ตอนที่ 375-1 ค้นหาความจริง (3)

การขุดสุสานจะทำให้ไร้พิรุธจับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นตั้งแต่ก่อนออกเดินทางพวกเขาจึงทำใจไว้แล้วว่าฮ่องเต้คงจะลงโทษอย่างหนัก หากเป็นในอดีตพวกเขาคงไม่มีความกล้าบุกเข้ามาในสุสานขององค์หญิง แต่วันนี้ ‘องค์หญิง’ มีชีวิตกลับมาแล้ว น่ากลัวว่าแม้แต่ตัวฮ่องเต้เองก็คงอยากไปดูในสุสานให้รู้ดำรู้แดงอยู่เหมือนกัน

เพียงแต่ว่า หน้าตายังต้องรักษา

ฮ่องเต้ดุด่าพวกเขาต่อหน้าหนึ่งยก พอตำหนิว่ากล่าวเสร็จก็ถามถึงสภาพภายในสุสาน

คำตอบย่อมเป็นโลงศพว่างเปล่า

ส่วนจะว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อใด ฮ่องเต้ย่อมไม่สนพระทัยแล้ว ในความคิดของพระองค์ ขอเพียงศพไม่อยู่ นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวคนนั้นคือเจาหมิงของเขาหวนกลับมาจริงๆ

พระองค์อารมณ์ดีอย่างยิ่ง บทลงโทษจึงเบาลงมาก ลงโทษหักเบี้ยหวัดเพียงครึ่งปีก็สั่งให้พวกเขากลับจวนได้ หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งให้องครักษ์ในสุสานปิดปากให้สนิท ห้ามแพร่งพรายเรื่องในคืนนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามให้ข่าวเล็ดลอดไปถึงขุนนางหัวโบราณทั้งหลายพวกนั้น มิเช่นนั้นจีหมิงเยี่ยกับยิ่นอ๋องคงไม่ได้อยู่สงบแน่นอน

บทลงโทษเช่นนี้นับว่าเล่นไม้แข็งก่อนจะจบด้วยไม้อ่อน ทุกคนล้วนไม่มีความเห็นอื่นใด ต่อให้มีความเห็นก็ไม่กล้าแย้ง ผู้ใดใช้ให้ผู้อื่นเป็นฮ่องเต้กันเล่า

ระหว่างทางที่ออกจากวัง เฉียวเวยก็ค้นพบว่ายิ่นอ๋องหน้าดำทะมึนจนแทบดูไม่ได้

คิดแล้วก็ไม่แปลก เจ้าหมอนี่คิดแต่อยากจะจับจุดอ่อนของจีหมิงซิวตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตอนนี้อุตส่าห์สบโอกาสแล้ว แต่ฮ่องเต้ดุด่าเพียงสองสามคำเสร็จก็ไล่ออกมา แล้วเขาจะกล้ำกลืนเพลิงโทสะนี่ได้อย่างไรเล่า

ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “จีหมิงซิว เจ้าไม่มีวันโชคดีเช่นนี้ตลอดไปหรอก เผ่าเยี่ยหลัวเป็นภัยร้ายแรงต่อต้าเหลียง เสด็จพ่อเพียงหลงอยู่ในความดีพระทัยที่ได้พบองค์หญิงอีกครั้งก็เท่านั้น เมื่อเสด็จพ่อได้สติกลับมา พวกเจ้าตระกูลจีจะไม่เจอจุดจบที่ดีแน่!”

เฉียวเวยฟังคำนี้แล้วก็เกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เจ้าโง่คนนี้ ช่างฝังใจกับคำพูดของนางเสียจริง นางนับว่าเปลืองน้ำลายเสียเปล่าแล้ว ฮ่องเต้ทราบตัวตนขององค์หญิงเจาหมิงมาก่อนพวกเขาตั้งนานแล้ว หากฮ่องเต้ถือสาเรื่องนี้ พระองค์ก็คงไม่รอมาจนถึงตอนนี้หรอก

ยิ่นอ๋องหันไปมองเฉียวเวย “ตอนนี้เจ้านึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว”

“ข้าต้องเสียใจอันใด” เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ

ยิ่นอ๋องตอบหน้าขรึม “เสียใจที่ตอนนั้นไม่เลือกข้า”

“พรืดดด”

ตอนนี้เฉียวเวยกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ “ข้าขอบคุณท่าน! แต่ข้ากลัวพระชายาของท่านจะตบข้าตายในฝ่ามือเดียว พวกเราสองคนลืมอดีตทิ้งไปเสียเถิด!”

พอเอ่ยถึงยอดหญิงงาม ยิ่นอ๋องก็รักษาสีหน้าไว้ไม่ได้

จีหมิงซิวไม่สนใจยิ่นอ๋องอีก เขาจูงมือเฉียวเวยออกจากพระราชวัง

ไม่นานองครักษ์ประจำสุสานก็หาม ‘โจรปล้นสุสาน’ อีกคนหนึ่งมา ฮ่องเต้เห็นหน้าเจาอ๋องผู้หวาดกลัวจนเป็นลมก็โทสะแล่นพล่าน สั่งให้คนโยนเขากลับไปที่จวนเจาอ๋อง!

เรื่องนี้ฉากหน้าดูเหมือนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เฉียวเวยทราบดีว่า บุญคุณความแค้นกับเผ่าเยี่ยหลัวเพิ่งเปิดเข้าสู่ปฐมบท

หลังออกจากวัง ยิ่นอ๋องก็ขึ้นรถม้าของตัวเอง ส่วนจีหมิงซิว เฉียวเวยและใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นรถม้าของตระกูลจี

เพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งคืนแล้ว พอขึ้นรถม้านั่งโคลงเคลงได้สักพัก ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกความง่วงงุนจู่โจม พิงหัวไหล่ของเฉียวเวยหลับไป

เฉียวเวยดันศีรษะเขาไปพิงบานประตู ทว่าเมื่อผละนิ้วออก เขาก็พิงกลับมาอีก

เฉียวเวยลุกขึ้นหลีกทาง “ไปพิงพี่ชายของเจ้าโน่น!”

ร่างของใต้เท้าเจ้าสำนักหัวทิ่มลงมาในอ้อมแขนของจีหมิงซิว

จีหมิงซิวจับศีรษะของเขามาหนุนขาของตัวเอง จากนั้นหาผ้าคลุมกันลมผืนบางมาห่มให้เขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่สนใจว่าตนเองกำลังพิงหัวไหล่ของเฉียวเวยหรือหนุนขาของจีหมิงซิว สรุปก็คือเขานอนหลับสบายอย่างยิ่ง

เฉียวเวยจิ๊ปาก เวลานี้ยังหลับได้ลง คงมีแต่เจ้าซื่อบื้อคนนี้แล้ว

“จริงสิ…”

“จริงสิ…”

ภายในรถเงียบสนิท เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเอ่ยปากขึ้นมาพร้อมกัน

จีหมิงซิวกุมมือนางแล้วบอกว่า “เจ้าพูดก่อน”

เฉียวเวยไม่อิดออด นางบอกข้อสงสัยในใจออกมา “…ข้าได้ยินหมิงเยี่ยบอกว่าสุสานองค์หญิงสร้างจากการออกแบบขององค์หญิงเอง เหตุใดนางจึงต้องวางกลไกซับซ้อนเช่นนี้ไว้ในสุสานของตัวเองด้วย นางคาดเอาไว้ก่อนแล้วหรือว่าคนเยี่ยหลัวจะมาขโมยศพของนางไป”

จีหมิงซิวครุ่นคิด “เรื่องนี้ข้าก็สงสัยอยู่บ้าง แต่ข้ารู้สึกว่า…มันคงไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันขโมยเพียงอย่างเดียว”

เฉียวเวยถามอย่างฉงน “ไม่ได้สร้างเพื่อป้องกันขโมยเพียงอย่างเดียว…ถ้าเช่นนั้นสร้างขึ้นเพื่อการใดเล่า”

จีหมิงซิวแววตาลึกล้ำตอบว่า “ตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจ”

เรื่องที่แม้แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจ เฉียวเวยย่อมไม่หวังว่าหัวสมองน้อยๆ ของตนจะคิดหาคำตอบที่สมเหตุสมผลและเป็นวิทยาศาสตร์อะไรออกมาได้

เฉียวเวยตัดสินใจข้ามประเด็นนี้ไปแล้วถามขึ้นว่า “เมื่อครู่หลังจากพวกเราพลัดหลงกัน ท่านหาเส้นทางพบได้เช่นไร”

จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าหาไข่มุกจันทร์กระจ่างพบ หลังจากมีไข่มุกจันทร์กระจ่างแล้วจึงค้นพบว่าทุกสิ่งล้วนเป็นกลลวงหลอกตา เมื่อข้าทำลายกลไกที่สร้างภาพหลอกตาได้แล้วจึงหาเส้นทางพบได้อย่างราบรื่น เจ้าเล่า เมื่อครู่ไม่ได้พบอันตรายอันใดใช่หรือไม่”

เฉียวเวยดึงกริชในแขนเสื้อกว้างออกมาแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “โชคดีท่านเตือนข้าให้พกมันมาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าคงหนีจากการต่อสู้กับโครงกระดูกที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวถูกทุบตัวนั้นยากน่าดู”

“นอกจากนั้นก็ไม่พบสิ่งอื่นใดแล้วใช่หรือไม่” จีหมิงซิวถาม คล้ายกับแน่ใจว่านางน่าจะพบสิ่งอื่นอีก

เฉียวเวยส่ายหน้า “เหมือนจะไม่มีแล้ว” นางพยายามนึก จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “แต่…ตอนข้าร่วงลงมาสลบไปพักหนึ่ง ข้าฝัน”

“ฝันอะไร” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยเกาศีรษะพยายามหวนคิด แต่กลับพบว่าในสมองมีแต่ม่านหมอกพร่ามัว “ข้านึกไม่ออกแล้ว”

จีหมิงซิวมองใบหน้าแฝงความเหนื่อยล้าของนาง จากนั้นโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องนึกแล้ว เป็นเพียงความฝันเท่านั้น”

กรุ้งกริ้ง!

กรุ้งกริ้ง!

ระหว่างที่เฉียวเวยคิดจะพิงอกสามีหลับฝันหวานสักงีบ ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักก็มีเสียงกะพรวนทองแดงดังขึ้นหลายหน เสียงใสกังวานรื่นหูลอยละล่องอ้อยอิ่ง

เวลานี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว บนถนนจึงไม่มีเงาคนสักคน ทุกสิ่งเงียบสงัดจนเหลือแต่เสียงกีบเท้าม้ากับเสียงล้อรถม้า จู่ๆ มีเสียงกะพรวนทองแดงลอยก้องมาพาลทำให้คนรู้สึกหนาวสันหลัง

เฉียวเวยเปิดม่านรถมองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นขบวนคนขี่ม้าเดินทางมาอย่างเงียบๆ ใต้แสงจันทร์สีขาวชวนขนลุก พวกเขามีจำนวนยี่สิบคน ดูจากการแต่งกายเหมือนเป็นนักพรตที่เดินทางมาจากอารามไหนสักแห่ง แต่เมื่อพินิจดูอย่างถี่ถ้วนกลับพบว่าพวกเขาแตกต่างจากนักพรตจริงๆ ปิ่นที่ปักบนหมวกของนักพรตส่วนมากจะเป็นปิ่นไม้หรือปิ่นหยก แต่คนกลุ่มนี้ล้วนปักปิ่นที่ทำจากทองสีชมพูกันทุกคน

ทองสีชมพูเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ นักพรตที่ไหนใช้ของหรูหราเช่นนี้ ถึงขนาดใช้ทองสีชมพูด ขนาดนางเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดียังมีเครื่องประดับศีรษะทำจากทองสีชมพูอยู่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

ตรงกลางกลุ่มของ ‘นักพรต’ หนุ่มยี่สิบคนคือบุรุษผู้สวมอาภรณ์ตัวหลวมสีเทานั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ ม้าตัวนี้แข็งแกร่งกำยำยิ่งนัก สิ่งที่แปลกก็คือมันปิดตาอยู่

เฉียวเวยรู้มาว่ายามทำสงครามแม่ทัพบางคนเลือกจะปิดตาม้าของตัวเองไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ม้าตื่นตระหนก แต่ในสถานที่เงียบสงบเช่นนี้ เหตุใดต้องปิดตาด้วยเล่า

“นั่นคือปรมาจารย์ไสยเวทแห่งเผ่าเยี่ยหลัว”

จู่ๆ เสียงเยือกเย็นของหมิงซิวก็ดังขึ้นในตัวรถอันเงียบสงบ

เฉียวเวยหันกลับไปมองเขา “ปรมาจารย์ไสยเวทหรือ ผู้ใช้ไสยเวทมีแบ่งเป็นระดับอาจารย์ ปรมาจารย์ด้วยหรืออย่างไร”

จีหมิงซิวพยักหน้า “ผู้ใช้ไสยเวทก็มีแบ่งระดับสูงต่ำ ผู้ใช้ไสยเวทที่ลอบเล่นงานบิดาข้าหนก่อนอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงอาจารย์ไสยเวทระดับกลางเท่านั้น ส่วนคนผู้นี้คือราชครูแห่งเผ่าเยี่ยหลัวและเป็นปรมาจารย์ไสยเวทเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่”

“หากกล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาเก่งกาจกว่าคนผู้นั้นเมื่อหนก่อนอีกหรือ” เฉียวเวยเกาะขอบหน้าต่างอย่างไม่ยี่หระ “แต่เก่งกาจอีกเท่าใดแล้วอย่างไร พูดกันจริงๆ แล้ว อาจารย์ไสยเวทก็เป็นเพียงผู้ใช้พิษไม่ใช่หรือไร หมอเทวดาแห่งเผ่าถ่าน่าเช่นข้าต้องกลัวพวกเขาด้วยหรือ”

ระหว่างที่พูด คนกลุ่มนั้นก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว

เฉียวเวยไม่สะดวกจะจ้องมองผู้อื่นอีกจึงปิดม่านลง

กล้าเดินอาดๆ ผ่านเมืองมาเช่นนี้ บ่งบอกว่าได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทที่ก่อนหน้านี้เคยอยากจะสังหารคนเผ่าเยี่ยหลัวให้สิ้น เวลานี้กลับต้อนรับคนเผ่าเยี่ยหลัวประหนึ่งแขกสูงศักดิ์

ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นเพราะองค์หญิงเจาหมิง

เฉียวเวยจำได้ว่าเพื่อจะกำจัดเผ่าเยี่ยหลัวให้สิ้นซาก ฮ่องเต้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวถึงขนาดยอมวางยาพิษหมิงซิวกับตัวพระองค์เองอย่างไม่คิดเสียดาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงเจาหมิง หัวใจอันเด็ดเดี่ยวนี้กลับพังทลายลงด้วยการโจมตีหนเดียว

ขบวนของปรมาจารย์ไสยเวทเดินผ่านด้านข้างไปอย่างยิ่งใหญ่

ไม่ทราบว่าคิดไปเองหรืออย่างไร เฉียวเวยรู้สึกว่าอากาศรอบตัวจับตัวเป็นก้อนแข็งคล้ายกำแพงน้ำผืนหนึ่ง แล้วมีระลอกคลื่นไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาก็สลายหายไป ขบวนของปรมาจารย์ไสยเวทเดินจากไปไกลแล้ว

สุดท้ายเฉียวเวยก็ยังสงสัยใคร่รู้ อดใจไม่ไหวเลิกม่านรถขึ้นหันไปมองด้านหลัง

“เอ๋”

นางอุทานอย่างฉงนออกมาคำหนึ่ง

“เห็นอันใดเข้าหรือ” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยตอบว่า “มือเขาถือคันธนูอยู่คันหนึ่ง สีดำขลับแวววาวงดงามจริงๆ”

จีหมิงซิวลูบมือของนาง “หากเจ้าชอบ ข้าจะให้คนทำให้เจ้าสักคัน”

เฉียวเวยปล่อยม่านลงมา “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ยิงธนูสักหน่อย”

พูดถึงธนู เฉียวเวยเพิ่งนึกได้ว่าบนตัวปรมาจารย์ไสยเวทคนนั้นและบนม้าของเขาเหมือนจะไม่มีลูกธนูอยู่สักลูก เขามีแต่คันธนูคันเดียวอย่างนั้นหรือ