ตอนที่ 2726 : องค์ชาย 13
“น้องชาย เมื่อ 3 วันก่อนเป็นเปี่ยวเม่ยข้าไม่รู้ความ เผลอไปล่วงเกินท่านเข้า…วันนี้ข้าจึงพาเปี่ยวเม่ยมาเพื่อขอขมาลาโทษโดเฉพาะ หวังว่าน้องชายจะไม่ถือสาหาความนาง” หลงเซี่ยงอวิ๋นกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “องค์ชาย 4 คิดมากเกินไป…ข้ากับน้องสาวเพียงแค่เสียเวลาไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีใดเสียหาย เช่นนั้นต่อไปท่านอย่าได้กล่าวถึงแล้ว…” ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ
“เห็นน้องชายใจกว้างเช่นนี้ ข้าก็โล่งใจนัก…เอาล่ะ ต่อไปหากน้องชายมีเวลาว่าง สามารถไปหาข้าที่วังได้ทุกเมื่อ” ในขณะที่หลงเซี่ยงอวิ๋นกล่าว พอหงายฝ่ามือก็ปรากฏป้ายหนึ่งขึ้นจากความว่างเปล่า จากนั้นก็ยื่นส่งป้ายดังกล่าวให้ต้วนหลิงเทียนพลางอธิบายว่า “นี่คือป้ายสาหรับใช้ผ่านเข้าออกพระราชวังหลวงของประเทศอมตะเถิงหลงเรา เพียงน้องชายแสดงป้ายนี้ให้ทหารดูก็สามารถเข้าออกวังได้ตามใจ” “อ้อ” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าขานคาพลางรับป้ายมาเก็บ หากแต่ในใจไม่ได้มีความคิดจะไปเยือนพระราชวังหลวงของประเทศอมตะเถิงหลงเพื่อพบหน้าหลงเซี่ยงอวิ๋นแม้แต่น้อย เพราะเขาคร้านจะข้องเกี่ยวอะไรกับอีกฝ่าย
ถึงแม้หลงเซี่ยงอวิ๋นจะทาทีเหมือนเชื่อคาพูดเขา อย่างไรก็ตามเขาย่อมมองออก หลงเซี่ยงอวิ๋นผู้นี้เต็มที่ก็เชื่อวาจาเขาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ไฉนอีกฝ่ายไม่ฉีกหน้าเขา เป็นเพราะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ อย่างน้อยๆก็ไม่รู้เลยว่าเขามาจากไหน หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่ใช้ท่าทีแบบนี้เข้าหาเขา ‘สมแล้วที่เป็น 1 ใน 2 ของคนที่มีโอกาสได้รับตาแหน่งองค์ชายรัชทายาทของประเทศอมตะเถิงหลง…องค์ชาย 4 คนนี้ ไม่เพียงแต่จะฉลาดเฉลียวยังรู้จักอดทนเฝ้ารอ’
‘แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…อย่างน้อยๆก่อนที่มันจะสืบหาตัวตนของข้าได้ มันก็คงไปกล่าวเตือนตระกูลโจวเอาไว้ ว่าอย่าได้ทาอะไรผลีผลาม…’ ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว “น้องชาย ข้ายังมีกิจธุระต้องไปสะสาง เช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอตัวลาไปก่อน…ข้าจะรอน้องชายมาเยี่ยมที่พระราชวัง ให้ข้าได้ต้อนรับสักครา” หลงเซี่ยงอวิ๋นค่อยๆลุกขึ้นยืน กล่าวลาต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “ถนอมตัว” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หากแต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนเพื่อไปส่ง เพียงกล่าวคาลาสั้นๆ
เห็นทีท่าดังกล่าวหลงเซี่ยงอวิ๋นก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร มันหันไปทักโจวชู่ตงกับชายชราและเดินนาจากไปทันที แต่ต้นจนจบมันไม่ได้หันไปเอ่ยอะไรกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนสักคา “ท่านลูกค้า ข้า หวังเผิง เป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนแห่งนี้…เนื่องเพราะผู้ที่อยากพบท่านเป็นองค์ชาย 4 แม้ข้าคิดจะหยุดผู้อื่นก็ไร้สามารถ…ต้องขออภัยต่อท่านลูกค้าด้วย” หลังจากที่พวกหลงเซี่ยงอวิ๋นทั้ง 3 จากไปลับตาแล้ว ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนชุดสุภาพเรียบร้อย ก็ก้มหัวขอขมาต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น น้าเสียงยังฟังดูอ่อนน้อมนัก
เพราะถึงแม้มันจะไม่แน่ใจว่าภูมิหลังอีกฝ่ายใช่ยิ่งใหญ่จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายถึงกับกล้ามองส่งองค์ชาย 4 ผู้นั้นอย่างไม่ยี่หระ แม้จะเป็นการเสแสร้ง มันก็ได้แต่ยอมรับแล้วจริงๆ! ที่สาคัญกระทั่งองค์ชาย 4 เองก็ยังสงวนท่าทีแม้จะยังไม่เชื่อเรื่องราวก็ตาม เช่นนั้นจึงเป็นธรรมดา ที่มันจะคิดไปทานองว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ “อืม” ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบรับด้วยน้าเสียงเฉยเมย และแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เหลือบมองหวังเผิงแม้แต่น้อย เพียงลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องหับเรือนพัก ปิดประตูใส่หวังเผิง…
เห็นดังกล่าวหวังเผิงไม่เพียงแต่จะไม่กล้าโมโห ยังต้องยอมรับโดยสดุดี เพราะสุดท้ายแล้วหากอีกฝ่ายมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ ก็มีทุนรอนให้กระทาเช่นนี้ “ดูลูกค้าผู้นี้ให้ดี” ก่อนที่หวังเผิงจะจากไป มันก็ไม่ลืมกาชับสาวใช้อย่างเฉิงเอ้อทิ้งท้าย และฝ่ายหลังก็พยักหน้ารับจริงจัง หลังจากที่หวังเผิงเดินจากไปแล้ว เฉิงเอ้อที่ยังอยู่ในลานหน้าเรือนคนเดียวก็ได้แต่เหม่อมองประตูห้องหับที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินเข้าไปซึ่งเป็นห้องที่ฮ่วนเอ๋อบ่มเพาะพลังอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว แววตาใบหน้าของนางฉายชัดถึงความตกตะลึงอึ้งทึ่ง
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าแขกคนแรกหลังจากที่นางพึ่งถูกโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนเรียกตัวให้มารับใช้ จะเป็นคนที่คนใหญ่คนโตสงวนท่าทีเช่นนี้ ต้องทราบด้วยว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงองค์ชาย 4 แห่งประเทศอมตะเถิงหลง 1 ใน 3 องค์ชายที่โดดเด่นที่สุดของประเทศอมตะเถิงหลง! และยังเป็น 1 ใน 2 โอรสคนโปรดที่ฮ่องเต้เถิงหลงให้ความสาคัญ ทว่าตัวตนเช่นนั้น ต่อหน้าแขกที่นางต้องรับใช้…ก็ยังต้องให้ความสาคัญ! เรื่องนี้ย่อมทาให้นางตระหนักได้เป็นธรรมดา ว่าแขกที่นางต้องรับใช้คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาๆ
ส่วนอีกด้าน หลงเซี่ยงอวิ๋น องค์ชาย 4 ของประเทศอมตะเถิงหลง หลังจากพาโจวชู่ตงออกจากโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนและย้อนกลับมาถึงวังส่วนตัว มันก็กล่าวกับโจวชู่ตงด้วยน้าเสียงจริงจัง “ตงเอ๋อ ต่อไปอย่าได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเจ้านั่นอีก” “ถังเกอ…ท่านเชื่อที่มันพูดเหรอ?” โจวชู่ตงเอ่ยถาม “ข้าไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเชื่อมัน แต่ข้าก็ไม่อาจพูดได้ว่าไม่เชื่อมันเช่นกัน…หากมันแค่เสแสร้งแสดงข้าฆ่ามันทิ้งกคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าที่มันพูดเป็นเรื่องจริง เกรงว่าข้าอาจชักนาเภทภัยใหญ่หลวงมาสู่ตัว”
“ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ เว้นเสียแต่เจ้าหรือข้าจะสืบหาความเป็นมาของมันได้พบ…มิฉะนั้นพวกเรามิอาจตอแยกับคนๆนี้ได้โดยง่าย อย่างน้อยๆข้าก็ไม่คิดจะทาอะไรให้เป็นการหมางใจกับมัน” “จะอย่างไรก็แล้วแต่ พลังฝีมือของมันเป็นของจริง! อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของมันก็บรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลือง! ที่สาคัญเรื่องที่มันยังอายุไม่ถึงร้อยปีก็ไม่ผิดเพี้ยนแน่! ต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลืองอายุไม่ถึงร้อย หากมิใช่ว่ามันไปพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่ เช่นนั้นมันก็สมควรเป็นคนที่มาความเป็นมายิ่งใหญ่เต็มสิบส่วน” “ที่สาคัญเลยก็คือภูมิหลังของมัน สมควรเป็นขุมกาลังไม่ใช่ชั่ว ถึงขั้นให้ย่าแย่แค่ไหนแต่อย่างน้อยๆก็มิใช่อะไรที่ประเทศอมตะเถิงหลงของพววกเราจะต้านทานได้ไหว!”
หลงเซี่ยงอวิ๋นกล่าวออกเสียงหนัก ในตระกูลราชวงศ์ของประเทศอมตะเถิงหลง มีองค์ชายที่ใช้การได้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 20 กว่าคน และการที่จะก้าวขึ้นมาอยู่เหนือเหล่าองค์ชายทั้ง 20 กว่าคนได้ ก็บอกให้รู้ว่าหลงเซี่ยงอวิ๋นเองก็ไม่ใช่ชั้นชั้นไก่กาหมาแมว เว้นเสียแต่มันจะมีคววามมั่นใจเต็มสิบส่วน หาไม่แล้วมันไม่คิดลงมือทาอะไรต้วนหลิงเทียนอย่างผลีผลามแน่! ดั่งคากล่าวที่ว่า ‘ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้’ ตอนนี้หลงเซี่ยงอวิ๋นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากแต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้ยินวาจาเสียงหนักของหลงเซี่ยงอวิ๋น โจวชู่ตงก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“ตงเอ๋อ อย่าได้คิดว่าถังเกอจงใจขู่ให้เจ้าหวาดกลัว…เรื่องราวครั้งนี้ เว้นเสียแต่เจ้าจะขุดก้นบึ้งมันออกมาได้ หาไม่แล้วอย่าว่าแต่ข้า ตระกูลโจวของเจ้าก็อย่าได้วู่วามไปมีเรื่องกับมันจะประเสริฐกว่า” หลงเซี่ยงอวิ๋นกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตาม…ข้ามั่นใจประการหนึ่ง มันไม่ใช่คนของประเทศอมตะเถิงหลงของพวกเราแน่” “จากที่มันเอ่ยมาก่อนหน้า มันสมควรมาจากนิกายใดสักอย่างนอกแดนร้าง…แต่ข้าไม่มีเส้นสายมากพอจะตรวจสอบเรื่องนี้ และถึงจะเป็นสกุลโจวของเจ้ากับตระกูลราชวงศ์ของข้าก็คงยากตรวจสอบ” “เว้นเสียแต่…”
พอหลงเซี่ยงอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลง “เว้นเสียแต่อะไรหรือถังเกอ?” โจวชู่ตงถามด้วยสงสัย “เว้นเสียแต่เจ้าจะยืมมือพี่หญิงสามของเจ้า ให้อาศัยอานาจของนิกายเชียนจีตรวจสอบมันดู…เพราะท้ายที่สุดแล้วนิกายเชียนจีของพี่หญิงสามเจ้าก็เป็นถึง 1 ใน 3 นิกายอมตะอันยิ่งใหญ่ในแดนร้าง เครือข่ายข่าวกรองทั้งอานาจเส้นสายย่อมมีมากมาก สุดที่ตระกูลโจวเจ้าหรือตระกูลราชวงศ์ข้าจะเทียบได้” หลงเซี่ยงอิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ “พี่หญิงสามหรือ?”
ได้ยินประโยคนี้ของหลงเซี่ยงอวิ๋น สองตาโจวชู่ตงก็เปล่งแสงโร่ขึ้นมาทันใด หากทว่าไม่ทันไรก็หม่นลง “แต่…พี่หญิงสามของข้าดูเหมือนจะเดินทางออกจากแดนร้างไปพร้อมอาจารย์ของนางเมื่อไม่กี่ปีก่อน จนบัดนี้ยังไม่กลับมาเลยนี่นา…” “พอดีข้าได้ยินมาว่า นางกลับมาถึงตั้งแต่เดือนที่แล้วน่ะ…” หลงเซี่ยงอวิ๋นยิ้ม “เอ๋! พี่หญิงสามกลับมาตั้งแต่เดือนก่อนแล้วเหรอ!?” ลูกตาของโจวชู่ตงทอแสงจ้าขึ้นมาอีกรอบ ครานี้ยังระยิบระยับราวดวงดาว “งั้นข้าจะไปหานางตอนนี้เลย!”
พี่หญิงสามที่ทั้งคู่เอ่ยถึงนั้น ก็เป็นบุตรีอีกคนของผู้นาตระกูลโจว ผู้นาตระกูลโจวนั้น มีลูกทั้งสิ้น 4 คน เป็นลูกชาย 2 คน ลูกสาว 2 คน ในบรรดาพี่น้อง โจวชู่ตง นั้นเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ส่วนพี่สาวของนางก็เป็นลูกคนที่ 3 อายุยังค่อนข้างห่างกับลูกชาย 2 คนแรกพอสมควร… ลูกสาวคนที่ 3 ของสกุลโจวนั้น ปกติมักถูกเรียกกันว่า คุณหนู 3 และนางยังเป็นความภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุดของสกุลโจวอีกด้วย กระทั่งยังเป็นความภาคภูมิใจของประเทศอมตะเถิงหลงทั้งประเทศ! เนื่องเพราะนางเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของประเทศอมตะเถิงหลง! ตั้งแต่เล็กก็ถูกยอดฝีมือของนิกายเชียนจีเห็นแวว รับตัวไปเป็นศิษย์ตั้งแต่เด็ก สุดท้ายจึงได้เป็น
ศิษย์ปิดสานักของยอดฝีมือที่ว่า…และยอดฝีมือคนนั้นก็คืออดีตประมุขนิกายเชียนจีที่ออกมาเที่ยวเล่น! และด้วยความที่ประมุขนิกายเชียนจีในปัจจุบัน ก็เป็นศิษย์ของอดีตประมุขเช่นกัน เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าทันทีที่นางทาพิธีกราบอาจารย์เสร็จสิ้น ฐานะของนางก็พุ่งพรวดรวดเดียวไปเป็นศิษย์น้องเล็กของประมุขทันที และประมุขคนปัจจุบันก็เอ็นดูศิษย์น้องหญิงคนเล็กเช่นนางอย่างยิ่ง… … ในตระกูลราชวงศ์ของประเทศอมตะเถิงหลงนั้นมีองค์ชาย 3 คนที่โดดเด่นที่สุด หากทว่ามีเพียง 2 คนเท่านั้นที่เป็นคนโปรดของฮ่องเต้เถิงหลง และฮ่องเต้ยังเตรียมเลือก 1 ใน 2 องค์ชายที่ว่าให้ขึ้นดารงตาแหน่งองค์ชายรัชทายาท
และสาเหตุที่ไฉนเป็นแบบนี้ สืบเนื่องมาเพราะองค์ชายที่โดดเด่นอีกคนนั้น กลับมีชาติกาเนิดไม่ชัดเจน ซึ่งแม้แต่ตัวฮ่องเต้เถิงหลงเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรชายแท้ๆของตัวเองรึเปล่า ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้เถิงหลงจึงปฏิบัติต่อมันแตกต่างจากองค์ชายคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าองค์ชายคนดังกล่าวจะปรีชาสามารถไม่ต่างอะไรจากองค์ชาย 4 และองค์ชาย 7 ที่เป็นตัวเก็งเหมือนกัน มันคือ องค์ชาย 13 หลงเฟยอวิ๋น
“ความเป็นมาไม่แน่ชัด และอ้างว่ามาจากนอกแดนร้างงั้นหรือ…อายุไม่ถึงร้อยปี ที่สาคัญศิษย์น้องหญิงที่อ่อนวัยกว่ากลับมีพลังฝีมือสูงส่งถึงขั้น ฆ่าต้าหลัวจินเซียนขั้นปฐพีของสกุลโจวได้ในพริบตา…” ภายในสวนแห่งหนึ่งของวังองค์ชาย 13 ปรากฏร่างชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดคลุมสีขาวขลิบทอง นั่งอยู่ในศาลาชมบุปผา 8 เหลี่ยมท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้นานาพรรณ กาลังก้มหน้ากล่าวพึมพาโดยมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนอกศาลา “กระทั่งพี่ 4…ยังกริ่งเกรงมันจนไม่กล้าทาอะไรเชียวรึ?” ทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดหรูหราก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาชัดเจน เอ่ยถามชายวัยกลางคนเบื้องหน้า
ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้ ผิวพรรณช่างขาวกระจ่างปานสตรีนัก อย่างไรก็ตามหว่างคิ้วของมันกลับแผ่พุ่งความองอาจทั้งสง่างามสมชายออกมา เรียกว่าเป็นความอ่อนโยนผสานแข็งกร้าวได้อย่างลงตัวพร้อมพรั่งทั้งหยินหยาง ไม่ว่าผู้ใดหากได้เห็นหน้ามันสักครั้งย่อมจดจาไม่รู้ลืม “ใช่แล้วขอรับ องค์ชาย 13” ชายวัยกลางคนที่คุกเข่าด้านนอกศาลาขานรับอย่างสุภาพ ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย
หาไม่แล้วคงจดจาได้ทันที ว่าชายวัยกลางคนที่กาลังคุกเข่าอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลิวเหนียน หวังเผิง! “นอกจากนั้น…” หวังเผิงกล่าวสืบต่อว่า “แขกผู้นั้นยังถามเรื่องงานประมูล กระทั่งเผยทีท่าว่าจะเข้าร่วมงานประมูลย่อยที่จะจัดขึ้นในอีก 5 วันหลังจากนี้ด้วยขอรับ” “หืม? มันคิดจะเข้าร่วมงานประมูลย่อยด้วยงั้นรึ?” องค์ชาย 13 เอ่ยถามด้วยยความแปลกใจ “เรื่องนี้ผู้น้อยก็มิทราบแน่…แต่มันกล่าวเช่นนั้น”
หวังเผิงตอบ “เอาล่ะ ช่วงนี้เจ้าคอยจับตาดูมันไว้ให้ดี… อีก 5 วันข้างหน้าหากมันเข้าร่วมงานประมูลจริง ข้าจะลองไปพบเจอคนที่กล่าววาจาไม่กี่คา ก็ทาให้พี่ 4 กริ่งเกรงดูสักครา” องค์ชาย 13 กล่าว “ขอรับ” หวังเผิงขานรับอย่างเคารพ “เจ้าไปได้แล้ว”
เมื่อองค์ชาย 13 เอ่ยขึ้นอีกครั้ง หวังเผิงก็ประสานมือโค้งคาระวะ จากนั้นก็ออกจากสวนขององค์ชาย 13 ย้อนกลับไปยังโรงเตี๊ยมหลิวเหนียนทันที