองทะลุร่างของเฉียวเวยเข้าไปด้านใน

ไม่ว่าผู้ใดถูกมองสำรวจเช่นนี้ย่อมรู้สึกอึดอัด เฉียวเวยวางพู่กันแล้วถามอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน “มองพอแล้วหรือยังเล่า ท่านราชครู”

ราชครูรั้งสายตากลับไป จากนั้นก็หันไปมองฮองเฮาเยี่ยหลัวที่อยู่ด้านข้าง “ได้ยินว่าฮองเฮาทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

นี่ก็พูดภาษาจงหยวนได้คล่องและถูกต้องตามมาตรฐานเหมือนกัน

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “ไอเล็กน้อย หมอตรวจดูให้ข้าแล้ว ไม่ต้องรบกวนราชครูหรอก”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสายตาของราชครูจึงจับอยู่บนใบหน้าของเฉียวเวยอีกหน

ฮองเฮาเยี่ยหลัวลุกขึ้นมาบังสายตาของเขา แล้วบอกเฉียวเวยว่า “ลำบากท่านหมอแล้ว ข้าจะกินยาตามเวลา ลาก่อนท่านหมอจี”

เฉียวเวยเข้าใจว่าฮองเฮาไม่ต้องการให้ตนอยู่ที่นี่นาน เพื่อไม่เป็นการยั่วโมโหราชครูแห่งเผ่าเยี่ยหลัวที่ไม่ถูกกับตระกูลจีคนนี้ เฉียวเวยจึงไม่คิดจะเมินเจตนาดีของฮองเฮา นางกำชับเรื่องจำพวกเช่นให้กินอาหารรสอ่อนอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หิ้วล่วมยาเดินออกไป

ราชครูนิ่งไม่ขยับอยู่ที่ประตูตั้งแต่ต้นจนจบ

ระหว่างที่เดินเฉียดไหล่ราชครูออกไป เฉียวเวยก็เห็นคิ้วของราชครูขมวดเล็กน้อย

เจ้าขมวดคิ้วหรือ นายหญิงคนนี้ก็อยากจะขมวดคิ้วเหมือนกันนั่นแหละ!

ฮองเฮากำลังจะสารภาพแล้วแท้ๆ แต่ราชครูบัดซบคนนี้กลับยื่นเท้าเข้ามาขวางทำให้ฮองเฮาพูดไม่จบ

เฉียวเวยเหล่ตามองเขาอย่างเย็นชา ปลายหางตากวาดมองไปเห็นธนูสีดำสนิทในมือเขาอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นหัวใจก็บีบรัด ความหนาวยะเยือกแผ่ลามออกมา…

ยิ่งคิดเฉียวเวยก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ฮองเฮาเหมือนจะมีความลับที่ยากจะเอ่ยปากบางประการ แล้วก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวราชครูอยู่นิดๆ ด้วย

เฉียวเวยอยากจะบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบกับจีหมิงซิว แต่จนปัญญาที่เขาไม่อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี แล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาไปที่ใด เฉียวเวยจึงเปลี่ยนใจเดินทางไปพบฟู่เสวี่ยเยียนแทน

“เจ้าบอกว่าราชครูมาอย่างนั้นหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนถามอย่างตกตะลึง

ซิ่วฉินที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำว่าราชครูก็มือสั่นจนน้ำชากระเซ็นหก

เฉียวเวยหันไปมองซิ่วฉินแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ราชครูผู้นั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ พวกเจ้าจึงหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “เขาเป็นปรมาจารย์ไสยเวทแห่งเผ่าเยี่ยหลัว”

เฉียวเวยส่งเสียงอืมในคอคำหนึ่งแล้วว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”

“เจ้ารู้แล้วหรือ” ดวงตาของฟู่เสวี่ยเยียนฉายความฉงน

เฉียวเวยพยักหน้า “หมิงซิวบอกข้าแล้ว เมื่อคืนวานระหว่างที่พวกเราเดินทางจากพระราชวังกลับมาที่จวนก็บังเอิญพบเขา”

ฟู่เสวี่ยนเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเจ้าได้พูดจากันแล้วหรือ”

เฉียวเวยยกสองมือขึ้นมาเท้าคางแล้วตอบว่า “เมื่อคืนวานเปล่า แต่เมื่อครู่ที่ตำหนักของฮองเฮาบังเอิญพบหน้ากันจังๆ แล้ว อะไรกัน พวกเราพูดกับเขาไม่ได้หรือไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง “ก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่เขาเหมือนจะไม่ชอบคนตระกูลจีเท่าใดนัก”

พูดเหมือนฮองเฮา เฉียวเวยแววตาวูบไหว “เพราะเหตุใด”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “เรื่องนี้…ต้องเล่าย้อนไปเนิ่นนานก่อนหน้านี้ ตอนนั้น…เผ่าเยี่ยหลัวยังรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่สำเร็จ”

ไม่เพียงยังไม่ทันรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง แม้แต่เผ่าทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเผ่าก็ยังคงรบรากันเอง เผ่าเยี่ยหลัวกับเผ่าถ่าน่าเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ชนเผ่าทั้งหลาย กล่าวกันว่าเสือสองตัวอยู่บนภูเขาลูกเดียวกันไม่ได้ ระหว่างทั้งสองเผ่าจึงเกิดความขัดแย้งกันอย่างรวดเร็ว

แต่ถึงจะขัดแย้งกันก็ทำอันใดไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทัดเทียมกัน ผู้ใดก็ทำอันใดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ในเวลานี้เอง ยอดคนลึกลับจากที่ไหนไม่รู้ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่เพียงชำนาญวิชาแพทย์ แต่ยังเชี่ยวชาญวิชาอาคมไสยเวท เขาก่อตั้งสำนักขึ้นมา แม้ว่าชื่อของสำนักจะเลือนหายไปกับสายธารแห่งกาลเวลาแล้ว ทว่าในเวลานั้นมีหลายเผ่าไม่น้อยที่แห่กันเข้าไปแย่งชิงสิ่งของจากสำนักแห่งนี้

สิ่งของที่ออกมาจากสำนักแห่งนี้ หากใช้ในทางที่ดีย่อมนำพามาซึ่งโชคลาภวาสนามากล้น แต่หากใช้ในทางที่ผิดก็จะกลายเป็นหายนะแก่ใต้หล้า

ยอดคนลึกลับผู้นั้นไม่ได้มีใจทะเยอทะยานจนอยากนำพาหายนะมาสู่ใต้หล้า เขาจึงชอบปรุงยาด้วยตัวเอง สาเหตุที่เขาก่อตั้งสำนักขึ้นมาในตอนแรกก็เพียงเพื่อให้มีลูกศิษย์หลายๆ คนมาช่วยเขาปรุงยาก็เท่านั้น แต่ข้อดีข้อใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้ก็คือเขาไม่หวงวิชาความรู้ กับลูกศิษย์ในสำนัก เขายินดีถ่ายทอดวิชาให้จนหมด

ลูกศิษย์สองคนที่เก่งกาจที่สุดในสำนักคือคนของเผ่าถ่าน่ากับเผ่าเยี่ยหลัว

น่าเสียดายก็แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักมีเพียงหนึ่งเดียว เขาไม่อาจให้ทั้งสองคนผลัดกันเป็นเจ้าสำนักของสำนักแห่งนี้ได้

ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีออกมาวิธีหนึ่ง เขาให้ทั้งสองคนประชันวิชากัน ผู้ที่คว้าชัยชนะมาได้ก็เท่ากับได้ครองตำแหน่งเจ้าสำนัก

การประชันวิชาที่ว่านี้ย่อมไม่ใช่การใช้วิชาอาคมชั่วช้าอันใด แต่เป็นการแข่งขันกันด้วยพิษไสยเวท

ลูกศิษย์สองคนนี้ต่อสู้กันอุตลุด แต่สุดท้ายก็ตัดสินแพ้ชนะกันไม่ได้ สุดท้ายลูกศิษย์จากเผ่าเยี่ยหลัวจึงคิดแผนชั่ว วางยาพิษอาจารย์ ลูกศิษย์เผ่าถ่าน่าไปแก้พิษให้อาจารย์ทันที ระหว่างที่เขาจดจ่ำสมาธิแก้พิษอยู่นั่นเอง ลูกศิษย์เผ่าเยี่ยหลัวก็ฉวยโอกาสทำลายแมลงกู่ของเขา

แม้สุดท้ายจะช่วยชีวิตอาจารย์มาได้ แต่ก็พ่ายแพ้การประชันวิชาหนนี้

ความจริงแล้วลูกศิษย์เผ่าเยี่ยหลัวไม่คิดจะทำอะไรกับอาจารย์จริงๆ ต่อให้ลูกศิษย์เผ่าถ่าน่าไม่ไปช่วยอาจารย์ เขาก็จะไปช่วยอยู่ดี

นี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบายกระมัง

ไม่ว่าอย่างไร ลูกศิษย์เผ่าเยี่ยหลัวก็ชนะแล้ว