ตอนที่ 379-2 ความจริงของเจาหมิง (2)
กู่เฉียนเฝ้าดูภรรยาผู้แท้งบุตรอย่างละอายใจและทุกข์ทรมาน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่งก็คือสุดท้ายบุตรของอวิ๋นจูก็ยังรอดอยู่ได้ นางตกเลือดจนโลหิตอาบทั่วเตียง แต่ลูกกลับยังคงอยู่ในท้องอย่างน่าอัศจรรย์
เวลานี้จะให้กู่เฉียนเอายาขับเลือดให้ภรรยากินอีกชาม เขาก็ทำไม่ลงแล้ว
เขาพาอวิ๋นจูหนีออกจากตระกูลกู่ หนีเข้าไปในทะเลทราย
อาศัยอยู่กับชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่ยากจนข้นแค้นแห่งหนึ่ง
กู่เฉียนสละทุกสิ่ง ปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตที่เหลือกับภรรยาอย่างสงบสุข จนปัญญาที่ความรับผิดชอบบางอย่างไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดจะทิ้งก็ทิ้งได้ เขาเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลกู่ใต้ หากเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลกู่ใต้จะให้ผู้ใดสืบทอดเล่า
ตระกูลกู่สืบหาข่าวของเขาไปทั่ว ราชาเองก็หวาดกลัวว่าอวิ๋นจูจะคลอดดาวหายนะของแว่นแคว้นออกมา เขาจึงเคลื่อนสรรพกำลังทั้งหมด สุดท้ายในค่ำคืนที่ดวงจันทร์มืดดับลมโหมพัดน่ากลัวคืนหนึ่งพวกเขาก็ตามหาร่องรอยของกู่เฉียนกับอวิ๋นจูพบ
บังเอิญว่าอวิ๋นจูใกล้คลอดแล้ว
กู่เฉียนชักกระบี่ต่อสู้อาบเลือดกับองครักษ์จากพระราชวัง วรยุทธ์ของเขาไม่อ่อนด้อย อีกทั้งเขายังมีความุ่งมั่นอันแรงกล้า แต่ละกระบวนท่าคร่าชีวิตคน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ขณะที่เห็นว่ากำลังจะชนะอยู่แล้วนั่นเอง คนของตำหนักราชครูก็มาถึง
อวิ๋นจูให้กำเนิดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง
อาจารย์ไสยเวทจากตำหนักราชครูบุกเข้ามาในกระโจม แล้วแทงทารกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดอย่างไร้ความเมตตาต่อหน้าต่อตาอวิ๋นจู
อวิ๋นจูคลุ้มคลั่งไม่เหลือสติ นางไม่สนใจว่าตนเองกำลังอ่อนแรงหลังจากคลอดบุตร นางเข่นฆ่าคนจากตำหนักราชครู ฮูหยินตระกูลกู่ผู้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ในสายตาคนในใต้หล้า กลับใช้พิษไสยเวทคร่าชีวิตคนจากตำหนักราชครูไปกว่าครึ่ง ประหนึ่งมารคลั่งที่เข่นฆ่ามนุษย์
ยามนั้นเด็กหนุ่มก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เขาต่อสู้โรมรันกับอวิ๋นจูอย่างดุเดือด เด็กหนุ่มค้นพบอย่างตกตะลึงว่าสตรีนางนี้รู้วิชาพิษไสยเวท อีกทั้งยังฝีมือไม่เป็นรองเขากับอาจารย์ ขนาดทั้งสองคนร่วมมือกันแล้วก็ยังไร้หนทางจะเอาชนะนาง
โลหิตอาบย้อมตัวนางจนกลายเป็นมนุษย์โลหิต หยาดโลหิตหยดใต้ร่าง ไม่ทราบว่าเป็นของตัวนางเองหรือของศัตรู
ในที่สุดนางก็ใช้พิษไสยเวททำให้เด็กหนุ่มล้มลง นางเงื้อมีดตั้งใจจะแทงลงกลางอกของเด็กหนุ่มอย่างโหดเหี้ยมเฉกเช่นเดียวกับที่คนกลุ่มนั้นเสียบมีดลงบนตัวลูกน้อยของนาง ทว่าในตอนที่มีดในมือนางกำลังจะปักทะลุหัวใจของเด็กหนุ่มนั่นเอง กู่เฉียนก็เข้ามา
กู่เฉียนคุกเข่าขอร้องนางบอกว่าเจ้าสังหารคนมามากพอแล้ว อย่าได้สร้างบาปอีกเลย…
อวิ๋นจูหัวเราะคลุ้มคลั่ง หัวเราะจนน้ำตาหลั่งรินเป็นสาย
กู่เฉียนไม่ทราบว่านางกำลังหัวเราะอะไร แต่เมื่อนางดูเหมือนจะหัวเราะจนพอแล้ว สีหน้าของนางก็เย็นยะเยือก นางยกมือขึ้นหั่นเส้นผมของตนเอง โยนทิ้งไว้บนพื้นอย่างเย็นชา
โลหิตหยดจากรองเท้าปักลายของนาง ขณะที่นางเหยียบย่ำเส้นผมของตน จากนั้นเดินจากที่แห่งนี้ไปอย่างเฉยชา
นับจากนั้น นางก็ไม่เคยกลับมาอีก
มีคนเล่ากันว่าเห็นนางเดินทางไปยังเขาไฉ่เหลียน
ไม่นานหลังจากนั้นเขาไฉ่เหลียนก็เริ่มมีภูตผีอาละวาด ขอเพียงคนตระกูลกู่หรือคนของตำหนักราชครูเหยียบเท้าลงบนเขาไฉ่เหลียนครึ่งก้าว พวกเขาล้วนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่อวิ๋นจูไม่ทราบก็คือเด็กทารกคนนั้นยังไม่ตาย
ตอนที่กู่เฉียนกำลังจะวางนางลงไปในโลงศพ จู่ๆ นางก็ร้องอุแว้ออกมา
เด็กทารกน้อยคนนั้นก็คือเจาหมิง
ส่วนสิ่งที่อวิ๋นจูกับกู่เฉียนต่างไม่รู้ก็คือ ในท้องของอวิ๋นจูความจริงแล้วยังมีเด็กอยู่อีกหนึ่งคน นางพาร่างกายอันอ่อนแรงออกจากตำหนักราชครู จากนั้นหาถ้ำอันรกร้างแห่งหนึ่งบนเขาไฉ่เหลียน คลอดลูกออกมาอย่างโดดเดี่ยว
ทารกน้อยเป็นเด็กผู้หญิงเช่นเดียวกัน นางมีรูปโฉมงามสะคราญ เฉลียวฉลาด พรสวรรค์โดดเด่นเหนือผู้ใดเฉกเช่นเดียวกับเจาหมิง
….
ณ ตำหนักฉางฮวน สายลมของสารทฤดูพัดไอเย็นเข้ามา
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเกาะขอบหน้าต่างทอดสายตามองท้องนภายามราตรีอยู่เงียบๆ
เฉี่ยวหลิงหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งเดินเข้ามา “ฮองเฮากำลังมองสิ่งใดอยู่เพคะ”
“ดวงดาว” นางยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายระยับจนคล้ายกับว่าผืนดาราลงมาสถิตอยู่ในดวงตาของนาง ภายในห้องราวกับว่าถูกดวงตาคู่นั้นของนางส่องจนสว่างไสว
เฉี่ยวหลิงถามว่า “ดวงดาวที่นี่มีอะไรน่ามองกันเพคะ ดวงดาวในทะเลทรายถึงจะงาม ทั้งดวงโต ทั้งสว่าง แล้วยังมีมากมาย!”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบเรียบๆ “ข้าไม่ชอบทะเลทราย”
“เพราะเหตุใดเพคะ” เฉี่ยวหลิงถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวหลุบตาลง ขยำผ้าเช็ดหน้าทีละนิดๆ “ไม่มีเหตุผล”
เฉี่ยวหลิงฟังความหดหู่ในน้ำเสียงของนางออก แต่นางไม่เคยเล่าอะไรให้ตนเองฟัง เฉี่ยวหลิงจึงไม่ทราบว่าสมควรจะปลอบนางอย่างไรดี นางกลัดกลุ้มอยู่พักหนึ่ง สมองก็เกิดความคิดประการหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ฮองเฮาเพคะ จงหยวนมีการลอยโคม ท่านอยากลอยบ้างหรือไม่เพคะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเบิ่งดวงตาวิบวับคู่นั้นจนกลมโต “โคมอะไร”
“โคมนั่นน่ะเพคะ!” เฉี่ยวหลิงวาดมือวาดไม้ประกอบ “ใบใหญ่เท่านี้ สูงเท่านี้ แล้วก็เขียนตัวอักษรได้ด้วย!”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองนางด้วยสีหน้ามึนงง
เฉี่ยวหลิงเกาศีรษะแกรกๆ “ท่านรอประเดี๋ยวนะเพคะ!”
พูดจบก็ถกชายกระโปรงวิ่งออกไป เวลาผ่านไปราวครึ่งเค่อ นางก็กลับมา เวลานี้ในมือนางมีโคมลอยใบหนึ่งเพิ่มมาด้วย
“โคมอธิษฐานหรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
เฉี่ยวหลิงพยักหน้าราวกับตำกระเทียม “ใช่แล้วๆ เพคะ! โคมอธิษฐาน! ฮองเฮาท่านรู้จักหรือเพคะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวบอกว่า “ข้าเคยเห็นในตำรา”
“อยากลอยหรือไม่เพคะ” เฉี่ยวหลิงแกว่งโคมในมือ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเม้มปาก “ข้า…ออกไปลอยได้หรือ”
เฉี่ยวหลิงเดินมาที่ประตูแล้วชะเง้อมองรอบๆ พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาในห้องบอกเสียงเบาว่า “ราชครูบาดเจ็บ ยังเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ฮองเฮาวางพระทัยออกไปเถิดเพคะ!”
นายบ่าวสองคนถือโคมใบโตออกไปข้างนอก
เฉี่ยวหลิงหาสวนที่งดงามแห่งหนึ่งพบก็บอกว่า “ที่นี่แล้วกันเพคะ”
พอพูดจบถึงเพิ่งเห็นว่าฮองเฮาของตนเองวิ่งหายไปแล้ว นางรีบร้อนลนลานวิ่งไล่ตาม “ฮองเฮา ท่านจะไปที่ใดเพคะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวชี้กำแพงวัง “ไม่ได้บอกว่าจะออกไปลอยหรอกหรือ”
เฉี่ยวหลิงตกใจจนเกือบจะฉี่ราดแล้ว!
หมายถึงออกมานอกตำหนักฉางฮวนไม่ใช่หรือ ฮองเฮาท่านคิดจะออกจากวังเลยหรือ!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวมัดกระโปรงไว้ที่เอว จากนั้นโอบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างทะมัดทะแมง จากนั้นปีนกระดึ๊บๆ ขึ้นไปข้างบน
เฉี่ยวหลิงทนมองไม่ได้แล้ว…
ขอร้องล่ะเพคะ ท่านช่วยมีมาดของฮองเฮาหน่อยได้หรือไม่
หลังจากฮองเฮาเยี่ยหลัวปีนขึ้นไปบนต้นไม้ นางก็ปีนตามกิ่งต้นไม้ไปเหนือกำแพงวังอย่างช้าๆ หลังจากนั้นนางก็นั่งคร่อมบนสันกำแพง เอื้อมมือออกมาให้เฉี่ยวหลิง
เฉี่ยวหลิงซาบซึ้งใจ ท่านอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเองแต่ยังนึกถึงข้าจะช่วยดึงข้าขึ้นไปหรือ
เฉี่ยวหลิงยื่นมือของตนออกไป
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลับปัดมือของนางทิ้ง “โคม”
เฉี่ยวหลิงมึนงง เอ๋
ฮองเฮาเยี่ยหลัวก้มตัวลงมาคว้าโคมอธิษฐานในมือของเฉี่ยวหลิง จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทิ้งเฉี่ยวหลิงกระโดดออกจากกำแพงวังไปทันใด!