ตอนที่ 374 ค้นหาความจริง (2)
ไม่นานจีหมิงซิวก็มาถึงถ้ำศิลาด้วย สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเขาไม่ได้ร่วงลงมาจากเพดานถ้ำ แต่เดินออกมาจากประตูศิลาบานนั้น ในหมู่คนมากมายมีเพียงเขาคนเดียวที่หาเส้นทางที่ถูกต้องพบ
เขามองมาทางด้านนี้ ไม่ต้องเห็นโลงศพศิลา เพียงดูจากสีหน้าของเฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนัก เขาก็เดาคำตอบออกแล้ว ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ
สีหน้าของเขาราบเรียบเฉกเช่นปกติ แต่เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงคลื่นความหวั่นไหวในหัวใจของเขา
ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือสุสานมารดาของเขา ในตอนนี้ความรู้สึกของเขาคงสับสนยิ่งกว่าเวลาใดทั้งสิ้น
ไม่ว่าศพจะอยู่หรือไม่ สำหรับเขาแล้วล้วนเป็นเรื่องสะเทือนใจใหญ่หลวง
เพราะการมาเยือนของฮองเฮาแห่งเผ่าเยี่ยหลัวทำให้ความหวังผุดพรายในหัวใจเขาไม่มากก็น้อย ความหวังที่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นมารดาของตน หากศพยังอยู่ ถ้าเช่นนั้นความหวังริบหรี่นี้ย่อมสลายกลายเป็นดั่งฟองอากาศ
แต่หากศพไม่อยู่ ฮองเฮาเยี่ยหลัวเป็นมารดาของเขาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเขาจะเผชิญหน้ากับเผ่าเยี่ยหลัวทั้งหมดอย่างไรดีเล่า
มารดาของเขากลายเป็นภรรยาของบุรุษคนอื่นแล้ว ทั้งยังมีลูกกับเขาคนนั้นแล้วอีกด้วย
แล้วเขานับเป็นอะไร หมิงเยี่ยกับจีหว่านเล่านับเป็นอะไร
เฉียวเวยมองเขาอย่างปวดใจ
จีหมิงซิวเดินมาตรงหน้าโลงศพด้วยสีหน้านิ่งสงบ ฝ่ามือใหญ่วางทาบลงบนโลงศพแผ่วเบา คล้ายกับว่าสิ่งที่เขาเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่โลงศพของมารดาของตน แต่เป็นท่อนไม้ธรรมดาท่อนหนึ่ง
เฉียวเวยกุมมือเขาอย่างอ่อนโยน
ปลายนิ้วสั่นไหวของเขากุมมือของเฉียวเวยไว้แน่น
“ไม่ถูกต้องสิ” ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้น “ที่แห่งนี้มีกลไกซับซ้อนมากมาย ศพจะถูกขโมยไปได้อย่างไร ไม่มีทางมีผู้ใดเก่งกาจกว่าข้าได้หรอกน่า…”
เฉียวเวยผู้เดิมทีกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความเศร้าได้ยินคำนี้เข้า ดวงหน้าน้อยก็มืดครึ้มลงในพริบตา
เจ้ารู้จักมียางอายบ้างหรือไม่
แต่ถึงในใจจะต่อว่าเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเจ้าซื่อบื้อนี่ถามได้ตรงประเด็น
นางกล้ารับประกันว่าองครักษ์ที่ถูกยิ่นอ๋องกับเจาอ๋องร่วมมือกันจัดการจนสลบเหล่านั้นคงถูกพรรคพวกพบตัวแล้ว หลุมขนาดใหญ่ที่พวกเขาขุดด้านบนก็คงถูกองครักษ์ที่ลาดตระเวนเห็นเข้าอย่างจังแล้วเช่นกัน ตอนนี้กำลังพลของทั้งสุสานองค์หญิงคงล้อมปากทางเข้าสุสานไว้หมดแล้ว รอเพียงพวกเขาออกไปก็จะ ‘รวบจับ’ พวกเขาทั้งหมด
ขนาดพวกเขายังเป็นเช่นนี้ แล้วตอนแรกคนเผ่าเยี่ยหลัวย้ายศพขององค์หญิงจากไปอย่างไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นได้อย่างไรเล่า
“ฝังตาย” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฝังตายอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมของต้าเหลียงสักเท่าใด
แม้เฉียวเวยจะรู้เพียงงูๆ ปลาๆ แต่ก็ยังพอจะรู้มากกว่าเขาอยู่สักหน่อย ในอดีตยามฝังศพของบรรดาเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงลงสุสาน นอกจากศพของเจ้าตัวแล้วก็จะมีของบางอย่างที่ฝังร่วมลงไปในสุสานด้วยอีกเล็กน้อย บางทีก็เป็นทรัพย์สมบัติอัญมณี บางทีก็เป็นคน แต่การฝังตายโหดร้ายกว่าการฝังร่วมตรงที่ว่าการฝังร่วมจะรอให้คนตายไปเองตามธรรมชาติแล้วค่อยนำมาฝังลงในสุสานเดียวกัน แต่การฝังตายจะจับคนมาสังหารแล้วฝังเข้ามาในสุสาน นอกจากนี้ในราชวงศ์ต้าเหลียงยังมีการฝังอีกแบบเรียกว่าการฝังเป็น
การฝังแบบนั้นก็คือจับคนเป็นๆ เข้ามาขังในสุสาน ให้พวกเขารอความตายอยู่ในสุสานทั้งที่ยังมีชีวิต
ฮ่องเต้ทรงรักท่านอาอายุน้อยคนนี้ของตนถึงขนาดนั้น จะตัดใจปล่อยให้นางถูกฝังอยู่ใต้ดินเพียงลำพังได้อย่างไร พระองค์จึงเลือกบ่าวรับใช้ข้างกายองค์หญิงจำนวนหนึ่งฝังเป็นลงไปพร้อมกับนาง
คนที่ถูกฝังเป็นก็มีโลงศพของตัวเองเช่นกัน
เฉียวเวยกวาดตามองหารอบด้าน แล้วก็พบโลงศพไม้สีแดงสิบแปดใบอยู่ในห้องศิลาที่โลงศพศิลาขององค์หญิงตั้งอยู่ เฉียวเวยเปิดฝาโลงศพทีละใบแล้วพบว่าโลงศพสี่ใบในนั้นว่างเปล่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งก็กระจ่างแล้ว
ข้างกายองค์หญิงมีสายลับของเผ่าเยี่ยหลัวแฝงตัวอยู่นานแล้ว สายลับเหล่านั้นพยายามให้ฮ่องเต้เลือกตัวเองเข้ามาฝังเป็นร่วมสุสาน พวกเขาเข้ามาแล้วเที่ยวหนึ่งย่อมรู้ว่าจะย้อนกลับไปทางเดิมอย่างไร รอจนกระทั่งทุกคนออกไปจากสุสานแล้ว พวกเขาจึงค่อยเลือกค่ำคืนดึกสงัดปลอดคน ขโมยตัวองค์หญิงออกไปจากสุสาน
พวกเขาขุดดินเหนือสุสสานออก จากนั้นก็กลบดินบนสุสานลงไปอีกครั้ง กระบวนการทั้งหมดเร็วจนน่าเหลือเชื่อจึงทำทุกสิ่งเสร็จสิ้นก่อนองครักษ์จะลาดตระเวนมาถึง
“หมิงซิว…” เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว “ศพขององค์หญิงไม่อยู่ที่นี่ ฮองเฮาเยี่ยหลัวจะเป็นนางหรือไม่”
จีหมิงซิวเก็บห้วงอารมณ์ที่ท่วมท้นจนแทบจะเอ่อล้นกลับเข้าไปยังก้นบึ้งหัวใจทีละน้อย “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นจมูกดังเหอะ “จะต้องว่าอะไรกันอีก มีอะไรให้พูดกัน หากนางเป็นมารดาของเจ้าจริง เหตุไฉนจึงไปเป็นฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัว เหตุใดจึงไปมีลูกกับบุรุษคนอื่น แล้วเหตุใดจึงจดจำเจ้าไม่ได้แม้แต่น้อย”
เฉียวเวยอึกอักครู่หนึ่ง “บางทีนางอาจ…สูญเสียความทรงจำ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขนแล้ว “เจ้าคิดว่าใครๆ ก็เป็นเหมือนเจ้า! อยู่ดีๆ ก็ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตไปหมดสิ้นได้อย่างนั้นหรือ!”
เฉียวเวยทราบว่าลึกๆ ในใจเขาใช่ว่าจะไม่เชื่อ เพียงแต่เขายากจะทำใจยอมรับ มารดาที่ไม่เคยชิดใกล้แม้สักวันอุตส่าห์ยังมีชีวิตอยู่ทั้งที แต่นางกลับกลายเป็นมารดาของผู้อื่นไปแล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็คงต้องโกรธอยู่บ้างใช่หรือไม่
แต่เหตุใดนางจึงสังหรณ์ว่าเรื่องราวอาจจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น
อีกด้านหนึ่งยิ่นอ๋องหาทางมาสำเร็จจนได้ เขาเดินตามเสียงการเคลื่อนไหวของจีหมิงซิวเดินมา แต่เดินตามมาได้ครึ่งทางก็พลัดหลง โชคยังดีหลงไปไม่ไกลนัก ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหลงทางไปแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักคร้านจะสนใจเขา “ดูเอาเองสิ!”
ยิ่นอ๋องเดินเข้าไปมองด้านในโลงศพหิน ทันใดนั้นแววตาก็ดำมืด
เวลานี้เจาอ๋องก็มาถึงแล้วเช่นกัน เขาร่วงลงมาจากช่องบนเพดาน สิ่งที่ร่วงลงมาพร้อมกับเขาคือโครงกระดูกตาเขียวร่างหนึ่ง กลไกของโครงกระดูกร่างนั้นทำงานแล้ว มันจึงไล่โจมตีคนที่อยู่ใกล้ตัวมันอย่างไม่เลิกรา เจาอ๋องสู้กับมันอย่างติดพัน
แขนข้างหนึ่งของมันคว้าลำคอของเจาอ๋องได้สำเร็จ!
ยิ่นอ๋องถามสีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดเป็นเช่นนี้ไปได้ องครักษ์ของสุสานองค์หญิงเฝ้าเวรยามเข้มงวดมากไม่ใช่หรือ ศพไม่มีปีกจะบินหนีหายไปได้เช่นไร”
เฉียวเวยชี้ห้องที่บรรจุโลงศพของผู้ที่ถูกฝังเป็น
“เจ้าโครงกระดูกน่าตายนี่! คิดว่าท่านอ๋องคนนี้จัดการเจ้าไม่ได้จริงหรือ” เจาอ๋องกดโครงกระดูกคว่ำบนพื้น
ยิ่นอ๋องเดินเข้ามาในห้องศิลาก็เห็นโลงศพไม้ที่ว่างเปล่าเหล่านั้น เขาพอเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรคร่าวๆ แล้ว ต่อให้ป้องกันแล้วป้องกันอีกก็ยากจะป้องกันโจรในบ้านจริงๆ!
“พวกเจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ว่าองค์หญิงเป็นคนเผ่าเยี่ยหลัว” เขาหันไปมองจีหมิงซิวกับเฉียวเวย แล้วถามด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ฝ่าบาทก็ทรงทราบ ทราบก่อนหน้าพวกเรานานแล้ว หากเจ้าคิดจะฟ้อง ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าดีกว่า”
โทสะของยิ่นอ๋องแล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย!
“เจ้าโครงกระดูกน่าตาย! คอยดูว่าข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายอย่างไร!” เจาอ๋องก้าวขาข้ามไปขี่อยู่บนตัวของอีกฝ่ายแล้วรัดคอของอีกฝ่ายไว้แน่น
โครงกระดูกก็บีบคอเขาเอาไว้เช่นกัน มันบีบคอเขาจนตาเหลือก ปลายหางตาของเขาเห็นพวกจีหมิงซิวอยู่ไม่ไกลจึงเค้นเสียงออกมาจากลำคอ “ช่วย…ช่วยด้วย…”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเย้ยหยัน “จู่ๆ ก็มีมารดาเป็นฮองเฮา จีหมิงซิว ชะตาชีวิตของเจ้าช่างดีเสียจริงนะ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสวนกลับ “อิจฉาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เก่งนักก็มาแย่งไปสิ!”
ยิ่นอ๋องหัวเราะหยัน “ข้าไม่อยากมีเลือดคนต่างเผ่าอย่างพวกเจ้าหรอก เลือดครึ่งหนึ่งของต้าเหลียง เลือดอีกครึ่งหนึ่งของเยี่ยหลัว หากใต้หล้าล่วงรู้เข้า เหอะ จีหมิงซิว เจ้าระวังตัวเองไว้เถอะ!”
กล่าวจบก็ยิ้มนิดๆ อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วเดินออกไปพร้อมกับสีหน้าสาแก่ใจ
เฉียวเวยจิ๊ปากส่ายหัว “เจ้าหมอนี่ ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิมไม่มีผิด”
อีกด้านหนึ่งเจาอ๋องจัดการโครงกระดูกได้ในที่สุด แขนขาของมันบิดผิดรูป ลูกตาก็ถูกควักออกมา เจาอ๋องจับกะโหลกของมันทุบกับพื้นหินแข็งอย่างรุนแรง “ใครใช้ให้เจ้าลอบจู่โจมท่านอ๋องคนนี้! ใครใช้ให้เจ้าลอบจู่โจมท่านอ๋องคนนี้!”
ยิ่นอ๋องเดินผ่านข้างตัวเขาไป
“ลอบจู่โจมใช่หรือไม่! เจ้าลองลอบจู่โจมดูอีกหนสิ!”
จีหมิงซิวเดินผ่านข้างตัวเขาไป
“ท่านอ๋องคนนี้จะทุบกะโหลกเจ้าให้กระจุย!”
เฉียวเวยเดินผ่านข้างตัวเขาไป
“ทุบให้บิดามารดาของเจ้าจำเจ้าไม่ได้!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินผ่านตัวเขาไป
“เป็นอย่างไร หืม ไม่มีปัญญาทำอะไรแล้วสิ”
เจาอ๋องหัวเราะอย่างสะใจ เขาโยนกะโหลกที่แหลกเละไว้ด้านข้าง แล้วพรูลมหายใจออกมาพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นจึงเหลียวกลับไปดู
บัดซบ คนเล่า!
“เฮ้ย! พวกเจ้าไปไหนกันหมดแล้ว”
“อย่าทิ้งข้าไว้สิ!”
“พวกเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่”
“พาข้าออกไปด้วย!”
“พา ข้า ออก ปายยย”
…
เฉียวเวยคาดเดาไว้ไม่ผิด พวกเขาทุกคนถูกองครักษ์ที่ลาดตระเวนพบตัวแล้ว ด้านบนสุสานมีองครักษ์ร้อยกว่านายยืนออเป็นเงาดำทะมึน ทุกคนถือคันธนู หัวลูกธนูอันเย็นเฉียบเล็งมายังปากทางเข้าสุสาน
ยิ่นอ๋องเดินออกมาเป็นคนแรก เขาเกือบถูกลูกธนูยิงจนพรุนเป็นกระชอน!
เขารีบหลบกลับเข้าไปในสุสาน ตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งออกมาชุ่มโชก
สุดท้ายพวกเขาก็แจ้งฐานะของตัวเอง องครักษ์จึงแหวกหลบออกไปสองข้าง
ฝูกงกงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เขาสะบัดแส้ปัดฝุ่นในมือแล้วแจ้งด้วยเสียงที่ดัดแหลม “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้อัครมหาเสนาบดี ยิ่นอ๋องพาครอบครัวเข้าวังเข้าเฝ้าทันที”
นี่เป็นเพราะไม่เห็นเจาอ๋อง คนจึงคิดว่าเขาไม่ได้ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย
เจาอ๋องลำบากนักกว่าจะปีนกลับมาถึงปากทางเข้าอย่างขวัญผวา พอมองเห็นแสงสว่างลอดผ่านมาจากด้านบนสุสาน เขาก็ดีใจจนน้ำตาไหลนองหน้า ในตอนที่เขาใช้แรงฮึดเฮือกสดุท้ายปีนขึ้นมานั่นเอง เขาก็พบว่าฝาของโลงศพไม้ถูกคนปิดใหม่อีกหนแล้ว
เจาอ๋องสีหน้ามึนงงสับสน เกิดอะไรขึ้น
โป้ก! โป้ก! โป้ก!
ด้านนอกเริ่มตอกตะปู
เจาอ๋องจิตใจแตกสลายในพริบตา “ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป! ปล่อย ข้า ออก ปายยย”