ตอนที่ 376-2 วั่งซูจัดการราชครู (1)
อาจารย์ทำตามสัญญามอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ลูกศิษย์เผ่าเยี่ยหลัว แล้วยังมอบคันธนูสีดำสนิทคันหนึ่งให้เขา
ส่วนลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่คว้าตำแหน่งเจ้าสำนักมาครองไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่ได้ทอดทิ้ง มอบกระบี่วิเศษให้เขาเล่มหนึ่ง
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยว่า “ธนูคันนั้นก็คือธนูจันทร์โลหิตของเผ่าเยี่ยหลัว ส่วนกระบี่ก็คือกระบี่โหราจารย์ของชนเผ่าลึกลับ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับราชครูเล่า” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ตระกูลจีเป็นทายาทของโหราจารย์ ส่วนราชครูก็คือทายาทของเจ้าสำนักผู้นั้น”
เฉียวเวยร้องอ้ออย่างคิดไม่ถึง “หากกล่าวเช่นนี้ ตระกูลจีกับบรรพบุรุษของราชครูก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักน่ะสิ! ในเมื่อเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ราชครูเหตุใดจึงไม่ชอบตระกูลจี บรรบุรุษตระกูลจีก็พ่ายแพ้ให้แก่บรรพบุรุษของเขาแล้วไม่ใช่หรือ พวกเขาชนะแล้วเขายังไม่พอใจอีก”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “เจ้ารู้ข้อแรกแต่ยังไม่รู้ข้อต่อมา หลังจากลูกศิษย์เผ่าเยี่ยหลัวได้เป็นเจ้าสำนักไม่นาน อาจารย์ของเขาก็สิ้นอายุขัย บรรพบุรุษของตระกูลจีนำกระบี่โหราจารย์ออกจากสำนักกลับไปยังเผ่าของตน บรรพบุรุษของราชครูผู้สืบทอดมรดกของอาจารย์คิดว่าใต้หล้าไม่มีคู่ต่อกรอีกต่อไปแล้ว เขาได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าเผ่าของเผ่าเยี่ยหลัว ช่วยเผ่าเยี่ยหลัวบุกตีเผ่าอื่น บรรพบุรุษของตระกูลจีทำนายเห็นดวงชะตาจักรพรรดิของเผ่าเยี่ยหลัว จึงเกลี้ยกล่อมหัวหน้าเผ่าของเผ่าถ่าน่าให้ยอมสวามิภักดิ์กับเยี่ยหลัว”
หลังจากนั้นบรรพบุรุษของตระกูลจีก็ใช้ศาสตร์การทำนายผ่านดวงดาวช่วยเหลือเผ่าเยี่ยหลัวในการรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งไว้ไม่น้อย
เวลานั้นเองบรรพบุรุษของราชครูจึงเพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ตนเองกับศิษย์น้องผู้นี้ร่ำเรียนมาไม่เหมือนกัน เขาริษยาอย่างยิ่ง เขาเคยคิดหาสารพัดวิธีขโมยวิชาจากบรรพบุรุษของตระกูลจี แต่จนปัญญาที่ไม่อาจสมหวัง
บรรพบุรุษของตระกูลจีกลายเป็นโหราจารย์ประจำราชวงศ์
ส่วนบรรพบุรุษของราชครูกลายเป็นเพียงอาจารย์ไสยเวทที่ไม่ได้รับความสำคัญเท่านั้น
หลายร้อยปีให้หลัง ราชวงศ์ล่มสลาย เผ่าถ่าน่านกับเผ่าเยี่ยหลัวพบหายนะครั้งใหญ่จนแทบล่มสลาย เผ่าถ่าน่าหลีกหนีไปอาศัยอยู่บนเกาะนิรนาม ส่วนเผ่าเยี่ยหลัวหนีไปยังทะเลทรายรกร้างทางเหนือของเผ่าซยงหนีว์
ในด้านการสืบทอดวิชา โหราจารย์ถูกตำหนักธิดาเทพทำร้ายจนขาดการสืบทอดไปหลายร้อยปี หากหมิงซิวไม่กลับไปยังชนเผ่าลึกลับ น่ากลัวว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีโหราจารย์อีกต่อไปแล้ว
ส่วนการสืบทอดของวิชาของอาจารย์ไสยเวทยังคงสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น นับวันยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาช่วยตระกูลมู่ฟื้นฟูเผ่าเยี่ยหลัวกลับมาอีกครั้ง จนได้ครอบครองตำแหน่งราชครูในปัจจุบัน กล่าวได้ว่าอยู่ใต้คนผู้เดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น
เพียงแต่ว่าแม้การสืบทอดวิชาจะเหนือกว่าตระกูลจีหนึ่งขั้น แต่ความแค้นที่สั่งสมมาจากสมัยบรรพบุรุษของสองตระกูลก็ฝังรากลึก ไม่ใช่เรื่องที่จะจับมือปรองดองกันได้ง่ายๆ
เฉียวเวยแค่นเสียงดังเหอะ ความแค้นฝังรากลึกอันใด นางเห็นแต่อาจารย์ไสยเวทหน้าไม่อายพวกนั้นตาวาวอยากได้ของของตระกูลจี!
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นได้จึงถามอีกว่า “แล้วธนูสีดำสนิทในมือราชครูก็คือธนูจันทร์โลหิตหรือ”
“อืม” ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ธนูจันทร์โลหิตกับกระบี่โหราจารย์ ชิ้นไหนร้ายกาจกว่ากัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนทบทวนความทรงจำแล้วบอกว่า “ข้าไม่เคยเห็นกระบี่โหราจารย์ของตระกูลจีของพวกเจ้า แต่ข้าเคยเห็นราชครูใช้ธนูจันทร์โลหิต”
“ร้ายกาจมากเลยหรือ” เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ ถาม
ใบหน้าของฟู่เสวี่ยนเยียนฉายแววหวาดกลัว “ไร้ลูกธนู แต่ยิงคนตาย”
…
ภายในกำแพงวังสูงตระหง่าน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกำลังจูงมือกันเดินอยู่บนแผ่นหินอ่อนสีขาว พื้นวาววับเป็นประกายจนสะท้อนเงาคน ทิวทัศน์รอบด้านงดงามชวนให้อภิรมย์อย่างยิ่ง
วั่งซูมองแล้วก็ร้องโอ้โหอย่างตื่นเต้น “นี่คือบ้านของท่านลุงฮ่องเต้หรือ ใหญ่มากจริงๆ! ใหญ่กว่าปราสาทเฮ่อหลันของท่านตาข้าอีกแหนะ!”
ฝูกงกงยากจะปิดบังรอยยิ้ม “หากชอบ จะมาทุกวันก็ได้นะขอรับ”
“พวกเรากำลังจะไปพบท่านย่าจริงหรือ นางยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ” จิ่งอวิ๋นตัวน้อยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
ฝูกงกงยิ้มจนตาหยีตอบว่า “แน่นอนว่ายังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
เพื่อเอาอกเอาใจองค์หญิงให้สำราญพระทัย ฝ่าบาทจึงทุ่มเต็มกำลัง ‘ลักพาตัวคน’ มาจากสำนักศึกษา
ทันใดนั้นวั่งซูก็ยกมือปิดก้นน้อยๆ ของตัวเองแล้วกระโดดโหยงเหยง “ข้าต้องปลดเบาแล้วๆ!”
ฝูกงกงรีบบอกว่า “ข้าจะพาท่านไป”
วั่งซูตอบว่า “ไม่ต้องๆ ! ข้าอาย!”
ฝูกงกงหัวเราะ แล้วชี้ไปที่ศาลาด้านข้าง “เห็นศาลาหลังนั้นหรือไม่ขอรับ ข้าจะรอท่านอยู่ในศาลา”
ห้องสุขาอยู่ด้านหลังศาลานี่เอง
วั่งซูหนีบขาน้อยๆ แล้ววิ่งเยาะๆ ไปที่ห้องสุขา วั่งซูปลดเบาออกมาจนหมดก็ใช้กระดาษชำระอ่อนนุ่มเช็ดก้นน้อยๆ ของตน นางเป็นแม่นางน้อยผู้สะอาดสอ้านนะ!
แต่แม่นางน้อยผู้สะอาดสอ้านเดินไปผิดทางแล้ว
ตอนแรกนางเข้ามาทางประตูหน้า แต่ตอนออกกลับออกไปจากประตูหลัง
ดวงตาแวววาวราวแก้วมณีของวั่งซูกะพริบตาปริบๆ ชะเง้อมองรอบด้าน แล้วนางก็เห็นศาลาหลังหนึ่ง แม้มันจะดูไม่ค่อยเหมือนศาลาเมื่อครู่นัก เพราะศาลาเมื่อครู่กระเบื้องสีแดง แต่หลังนี้กระเบื้องสีเหลือง ทว่าดูประมาณๆ แล้วก็คงหลังนั้นแหละ!
นางกระโดดโลดเต้นไปทางนั้น
ท่านราชครูผู้อยู่ในศาลากำลังฝึกใช้ธนูจันทร์โลหิตอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่ไม่จำเป็น เขาจึงจงใจหาสถานที่ที่ไม่มีคน
เขาเล็งไปที่ต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าตอนที่เขาปล่อยมือ ร่างน้อยๆ สีชมพูระเรื่อร่างหนึ่งกลับวิ่งออกมาจากด้านหลังต้นไม้
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขาอยากจะตะโกนบอกเจ้าตัวน้อยคนนั้นให้หลบแต่ไม่ทันกาลแล้ว
“อ๊า”
เจ้าตัวจ้อยส่งเสียงกรีดร้อง หลังจากนั้นล้มดังโครมฟุบลงไปบนพื้นหญ้าสีเขียวอันเย็นเฉียบ
เขาสีหน้าเคร่งขรึมลุกขึ้นยืนแล้วก้าวลงบันไดไปทันที
“ท้าดา!”
ทันใดนั้นวั่งซูตัวน้อยก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะฮิฮะมองเขา
ท่านราชครูตกใจจนเกือบจะหน้าทิ่มตกบันได!
วั่งซูตัวน้อยลุกขึ้นมาจากพื้นโดยไม่บุบสลายสักนิด
ท่านราชครูมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่งก็มองธนูจันทร์โลหิตในมือ ดวงตามีแววตาไม่อยากจะเชื่ออยู่เต็มเปี่ยม
วั่งซูตัวน้อยเบิ่งดวงตากลมโตมองเขา พอเห็นธนูจันทร์โลหิตในมือเขาก็ร้องว่า “โอ้โห! ธนูของท่านงดงามนักเชียว!”
แววตาของท่านราชครูไหววูบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกำธนูแน่น ยกขึ้นเล็งหน้าอกของเจ้าตัวน้อย แล้วง้างสายธนูอย่างเชื่องช้า
ฟึบ!
เขาปล่อยสายธนู!
ร่างเล็กจ้อยของวั่งซูสะท้านเฮือก ราวกับถูกพลังมหาศาลทะลวงผ่าน สองตาเหลือกลอย ร่างเล็กโงนเงนล้มลงบนพื้น
ท่านราชครูเยื้องย่างเดินมาถึงเบื้องหน้าเจ้าตัวจ้อยแล้วนั่งยองๆ ลงมายื่นนิ้วมือจ่อใต้จมูกของนาง
“ท้าดา!” วั่งซูยิ้มจนตาหยีเงยหน้าขึ้นมา “ข้าแสดงเหมือนมากใช่หรือไม่”
ท่านราชครูสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดอย่างตกใจ!
เขาตกใจผุดลุกขึ้นยืน!
ธนูร่วงตกลงบนพื้น!
นี่เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…
วั่งซูอุ้มคันธนูขนาดใหญ่สีดำแวววาวขึ้นมา แล้วยื่นไปที่มือของเขา “เอาอีก!”
แต่ไหนแต่ไรมีแต่คนวอนขอราชครูว่าอย่าง้างธนู เพิ่งจะเคยมีคนขอให้เขาง้างธนูเป็นครั้งแรก…
ท่านราชครูง้างสายธนูอย่างงุนงง จากนั้นก็ยิง ‘ลูกธนู’ ดัง ฟึบ!
“อ้ากกก ข้าตายแล้ว!”
วั่งซูล้มลงไปพลีชีพอย่าง ‘กล้าหาญ’
ประเดี๋ยวเดียว นางก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างมีชีวิตชีวา เพราะตื่นเต้นมากเกินไป ใบหน้าน้อยจึงแดงระเรื่อ “เอาอีกๆ”
“เอาอีก!”
“เอาอีก!”
“เอาอีก!”
ท่านราชครูยิงธนูไปไม่รู้กี่หน ยิงจนแขนปวดร้าว เจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยล้มลงแล้วก็ลุกขึ้นมา ล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมา ล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า…สนุกสนานไม่มีใครเกิน
ราชครูสงสัยอย่างยิ่งว่าตนเองเผลอหยิบคันธนูปลอมมาหรือเปล่า…
“ตอนนี้ผลัดถึงตาข้าแล้ว!” วั่งซูฉวยธนูจันทร์โลหิตมาจากมือของเขา จากนั้นง้างสายธนูช้าๆ
พลังมหาศาลดั่งมหาสมุทรเผชิญพายุ ซัดเป็นเกลียวโถมเข้ามาใส่หน้าของราชครู สีหน้าของท่านราชครูหวาดผวาในชั่วพริบตา “อย่า…”
น่าเสียดายสายเกินไป ‘ลูกธนู’ ของวั่งซู…ถูกยิงออกมาเสียแล้ว