ตอนที่ 380-1 พานพบ

ถนนใหญ่ของเมืองหลวงครึกครื้นอย่างยิ่ง ร้านรวงเรียงรายเปิดประตูกว้าง ลูกค้าอัดแน่นเต็มร้าน บนถนนมีร้านแผงลอยเล็กๆ ตะโกนเสียงดังเอะอะ พวกหาบเร่หาบของบนไหล่ แล้วยังมัดของอยู่ตรงเอว ทุกสิ่งละลานตาจนชวนให้คนที่มองดูสับสนมึนงง

ฮองเฮาเยี่ยหลัวอยู่บนถนนที่มีผู้คนคับคั่ง นางเดินๆ หยุดๆ ถูกความรุ่งเรืองของเมืองหลวงมอมเมาจนไม่อาจละสายตา

“ขายบัวลอยจ้า ขายบัวลอยจ้า”

ห่างออกไปไม่ไกลบนถนนมีเสียงพ่อค้าหาบเร่ตะโกนชัดถ้อยชัดคำดังลอยมา

ฮองเฮาเยี่ยหลัวเดินเข้าไปดูอย่างสงสัยใคร่รู้ นางหยุดเท้าหน้ารถเข็น ดวงตาแวววาวเย้ายวนคนกะพริบปริบๆ จ้องมองบัวลอยที่เดือดอยู่ในหม้อตาเขม็ง ท้องส่งเสียงร้องดังโครกออกมาสองที

พ่อค้าเหลือบดูเสื้อผ้าของอีกฝ่ายก็รู้ว่าเป็นลูกค้าสูงศักดิ์คนหนึ่ง เขารีบยิ้มจนตาหยีทักทาย “ฮูหยิน รับบัวลอยร้อนๆ สักชามไหมขอรับ บัวลอยสุราข้าวหมักของร้านข้าใช้สูตรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ กากเหล้าบ่มหอมยิ่งนัก ข้าตักให้ท่านชิมสักชามดีหรือไม่”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า

“ท่านอยากได้ไส้อะไรดีขอรับ” พ่อค้าถาม

“เอาหมดเลย” ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบ

พ่อค้างุนงงไปวูบหนึ่ง เขาอยากบอกว่า ร้านข้ามีไส้งา ไส้ถั่วลิสง ไส้ธัญพืชห้าชนิด ไส้ถั่วกวน ไส้เม็ดบัว…มีสิบไส้เต็มๆ ท่านคนเดียวกินหมดหรือไร

แต่พ่อค้าครุ่นคิดครู่เดียวก็คิดว่า เจอคนโง่มีเงินทั้งที จะสนทำไมว่านางจะกินเท่าไร ไม่เอาเงินก็เสียเปล่าสิ

พ่อค้าเชิญฮองเฮาเยี่ยหลัวมานั่ง เขากลัวว่านางจะรังเกียจที่ลูกค้าคนอื่นเอะอะ จึงตั้งใจหาตำแหน่งที่เงียบสงบจัดให้นางนั่งเพียงคนเดียว

ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองสำรวจทุกสิ่งรอบตัวอย่างสงสัยใคร่รู้ แม้แต่ลมหายใจที่สูดเข้าไปก็ยังให้ความรู้สึกแปลกใหม่

“เอาไส้งาหนึ่งชาม”

น้ำเสียงเปี่ยมเสน่ห์เสียงหนึ่งดังเอื่อยเฉื่อยขึ้นใกล้ๆ

เห็นชัดว่าพ่อค้ารู้จักกับอีกฝ่าย เขาทักทายทันที “ท่านมาแล้ว เชิญด้านนี้ขอรับ” จากนั้นก็เชิญบุรุษผู้นั้นมายังโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดตัวนั้น

ปกติแล้วโต๊ะตัวนี้จะไม่มีลูกค้าคนอื่นมานั่ง แต่วันนี้กลับมีสตรีที่เอาแต่คอยืดคอยาวมองซ้ายมองขวาเพิ่มมาคนหนึ่ง สตรีนางนั้นหันหน้าไปทางอื่นอยู่ ไม่รู้ว่านางกำลังมองสิ่งใด ดังนั้นท้ายทอยของนางจึงหันมาทางจีซั่งชิง

แต่ไม่ว่าอย่างไรมาทานอาหารข้างนอกย่อมไม่จู้จี้ธรรมเนียมคร่ำครึ

จีซั่งชิงนั่งลงเงียบๆ

พ่อค้าใช้ผ้าสะอาดเช็ดโต๊ะ จากนั้นก็ยิ้มแย้มเดินไปต้มบัวลอย

บัวลอยถูกยกมารวดเร็วยิ่งนัก ชามที่มาก่อนคือไส้ถั่วลิสงกับไส้ถั่วกวน พ่อค้าบอกว่า “ฮูหยินเชิญรับประทาน ระวังลวกปากนะขอรับ”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวหันกลับมาหยิบช้อน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินบัวลอย

จีซั่งชิงไม่มีนิสัยชอบเหล่มองสาวไปทั่ว ดังนั้นจึงมองดูถนนด้านข้างอยู่เงียบๆ

เขากับเจาหมิงออกมากินมื้อดึกมื้อแรกกันที่นี่ หลายสิบปีผ่านไปร้านค้าร้านน้อยไม่ใช่ร้านเดิมอีกแล้ว บัวลอยก็ไม่ใช่บัวลอยในวันวานอีกแล้ว แต่ยามว่างเว้นจากการงาน เขาก็มักจะมานั่งที่ตรงนี้เป็นประจำ

เสียงซดน้ำลอยมาเข้าหู เสียงไม่นับว่าดังมากนัก คนฟังจึงไม่รู้สึกว่าไร้มารยาท ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเพลิดเพลินอยู่เลือนราง

ฮองเฮาเยี่ยหลัวจัดการบัวลอยร้อนควันฉุยสองชามหมดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ส่วนอีกหกชามที่เหลือนางปล่อยให้คลายความร้อนอยู่ด้านข้าง บัวลอยไส้งาของนางกับจีซั่งชิงลงหม้อพร้อมกัน เมื่อจีซั่งชิงได้บัวลอยงาของตัวเอง ชามเปล่าบนโต๊ะก็กองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ แล้ว!

จีซั่งชิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบช้อนขึ้นมาตักบัวลอยลูกน้อย

“ของเจ้าก็เป็นไส้งาเหมือนกันหรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองบัวลอยของเขาแล้วถามขึ้นมา

จีซั่งชิงขานอืมตอบเรียบๆ คำหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าการหันไปมองหนนี้กลับทำให้เขาตกใจจนมือสั่น บัวลอยร้อนลวกลูกหนึ่งผลุบเข้าไปในปาก เขาร้อนลวกจนผุดลุกขึ้นยืน

ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองเขาอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ก้มหน้ากินบัวลอยชามสุดท้ายต่อ

ปกตินางไม่ใช่คนกินจุ แต่ขนมหนนี้อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ

ลิ้นของจีซั่งชิงถูกลวกจนบวมเป่ง เจ็บปวดจนต้องสูดปาก เขามองสตรีฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากจะเชื่อ สตรีฝั่งตรงข้ามเหมือนจะทราบว่าเขากำลังมองนางอยู่แต่กลับไม่สนใจสักนิด ราวกับว่านางคุ้นชินนานแล้ว

จะไม่คุ้นชินได้หรือ นับตั้งแต่นางปรากฏตัวที่ต้าเหลียงก็มีผู้คนมองนางด้วยสายตาประหลาดไม่หยุดหย่อน ตอนแรกนางไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ต่อมาถึงทราบว่านางหน้าตาเหมือนคนผู้หนึ่ง

จีซั่งชิงยกมือขึ้นกุมปากที่ปวดแสบปวดร้อนจนแทบลงไปดิ้น แล้วถลึงตาใส่นางอย่างเย็นชา เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เฟิ่งชิงเกอ เจ้าเล่นบ้าอะไรอีก!”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวจดจ่อกับการกินบัวลอยอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

แววตาของจีซั่งชิงเย็นชาขึ้นอีก “เฟิ่งชิงเกอ เฟิ่งชิงเกอ เฟิ่ง ชิง เกอ!”

ในที่สุดฮองเฮาเยี่ยหลัวก็เงยหน้ามองเขาอย่างฉงน “เจ้าเรียกข้าหรือ”

จีซั่งชิงตอบเสียงเย็นชา “ตรงนี้มีเฟิ่งชิงเกอคนที่สองหรือไร”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวฉงนงงงวย

จีซั่งชิงจับจ้องใบหน้าที่เหมือนเจาหมิงอย่างกับแกะดวงนั้น โทสะพลุ่งพล่านมาจากทั่วร่าง “เจ้าเล่นจนติดลมหรืออย่างไร ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าออกมาเช่นนี้”

ไม่ยอมใช้ใบหน้าของตัวเอง แต่กลับเอาใบหน้าของเจาหมิงมาใช้ นี่มันหยามหมิ่นเจาหมิงชัดๆ!

ฮองเฮาเยี่ยหลัวถูกน้ำเสียงดุดันของเขาทำเอาตกใจกลัวแล้ว นางค่อยๆ วางช้อนลงแล้วตอบอึกอัก “ข้า…ข้าออกมาเอง”

จีซั่งชิงมองนางอย่างเย็นชา สายตาคมกริบราวกับอยากจะถลกหนังหน้าของนางออกมาเสีย “นายท่านของเจ้ารู้หรือไม่”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวก้มหน้าตอบว่า “ไม่รู้”

ท่านราชครูย่อมไม่รู้ หากรู้จะปล่อยมาได้อย่างไรเล่า

จีซั่งชิงข่มขู่ “กระดาษห่อไฟไม่มิด เจ้าขวัญกล้าเทียมฟ้าหนีออกมา ไม่กลัวเขารู้เรื่องแล้วจะสังหารเจ้าหรือ”

ร่างกายของฮองเฮาเยี่ยหลัวสั่นเทา ถามอย่างหวาดกลัว “เจ้า…เจ้าจะบอกเขาหรือ”

จีซั่งชิงตอบโดยไม่หยุดคิด “แน่นอน!”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกินไม่ลงแล้ว อีกอย่างนางก็กินหมดแล้วด้วย นางเรอดังเอิ้กแล้ววางช้อนลงในชาม จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก เสร็จแล้วก็เอ่ยเสียงเบาท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามากับข้าสักเดี๋ยวสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเกี่ยวกับข่าวที่ข้าบังเอิญได้ยินมา…ระหว่างออกมาข้างนอกวันนี้”

ข่าวหรือ จีซั่งชิงมองนางอย่างสงสัย “เกี่ยวข้องกับตระกูลจีหรือไม่”

ราชครูสนใจตระกูลจีที่สุดแล้ว แววตาของฮองเฮาเยี่ยหลัววูบไหว “ใช่แล้ว”

“เจ้าว่ามา” จีซั่งชิงสีหน้าจริงจังทันที

ฮองเฮาเยี่ยหลัวบอกเสียงเบาว่า “ที่นี่คนมาก ปากย่อมมาก พวกเราเปลี่ยนสถานที่สักหน่อยเถิด”

จีซั่งชิงข่มขู่ “เจ้าอย่าคิดหนี”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบอย่างว่าง่าย “ข้าไม่หนีหรอก”

จีซั่งชิงจ่ายเงินให้ตัวเอง

ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองเหรียญทองแดงบนโต๊ะแล้วเม้มปาก “ข้าไม่ได้พกเงินมา”

จีซั่งชิงจ่ายเงินให้นางด้วย

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตรอกด้านข้าง

จีซั่งชิงมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา “มีสิ่งใดก็รีบพูด”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระดิกนิ้วเรียกเขาให้เข้ามาใกล้ๆ “ข้าจะให้ท่านดูสิ่งหนึ่ง”

จีซั่งชิงขยับเข้ามา ฮองเฮาเยี่ยหลัวหยิบกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วเปิดออกช้าๆ ด้านในใส่ผงสีขาวไว้หนึ่งกอง จีซั่งชิงขมวดคิ้วหนาของตนแล้วถามว่า “นี่คือสิ่งใด”

“นี่คือ…” ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลอกตาหนึ่งหนแล้วสาดผงทั้งกองใส่หน้าเขา!

จีซั่งชิงปิดตาตามสัญชาติญาณ ทว่าจนปัญญาที่สายไปก้าวหนึ่ง ดวงตาถูกผงสีขาวเหล่านั้นทำให้พร่ามัวไปเสียแล้ว

ฮองเฮาเยี่ยหลัวคว้าท่อนไม้บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มทุบตีเตะต่อยเขา!

“คิดจะฟ้องข้าหรือ! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย! ตีเจ้าให้ตาย! ตีเจ้าให้ตาย!”

จีซั่งชิงถูกตีจนร้องโอดโอย ศีรษะแตก เท้าพลิก คิ้วแหว่ง ฟันโยก ครั้งสุดท้ายฟาดเข้าที่ท้ายทอย ทั้งร่างแข็งทื่อล้มตึงลงไปฟุบอยู่บนพื้น!

ฮองเฮาเยี่ยหลัวโยนท่อนไม้ทิ้ง จากนั้นเค้นพละกำลังทั้งหมดลากเขาไปไว้ในเรือนหลังน้อยที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปลดสายคาดเอวของเขามามัดเขาไว้กับเสา จากนั้นหาผ้าผืนหนึ่งมาอุดปากไว้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือและไม่มีทางดิ้นหลุด นางก็หนีหายไปอย่างว่องไวราวกับเท้าเหยียบอยู่บนสายลม

ณ บ้านชิงเหลียน จู่ๆ หนังตาข้างซ้ายของจีหมิงซิวก็กระตุก

เฉียวเวยยังคงตั้งสมาธิเพ่งอ่านตัวอักษรอยู่ เนื่องจากระดาษจดหมายเสียหายหนักมาก เนื้อหาหลังจากอวิ๋นจูให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อยจึงมองเห็นไม่ชัดแม้แต่ตัวอักษรเดียว

แต่เรื่องบางเรื่องไม่ต้องให้ผู้ใดบอกก็เดาออกได้ไม่ยาก

กู่เฉียนอุ้มบุตรสาวที่ ‘ฟื้นจากความตาย’ กลับไป เขาไม่ปรารถนาจะให้มีผู้ใดทำร้ายนางอีก แต่เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ถูกสาปแช่ง เห็นชัดยิ่งถึงแรงกดดันที่เขาต้องเผชิญ

เผ่าเยี่ยหลัวไม่มีวันยินยอม ตระกูลกู่ก็ไม่มีวันเช่นกัน เขาไร้ทางเลือกจึงได้แต่ส่งเด็กน้อยไปที่ต้าเหลียง

ผู้ใดเป็นคนออกความคิดแย่ๆ ประการนี้คงมิอาจสืบหาได้แล้ว แต่มิว่าอย่างไรชีวิตการเป็นสายลับของเจาหมิงก็เริ่มต้นตั้งแต่ตอนยังอยู่ในห่อผ้าทารก

ต้าหมิงตี้เส้นเลือดในสมองแตกสิ้นพระชนม์กะทันหันระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปทางใต้ ไม่กี่เดือนก่อนเส้นเลือดในสมองแตก พระองค์เคยร่วมอภิรมย์กับสตรีเจียงหนานหลายคน หนึ่งปีหลังจากนั้นสตรีเจียงหนานคนหนึ่งก็พาเด็กน้อยกับของดูต่างหน้าของต้าหมิงตี้มาเยือนที่วัง อดีตจักรพรรดิจึงเชื่อว่าเด็กคนนี้คือน้องสาวคนเล็กของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงโยนน้องสาวตัวน้อยให้ฮ่องเต้ซึ่งตอนนั้นยังเป็นรัชทายาท จากนั้นฮ่องเต้ก็เลี้ยงเจาหมิงจนเติบใหญ่ขึ้นมา

ฮ่องเต้ไม่ทราบว่าเจาหมิงมิใช่ธิดาแท้ๆ ของเสด็จปู่ แม้กระทั่งหลังจากทราบว่านางเป็นคนเยี่ยหลัว ก็ยังคิดว่ามารดาผู้ให้กำเนิดนางมาจากเยี่ยหลัวเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเชื่อว่าบิดาของนางคือต้าหมิงตี้ผู้สวรรคตไปแล้ว

หากปล่อยให้ฮ่องเต้เห็นจดหมายฉบับนี้ ไม่รู้ว่าพระองค์จะรู้สึกเช่นไร แต่เฉียวเวยคิดว่าฮ่องเต้น่าจะไม่ถือสา ความรักที่พระองค์มีให้องค์หญิงเจาหมิงก้าวพ้นจากคำว่าสายเลือดมานานแล้ว ไม่ว่าองค์หญิงเจาหมิงจะเป็นท่านอาเล็กแท้ๆ ของพระองค์หรือไม่ พระองค์ก็เลี้ยงดูนางมาราวกับดวงแก้วกลางฝ่ามือของตนเอง

ฟู่เสวี่ยเยียนเคยพบเจาหมิงเพียงหนเดียว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจาหมิงกลับไปที่เยี่ยหลัวเพียงหนเดียว ก่อนฟู่เสวี่ยเยียนเกิด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจาหมิงจะเคยกลับไปหลายหนแล้วและในจำนวนหลายครั้งนั่นนางก็ไปต้องตาราชาเยี่ยหลัวที่อายุยังน้อยเข้า

ราชาในยามนี้ไม่ใช่ราชารุ่นก่อนอีกแล้ว เขาอายุน้อยกระหายชัยชนะ หยิ่งทะนงและอวดดี เขาไม่เชื่อเรื่อง ‘ดาวหายนะแห่งแว่นแคว้น’ ที่ตำหนักราชครูบอก เขาต้องการเจาหมิง ต้องการสตรีนางนี้ให้จงได้

แต่น่าเสียดายเจาหมิงไม่คิดจะตบแต่งกับเขา ราชาเยี่ยหลัวรักแต่มิอาจครอบครอง สุดท้ายจึงตัดสินใจจะสังหารเจาหมิง

แน่นอนว่าการตัดสินใจจะสังหารนางเป็นความคิดของตัวเขาเอง หรือถูกพวกอาจารย์ไสยเวทผู้มีแต่ความคิดชั่วช้าเต็มหัวกลุ่มนั้นยุยง เรื่องนั้นก็สุดจะรู้