ตอนที่ 380-2 พานพบ

ส่วนอีกด้านหนึ่งบุตรสาวคนเล็กของอวิ๋นจูเติบใหญ่ขึ้นมาในเขาไฉ่เหลียนอย่างไร้กังวล ส่วนเรื่องที่นางถูกคนพบตัวและถูกลักพาตัวไปได้อย่างไร ก็กลายเป็นปริศนาที่ไขไม่ออกอีกประการหนึ่ง

แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับตำหนักราชครูอย่างแน่นอน

ไม่ว่าอย่างไรครั้งนั้นอวิ๋นจูก็สังหารคนของตำหนักราชครูไปมากมาย นอกจากตำหนักราชครูแล้วยังจะมีผู้ใดเคียดแค้นพวกนางแม่ลูกเท่านี้อีกเล่า

อวิ๋นจูน่าจะไม่อยู่ที่เขาไฉ่เหลียนแล้ว มิเช่นนั้นหากมีนางปกปักษ์ ไม่ว่าพวกหนูฝูงนั้นจากตำหนักราชครูจะเสี้ยมอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสทำสำเร็จ หญิงชราที่ฮองเฮาเยี่ยหลัวเคยพบผู้นั้น บางที…อาจเป็นคนสนิทของอวิ๋นจู เคยเลี้ยงดูฮองเฮาเยี่ยหลัวให้เติบใหญ่มาด้วยกันกับอวิ๋นจู ดังนั้นตอนฮองเฮาเยี่ยหลัวเห็นนางจึงรู้สึกเหมือนได้พบครอบครัวในอดีต

หากต้องการจะทราบว่าในปีนั้นที่เขาไฉ่เหลียนเกิดเรื่องอะไรขึ้น อวิ๋นจูตายแล้วหรือยังอยู่ คงได้แต่ตามหาหญิงชราผู้นั้น…

จีหมิงซิวเหมือนจะมองความสงสัยของเฉียวเวยออกจึงบอกอย่างเยือกเย็น “ไห่สือซานไปที่เขาไฉ่เหลียนแล้ว”

“ท่านคิดว่าหญิงชราคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวเงียบไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ชีวิตนางยังมีค่าอยู่”

เฉียวเวยยกมือสองข้างขึ้นมาเท้าคาง “ก็ใช่ ถึงตอนที่จำเป็น นางย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะพาตัวออกมาข่มขู่ฮองเฮา ก็ไม่รู้ว่าตระกูลกู่ที่ย่อยยับไปทั้งตระกูลเป็นฝีมือของตำหนักราชครูหรือไม่”

หลังผ่านพ้นกลางฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าก็สว่างช้ากว่าก่อนหน้า ตอนที่เจ้าตัวน้อยทั้งหลายอาบน้ำเสร็จมานั่งมึนๆ ทานอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะ ของฟ้าเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา

ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเฉียวเวยก็พาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามไปส่งที่สำนักศึกษาตามปกติ แต่ระหว่างทางกลับดันพบฝูกงกงเข้า

เรื่องมีอยู่ว่าฝ่าบาททรงเป็นห่วงอาการประชวรของ ‘องค์หญิงเจาหมิง’ จึงเรียกเฉียวเวยเข้าวังไปตรวจอีกฝ่ายอีกรอบ

เฉียวเวยยอมใจฮ่องเต้พระองค์นี้จริงๆ ฮองเฮาองค์นั้นไม่ได้เป็นอะไรสักนิด เพียงคันคอตอนกลางคืน ไอสองสามหนก็เท่านั้น อาการเช่นนั้นเรียกว่าป่วยได้หรือ

“ฮองเฮานางไม่ได้…”

“ไม่ได้อะไรขอรับ” ฝูกงกงถามอย่างประหลาดใจ

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ไม่ได้เป็นอันใดมาก แต่ในเมื่อฝ่าบาทททรงกังวล ข้าก็จะเข้าวังไปดูก็แล้วกัน!”

เรื่องชาติกำเนิดขององค์หญิงเจาหมิงกับฮองเฮาเยี่ยหลัว เฉียวเวยกับจีหมิงซิวไม่คิดจะรีบร้อนบอกฮ่องเต้ และเพื่อไม่ให้คนเยี่ยหลัวทราบว่าพวกเขาล่วงรู้ชาติกำเนิดของพวกนางสองพี่น้องแล้ว เฉียวเวยจึงทำตัวนิ่งสงบเหมือนกับว่าทุกสิ่งยังปกติดี

เฉียวเวยหิ้วล่วมยาเข้ามาในตำหนักฉางฮวน นางก้าวเข้าไปในห้องบรรทมของฮองเฮาเยี่ยหลัวอย่างสง่าผ่าเผยใต้หนังตาของลูกศิษย์ตำหนักราชครูทั้งหลาย

ฮองเฮาเยี่ยหลัวนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย

“ฮองเฮา ท่านเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” เฉียวเวยถามอย่างใส่ใจ

ฮองเฮาเยี่ยหลัวไล่บ่าวรับใช้ออกไป จากนั้นยื่นข้อมือให้เฉียวเวย เฉียวเวยเห็นรอยแผลจางๆ บนข้อมือ หัวคิ้วก็ขมวดทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวเล่าเรื่องที่แอบหนีออกจากวังแล้วถูกลูกศิษย์ของตำหนักราชครูพบให้เฉียวเวยฟัง บาดแผลนี้ได้มาตอนขากลับ นางปีนกำแพงอย่างรีบร้อนเกินไปจึงเกี่ยวเข้า ไม่มีเลือดไหล ทิ้งไว้แต่รอยแผลเส้นหนึ่ง

เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาผู้ดูเหมือนจะขี้ขลาดคนนี้พอถึงเวลาตัดสินใจลงมือกลับห้าวหาญได้ถึงเพียงนั้น ลูกศิษย์โชคร้ายคนนั้น แม้แต่ในฝันก็คงคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกสตรีอ่อนแอนางหนึ่งจัดการจนหมอบ

เฉียวเวยมองสีหน้าอับจนหนทางของฮองเฮา แล้วถามอย่างใส่ใจ “ฮองเฮากังวลว่าหลังจากราชครูทราบเรื่องจะไม่ดีต่อท่านใช่หรือไม่เพคะ”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า “แม้ข้าจะมัดคนผู้นั้นไว้ แต่ข้าก็ยังกังวลว่าเขาจะหนีออกมาได้อยู่ดี”

เฉียวเวยเก็บกระเป๋าจนเรียบร้อยก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไรเล่า ไปกับข้าเถิด”

“ไปที่ใด” ฮองเฮาเยี่ยหลัวถาม

เฉียวเวยตอบว่า “ไปยังที่ๆ มือของเขาเอื้อมมาไม่ถึง”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวลังเล “แต่ว่า…”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่าแต่เลย ออกไปก่อนค่อยว่ากัน เรื่องอื่นยกให้ข้าจัดการเอง”

คำโบราณว่าไว้ดีนัก ฉวยจังหวะที่เจ้าป่วย เอาชีวิตของเจ้า แม้ตอนนี้จะเอาชีวิตของราชครูไม่ได้ แต่ตัดฮองเฮาเยี่ยหลัวออกมาจากการควบคุมของเขาก็นับว่าตัดแขนของเขาได้ข้างหนึ่ง

เฉียวเวยจูงฮองเฮาเยี่ยหลัวเดินออกมาด้านนอก

ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลับดิ้นหนีจากมือของนาง แล้วมองนางอย่างระแวดระวัง

เฉียวเวยถอนหายใจ “ท่านเป็นท่านน้าของหมิงซิว ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวงุนงง “ท่าน ท่านน้าหรือ”

“ท่านราชครู! ท่านดีขึ้นแล้วหรือเจ้าค่ะ”

ด้านนอก เสียงทักทายของเฉี่ยวหลิงดังลอยมา

เฉียวเวยคว้ามือของนางไว้อีกครั้ง “รายละเอียดกลับไปแล้วข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง ออกไปจากสถานที่บัดซบนี่ก่อน!”

ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้อง

ราชครูเดินมาจากทางเดินฝั่งซ้าย เฉียวเวยจูงนางเดินเลี้ยวไปยังทางเดินฝั่งขวา จากนั้นเปิดประตูหลังออกไปจากตำหนักฉางฮวน

บังเอิญมีศิษย์ของตำหนักราชครูกำลังฝึกกระบี่อยู่นอกประตูหลังพอดี พอศิษย์คนนั้นเห็นฮองเฮาก็ก้าวเข้ามาขวางทาง “ขอเรียนถามฮองเฮาจะเสด็จไปที่ใด ราชครูสั่งไว้ว่าระหว่างที่เขาพักรักษาตัว ฮองเฮาจะเสด็จไปที่ใดตามใจมิได้”

เฉียวเวยตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ราชครูหายดีแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เขาเป็นคนให้ฮองเฮาออกมาเอง พวกเราจะต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อหารือเรื่องการปล่อยตัวคุณหนูกู่กับมู่ซื่อจื่อกับเขา”

ศิษย์ผู้นั้นมองฮองเฮาเยี่ยหลัวอย่างลังเลครู่หนึ่ง ฮองเฮาเยี่ยหลัวขยำผ้าเช็ดหน้าแน่น สุดท้ายศิษย์คนนั้นก็ผายมือ “เชิญ ฮองเฮา”

ทั้งสองคนเดินไปอย่างไม่รีบร้อน ทว่าเมื่อเลี้ยวโค้ง เฉียวเวยก็ไม่พูดพร่ำลากฮองเฮาเยี่ยหลัววิ่งเร็วจี๋ทันที อีกไม่นานราชครูย่อมพบว่าฮองเฮาหายไปแล้ว เขาจะต้องทูลขอฮ่องเต้ให้ปิดกำแพงวังอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นพวกนางอยากจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว

ตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะวิ่งมาถึงประตูวัง ด้านหลังก็มีเสียงของศิษย์ตำหนักราชครูดังขึ้น “ฮองเฮาของพวกเราหายตัวไป! พวกท่านโปรดปิดประตูวังโดยเร็วด้วยเถิด!”

น่าตายนัก!

เริ่มปิดประตูวังเร็วขนาดนี้เชียวหรือ

หนนี้แหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว หนต่อไปเกรงว่าแม้แต่หน้าของฮองเฮาก็คงไม่ได้พบ หรือฟ้าจะลิขิตให้หนีไม่รอดจริงๆ

ตอนที่เฉียวเวยร้อนใจหัวแทบไหม้นั่นเอง รถม้าหรูหราวิจิตรงดงามคันหนึ่งก็แล่นผ่านมาอย่างช้าๆ เฉียวเวยรู้สึกรางๆ ว่ารถม้าคันนี้คุ้นตาอยู่บ้าง แต่นางไม่มีเวลาคิดแล้วว่านั่นเป็นรถม้าของคนรู้จักคนใด นางลากฮองเฮาเยี่ยหลัวกระโดดขึ้นไปทันที!

ยิ่นอ๋องเห็นสตรีแต่งตัวไม่ธรรมดาสองนางกลิ้งตามกันเข้ามาด้านใน หัวคิ้วก็ขมวดแน่นเป็นปม

“ฟู่!” เฉียวเวยจับเส้นผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นยิ่นอ๋อง “ท่านเองหรือ”

“รถม้าด้านหน้า หยุดก่อน!”

เสียงของลูกศิษย์ตำหนักราชครูดังขึ้น

ยิ่นอ๋องเพิ่งตระหนักว่าผู้หญิงที่เฉียวเวยลากมาด้วยคือฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว สตรีนางนี้ถึงกับกล้าลักพาตัวฮองเฮาเยี่ยหลัว ช่างชวัญกล้าเทียมฟ้าเสียจริง!

เฉียวเวยประกบมือสองข้างพนมมือ “ท่านอ๋อง จอมยุทธ์ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก!”

ยิ่นอ๋องตอบอย่างดูแคลน “ถ้าข้าไม่ช่วยเล่า”

เฉียวเวยถลึงตาจ้อง “ไม่ช่วยข้าก็จะ…”

“จะทำอย่างไร” ยิ่นอ๋องถามต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

เฉียวเวยข่มเพลิงโทสะในใจ เค้นสีหน้าน่ารักน่าชังชวนให้คนสงสารจับใจออกมา “ท่านอ๋อง…”

หน้าตาท่าทางเช่นนั้นช่างสุดแสนน่าสงสารเหลือประมาณ

ยิ่นอ๋องถลึงตาใส่นางอย่างขุ่นเคือง

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ข้าถือว่าท่านรับปากแล้ว!”

พูดจบก็จะลากฮองเฮาเยี่ยหลัวพุ่งไปที่ม้านั่ง แต่ปรากฏว่าลากไม่ไป

นางหันไปมองฮองเฮาเยี่ยหลัวอย่างประหลาดใจ แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายมองยิ่นอ๋องอย่างนิ่งงัน แววตามีอารมณ์ฉายออกมานับไม่ถ้วน

เฉียวเวยกระซิบเสียงเบา “นี่ นี่!”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่ตอบสนอง นางเอื้อมมือออกมาแตะดวงหน้าหล่อเหลาของยิ่นอ๋องอย่างเหม่อลอย