เล่ม 1 ตอนที่ 382-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 382-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (1)

ฟู่เสวี่ยเยียนชักมือกลับแล้วถอยหลบไปด้านข้าง

ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มองค์ชายสามที่หลับสนิทจนฟ้าร้องก็ไม่ตื่นไปที่ห้องของตนเองแล้วโยนลงบนเตียงอย่างไม่ไยดีสักนิด หลังจากนั้นฟู่เสวี่ยเยียนก็เดินผ่านหน้าห้องของพวกเขาไป เขาสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปหาแล้วดึงฟู่เสวี่ยเยียนเข้ามากดไว้กับผนังที่แข็งและเย็นเฉียบ

ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลงแล้วบอกเบาๆ “ปล่อยมือ”

“ไม่ปล่อย” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างอันธพาล

ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ลมหายใจอุ่นร้อนของเขากระทบลงบนพวงแก้มเย็นเฉียบของนาง แพขนตาของนางกระพือไหว “หากยังไม่ปล่อยอีก ข้าจะตบเจ้า”

“เจ้าตบ ข้าจูบ”

“เจ้ากล้า…”

จุ๊บ!

เขาจุมพิตนางบนริมฝีปาก

ฟู่เสวี่ยเยียนหน้าแดงมองเขา หายใจฟืดฟาดอย่างยากจะห้ามตนเอง

ใต้เท้าเจ้าสำนักก้มลงมากลืนกินริมฝีปากสีแดงนุ่มนิ่มของนาง

ร่างกายของฟู่เสวี่ยเยียนแข็งทื่อทันควัน ดวงตาเบิกโต

หัวใจของใต้เท้าเจ้าสำนักเต้นตึกตักรัวเร็ว แต่เขากุมมือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย เขาจุมพิตริมฝีปากของนางแล้วเคล้าคลึงเบาๆ ท่าทางเงอะงะจนไม่เหมือนกำลังจุมพิต แต่กลับชวนให้หัวใจคนเต้นรัวอย่างยิ่ง

ฟู่เสวี่ยเยียนยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น คล้ายลืมไปแล้วว่าต้องขัดขืน

ใต้เท้าเจ้าสำนักจุมพิตนางอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือใหญ่ยึดเอวบางที่ไม่รู้ว่าควรจะเปรียบกับอะไรของนางไว้เบาๆ อย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนไหวเบาๆ ไม่กี่หนก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง

ทว่าเพิ่งจะหลับตาลงได้ไม่ทันไร นางก็ลืมตาขึ้นเหมือนตกใจกลัว

นางผลักใต้เท้าเจ้าสำนักออก!

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างเศร้าเสียใจ

ฟู่เสวี่ยเยียนอ้าปาก “ข้า…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปหาอีกหน เขาจ้องนางนิ่ง “”เจ้าคงไม่ได้ชอบองค์ชายสามอะไรคนนั้นจริงๆ หรอกกระมัง ข้าขอบอกเจ้าฟู่เสวี่ยเยียน พวกเรา…”

พูดยังทันจบ แววตาของฟู่เสวี่ยเยียนก็ฉายแววหวาดผวา ฟาดฝ่ามือตบเขาออก เขากระแทกกับโต๊ะ เอวเจ็บแปลบ เขาว่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าผู้หญิงคนนี้! เลิกทำเช่นนี้สักทีได้หรือ…”

โครม!

บางสิ่งกระแทกประตูเข้ามา พริบตาเดียวก็พุ่งมาถึงตำแหน่งที่ใต้เท้าเจ้าสำนักยืนอยู่ก่อนหน้านี้

หากไม่ใช่ว่าฟู่เสวี่ยเยียนผลักเขาออก ตอนนี้เขาคงถูกอีกฝ่ายเหยียบเละเป็นโคลนแล้ว

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแขกไม่ได้รับเชิญคนนี้อย่างไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายสูงห้าฉื่อกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกำยำล่ำสัน มีกลิ่นอายความดุร้ายแผ่ออกมาทั่วร่าง พอเข้ามาในห้องได้ก็เข้ามาต่อสู้กับฟู่เสวียนเยียนทันที

ฟู่เสวี่ยเยียนส่งผ้าแพรขาวออกมารัดสองแขนของอีกฝ่ายไว้แน่น ผ้าแพรขาวของฟู่เสวี่ยเยียนมิได้ทำมาจากผ้าธรรมดา ดาบกระบี่ธรรมดาฟันไม่ขาด แต่บุรุษผู้นี้คำรามอย่างดุร้ายทีเดียวก็ซัดพลังกระแทกผ้าแพรขาวจนขาดเป็นชิ้นๆ!

ฟู่เสวี่ยเยียนถูกกำลังภายในสะท้อนกลับจนร่างผงะถอยหลังกระแทกกับบานประตู

บุรุษผู้นั้นก้าวเข้ามาหาฟู่เสวี่ยเยียนอย่างเกรี้ยวกราด

ใต้เท้าเจ้าสำนักคว้าม้านั่งด้านข้างเขวี้ยงใส่ศีรษะของเขาอย่างแรง!

ม้านั่งฟาดศีรษะจนแหลกเป็นเศษไม้ แต่บุรุษผู้นั้นไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาหมุนตัวกลับมาหาใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างเยือกเย็น

ฟู่เสวี่ยเยียนพลิกมือฟาดออกมาหนึ่งฝ่ามือจนร่างกายของบุรุษผู้นั้นโงนเงน แต่ก็ยังสร้างบาดแผลใดๆ ให้เขาไม่ได้

ใต้เท้าเจ้าสำนักตะลึง นางยักษ์เป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจปานนั้นแต่กลับจัดการเจ้าหมอนี่ไม่ได้ เจ้าหมอนี่เป็นภูตผีอะไรกันแน่

มือของบุรุษผู้นั้นคว้าคอเสื้อของใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นมาโดยดูไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย

ในตอนนี้เองเงาร่างสีเขียวอ่อนร่างหนึ่งก็โฉบเข้ามาแย่งใต้เท้าเจ้าสำนักไปจากมือของบุรุษผู้นั้น แล้วตวัดขาเตะส่งบุรุษคนนั้นออกไปจากห้อง

บุรุษผู้นั้นร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอาจารย์ตาฮั่วที่มาถึงทันเวลาอย่างหวาดผวา อาจารย์ตาฮั่ววางใต้เท้าเจ้าสำนักลงเสร็จก็ออกไปที่ลานเรือนอย่างรวดเร็ว

ใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียนตามไปด้วย เวลานี้ทั้งสองคนเพิ่งค้นพบว่าบุรุษผู้นี้ยังมีพรรคพวกมาด้วยอีกหลายคน พวกเขากำลังต่อสู้กับเฉียวเวยและเสี่ยวไป๋อย่างดุเดือด

กรงเล็บของเสี่ยวไป๋ตะกุยที่ใบหน้าของบุรุษคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเกิดรอยแผลน่ากลัวหลายเส้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเขากลับดูเหมือนไม่รู้จักความเจ็บปวด มือคว้าหมับจับตัวเสี่ยวไป๋ไว้

ต้าไป๋อยากจะพุ่งมาหา แต่ถูกบุรุษอีกคนหนึ่งยื้อเอาไว้

เสี่ยวไป๋ถูกบีบคอจนตาเหลือก

จูเอ๋อร์กระโดดเข้ามาขี่บนคอของบุรุษคนนั้น แล้วใช้กระทะเหล็กใบน้อยตีศีรษะของเขาดัง เป๊ง! เป๊ง! เป๊ง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักแน่ใจอย่างยิ่งว่าศีรษะของเขาถูกทุบจนบุบลงไปแล้ว แต่เขากลับยังบีบคอเสี่ยวไป๋ไม่ปล่อย

เฉียวเวยถีบบุรุษคนหนึ่งจนคว่ำแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “นี่มันอะไรกัน คนกลุ่มนี้เหตุใดจึงดูเหมือนไม่กลัวความเจ็บปวดสักนิด”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “พวกเขาคือนักรบมรณะที่ฝึกมาด้วยวิธีอันโหดร้ายที่สุด พวกเขาไม่มีสติรับรู้อย่างมนุษย์ทั่วไปแล้ว พวกเขาไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้ เคลื่อนไหวตามแต่ที่เจ้านายจะควบคุมอย่างสมบูรณ์”

เฉียวเวยตาเหลือก “เวรเอ๊ย! ของชั่วร้ายพรรค์นี้เป็นของตำหนักราชครูอย่างนั้นหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าพร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม “น่าจะใช่”

“อะไรคือน่าจะใช่” นักรบมรณะคนหนึ่งพุ่งเข้ามา เฉียวเวยฟาดฝ่ามือตบเขาจนปลิวขึ้นไปบนต้นไม้ เขาดิ้นรนอยู่บนต้นไม้พักหนึ่งก็ฟาดกิ่งไม้จนหัก คนร่วงลงมาทั้งตัว กระแทกจนเฉียวเวยรู้สึกเจ็บแทนเขา ทว่าวินาทีต่อมาเขากลับลุกขึ้นมาหน้าตาเฉย

หัวใจของเฉียวเวยหนาวยะเยือก

ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “เมื่อก่อนข้าเคยแต่ได้ยินมา แต่ไม่เคยเห็นกับตา ยังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเสียอีก”

เฉียวเวยคิดในใจว่านางเพิ่งจะพาฮองเฮากลับมาตระกูลจีเมื่อกลางวัน ตกกลางคืนตำหนักราชครูก็อดรนทนไม่ไหวส่ง ‘อาวุธ’ ที่ร้ายกาจเช่นนี้ออกมาแล้ว ดูท่าสำหรับพวกเขาฮองเฮาจะสำคัญไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!

นักรบมรณะคนนั้นพุ่งเข้าใส่เฉียวเวยอีกครั้ง

เฉียวเวยชักกริชออกมาปาดคอเขา

มารดา คอถูกปาดแล้ว คนยังมีชีวิตอยู่อีก!

เฉียวเวยพองขนแล้ว “ตำหนักราชครูสร้างสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา ราชาเยี่ยหลัวของพวกเจ้ารู้หรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่”

อาจารย์ตาฮั่วหักแขนของนักรบมรณะคนนั้น นักรบมรณะคลายมือออก เสี่ยวไป๋ร่วงลงมาบนพื้น

เสี่ยวไป๋ก้าวเท้าได้ก็วิ่งทันที!

นักรบมรณะคนนี้เหมือนจ้องแต่เสี่ยวไป๋ เขาใช้แขนอีกข้างที่ยังสมบูรณ์ดีคว้าตัวเสี่ยวไป๋กลับมา!

เล่าแล้วเหมือนยาวแต่ชั่วขณะนั้นแท้จริงสั้นเพียงชั่วพริบตา จู่ๆ เงาร่างองอาจแข็งแกร่งร่างหนึ่งก็แหวกท้องนภาบินดิ่งลงมาราวกับลูกธนูแล้วคาบเสี่ยวไป๋ไว้ในปาก!

นักรบมรณะคว้าได้แต่อากาศว่างเปล่าจึงหันมาต่อยหมัดใส่อินทรีทอง!

อินทรีทองพลิกตัวบินตะแคงข้าง ก่อนจะร่อนลงบนหลังคาเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

อินทรีทองถุยเสี่ยวไป๋ออกมา

นักรบมรณะสูญเสียเหยื่อไปก็คำรามเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้าใส่อินทรีทอง

อินทรีทองสยายปีกอันใหญ่โต ส่งเสียงคำรามของจ้าวเวหาใส่มันเช่นเดียวกัน!

นักรบมรณะหยุดยืนนิ่งทันใด

เฉียวเวยงุนงง นางหันไปมองนักรบมรณะหลายคนที่เหลือ พวกเขาเองก็ยืนนิ่งงันไม่ต่างกัน “เกิดอะไรขึ้น”

ฟู่เสวี่ยเยียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาก็สว่างวาบ ตอบว่า “เสียงร้องของอินทรีทองคงตัดการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขากับเจ้านายได้”

เฉียวเวยรีบบอกว่า “อินทรีทอง ร้องเร็วเข้า!”

แต่อินทรีทองไม่ร้องแล้ว

นักรบมรณะทั้งห้าคนเริ่มกลับมาถูกควบคุมอีกครั้ง

เฉียวเวยร้อนใจจนกระโดดโหยงเหยง “เสี่ยวไป๋ ทำให้มันร้อง!”

เสี่ยวไป๋หันไปมองอินทรีทอง จากกนั้นก็ตะเบ็งสุดเส้นเสียง คำรามเสียงอันกร้าวแกร่งองอาจ (อ้อแอ้) ออกมาใส่นักรบมรณะแขนเดียวที่จับตัวเองเอาไว้เมื่อครู่!

อินทรีทองมองเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาแปลกพิกล

นักรบมรณะทั้งห้าคนเริ่มบุกเข้ามาสังหารพวกเฉียวเวยอีกครั้ง

เสี่ยวไป๋ร้องเสียงดัง

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

“เหมียว! เหมียว! เหมียว!”

“อาฮู้ววว!”

แม้แต่เสียงหมาป่าก็ขนออกมาใช้ด้วยแล้ว…

ในที่สุดอินทรีทองก็ส่งเสียงร้อง

มันร้องหนึ่งหน เสี่ยวไป๋ร้องหนึ่งหน

มันเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวไป๋ต้องการอะไร มันจึงกางปีกสองข้างบดบังท้องนภา ก่อนจะส่งเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดน่าเกรงขามของจ้าวแห่งท้องนภาออกมา!

นักรบมรณะทั้งหลายต่างหยุดนิ่ง

“อ้าก…” เสียงครวญครางแผ่วเบาดังออกมาจากความมืด

หูสองข้างของอาจารย์ตาฮั่วกระดิกเบาๆ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาตัวเบาเหินเข้าไปจับบุรุษหน้าซูบผอมคนหนึ่งกลับมาในเวลาไม่นาน

ในมือของบุรุษผู้นั้นถือนกหวีดกระดูกอยู่ชิ้นหนึ่ง เขาน่าจะเป็นคนที่ใช้นกหวีดกระดูกควบคุมนักรบมรณะเหล่านั้นจากในเงามืด ตอนนี้เขาถูกจับแล้ว นักรบมรณะแต่ละคนจึงนิ่งไม่ขยับราวกับตอไม้

“เจ้ารู้จักเขาหรือไม่” เฉียวเวยถามฟู่เสวี่ยเยียน

ฟู่เสวี่ยเยียนมองพินิจอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

“ไม่รู้จักก็ถูกแล้ว สิ่งที่เอาออกมาเผยให้คนเห็นไม่ได้เช่นนี้จะปล่อยให้ออกมาอยู่กลางแสงตะวันได้อย่างไร” เฉียวเวยเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า แล้วมองเขาด้วยสายตานิ่งๆ “พูด ราชครูส่งเจ้ามาใช่หรือไม่”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย

เฉียวเวยคิ้วขมวด

ฟู่เสวี่ยนเยียนเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิธีลงมือของคนพวกนี้มาก่อนแล้ว พอเห็นสีหน้าของเขาก็คิดอะไรออกในทันที นางหน้าถอดสี “แย่แล้ว! รีบแยกย้ายเร็ว!”

อาจารย์ตาฮั่วคว้าโอ่งน้ำด้านข้างมาใบหนึ่งแล้วยัดบุรุษคนนั้นเข้าไปทั้งตัว!

บึ้ม! เสียงระเบิดทุ้มหนักดังออกมาจากในโอ่งน้ำ โอ่งแตกกระจาย เลือดเนื้อสีแดงคล้ำไหลอออกมาพร้อมกับไอของพิษร้ายที่แผ่กระจาย

หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ตาฮั่วปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว พวกเขาเองก็คงจะถูกเจ้าหมอนี่ระเบิดจนกลายเป็นเศษเนื้อไปด้วย

เฉียวเวยนึกหวาดผวา “ช่างเป็นกระบวนท่าที่ชั่วร้ายนัก!”

ฟู่เสวี่ยเยียนกวาดสายตามองนักรบมรณะที่ทยอยล้มลงกับพื้นเพราะสูญเสียเจ้านายด้วยสีหน้าเฉยชา แล้วบอกว่า “เรื่องที่พวกเราพาตัวฮองเฮามาคงจะจุดโทสะให้เขาอย่างสมบูรณ์แล้ว เขากำลังแสดงอำนาจข่มพวกเรา หากพวกเราไม่ส่งฮองเฮากลับไปโดยไว เขาคงจะใช้วิธีที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้”

เฉียวเวยตอบอย่างเย็นชา “ถ้าเขากล้าก็ลองดู ตอนนั้นอวิ๋นจูสังหารเขาไม่สำเร็จ ตอนนี้สังหารเขาก็ค่าเท่ากัน!”