เล่ม 1 ตอนที่ 383-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 383-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (2)

ฮ่องเต้โกรธไม่น้อย “เจ้าเด็กคนนี้ ชาติที่แล้วข้าติดค้างเขาไว้หรืออย่างไร!”

หลังจากจีหมิงซิวออกมาจากพระราชวัง เขาก็นั่งรถม้ากลับตระกูลจีทันที ข้าวของที่เละเทะในจวนถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว นักรบมรณะที่สูญเสียสตินึกคิดเหล่านั้นก็ถูกมัดแขนขาโยนไว้ในห้องเก็บของแล้ว ถึงอย่างนั้นตอนจีหมิงซิวเดินเข้าไปในห้องก็ยังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ หลงเหลืออยู่ในอากาศ

เขาสาวเท้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

เฉียวเวยฟุบอยู่บนโต๊ะรอเขา นางรอไปรอมาก็เผลอหลับ พอได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วขยี้ตา “ท่านกลับมาแล้วหรือ“

จีหมิงซิวไม่ทันได้ถอดชุดขุนนางก็นั่งลงข้างนาง แล้วจ้องมองนางนิ่งๆ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เป็นอะไร” เฉียวเวยอ้าปากหาว “หมิงอันบอกท่านหมดแล้วใช่หรือไม่”

“บอกแล้ว หนนี้นับว่าพวกเขาถูกบีบจนร้อนใจแล้ว แม้แต่ไพ่ลับที่ไม่ควรเผยออกมาก็เอาออกมาใช้” จีหมิงซิวมองไปมองมาก็อุ้มนางไปวางไว้บนเตียงอย่างอ่อนโยน

เฉียวเวยพาท่านน้ากลับมาเองโดยพลการ นางกลัวว่าเขาจะตำหนินางที่คิดการไม่รอบคอบเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขากลับพูดทำนองว่านางทำเรื่องดีเรื่องหนึ่ง เฉียวเวยหายง่วงทันตา “ไพ่ลับที่ไม่ควรเปิดเผยหรือ หมายความว่าอย่างไร”

จีหมิงซิวลูบจอนผมของนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่านักรบมรณะล้ำค่ามากเพียงใด“

“ล้ำค่ามากหรือ” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วบอกว่า “ทั่วทั้งจงหยวนรวมต้าเหลียงกับหนานฉู่แล้ว มีสือชีเพียงคนเดียว”

เฉียวเวยตาค้างทันที สือชีเป็นนักรบมรณะ…นั่นสิ สือชีเป็นนักรบมรณะนี่นา!

นางเคยได้ยินเยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกว่าสือชีเป็นเพียงคนเดียวที่รอดมาจากค่ายนักรบมรณะนับพันคน เมื่อครู่ฟู่เสวี่ยเยียนบอกกับนางว่าคนกลุ่มนั้นเป็นนักรบมรณะ แต่สมองของนางไม่ทันคิดโยงไปถึงสือชี

จีหมิงซิวเอ่ยเย้ยหยัน “อาวุธลับที่ล้ำค่าเช่นนี้ แต่เดิมย่อมซุกไว้ซ่อนไว้เพื่อที่จะใช้โจมตีตระกูลจีอย่างสายฟ้าแลบในช่วงเวลาที่คิดไม่ถึง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าจะลักพาตัวฮองเฮามา พวกเขาร้อนรนจึงส่งนักรบมรณะออกมาแล้ว”

การเคลื่อนไหวหนนี้นับว่าเปิดเผยจิตใจทะเยอทะยานของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ อยากกลับลำก็ไร้หนทางแล้ว

เฉียวเวยลูบปลายคางเอ่ยว่า “ในเมื่ออาวุธลับนี่สำคัญถึงเพียงนั้น เหตุใดไม่สะกดอารมณ์ ซ่อนพวกเขาไว้ต่อเล่า”

จีหมิงซิวตอบว่า “นี่บ่งบอกว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวสำคัญยิ่งกว่านักรบมรณะ สำคัญยิ่งกว่าการจัดการตระกูลจี”

เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว เหตุใดนางจึงสำคัญปานนั้น เพราะว่านางปลอมเป็นเจาหมิงได้หรือ”

จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “รายละเอียดคงต้องไปถามตัวพวกเขาเอง แต่สรุปก็คือเป้าหมายในการเดินทางมาหนนี้ของพวกเขาไม่ใช่แค่การมาไถ่ตัวฟู่เสวี่ยเยียนกับมู่ชิวหยางกลับไปอย่างแน่นอน”

เฉียวเวยพยักหน้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “มีเหตุผล จริงสิ สือชีก็เป็นนักรบมรณะ เป็นนักรบมรณะแบบเดียวกับนักรบมรณะของพวกเยี่ยหลัวหรือ”

จีหมิงซิวขานอืมตอบ “ถูกต้องแล้ว”

เฉียวเวยตะลึง “ถ้าพูดเช่นนี้สือชีก็เป็นคนเยี่ยหลัวเหมือนกันสิ”

จีหมิงซิวส่ายหน้า “ข้าพบสือชีในอาณาเขตของต้าเหลียง ยามนั้นมีนายพรานแจ้งทางการว่าระยะนี้หมู่บ้านของพวกเขาถูกสัตว์ร้ายจู่โจม พวกเขาจัดการสัตว์ร้ายไม่ได้จึงวอนขอทางการให้ช่วยมาปราบสัตว์ร้าย ยามนั้นข้าบังเอิญท่องเที่ยวอยู่ใกล้ๆ พอดีจึงเดินทางไปกับคนของทางการด้วย เมื่อไปถึงที่นั่นจึงเพิ่งรู้ว่าสัตว์ร้ายที่นายพรานว่าไม่ใช่สัตว์ แต่คือคนเป็นๆ แต่จะบอกว่าคนเป็นๆ ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะนอกจากหน้าตาที่ดูเหมือนมนุษย์ กับความคุ้นชินแบบของมนุษย์อีกเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่มีสตินึกคิดอย่างคนธรรมดาแต่อย่างใด เรื่องเดียวที่พวกเขาทำได้คือการเข่นฆ่า อีกทั้งยังมักจะเลือกใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุด…

…เริ่มแรกข้าไม่เข้าใจนักว่านี่เป็นเพราะเหตุใด ต่อมาหลังจากได้ฟังเรื่องราวในยุทธภพมากเข้าจึงทราบว่าความจริงก็คือนักรบมรณะเหล่านี้สูญเสียการควบคุมไปแล้ว เจ้านายของพวกเขาอาจพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันบางประการจนไม่อาจหวนกลับมาได้อีก พวกเขาจึงกลายเป็นฝูงมังกรไร้หัว ไม่ต่างอะไรกับผีดิบ…

…คนกลุ่มนั้นเก็บไว้ไม่ได้ ไม่รอให้พวกเราลงมือพวกเขาก็เข่นฆ่ากันเอง พวกเราเฝ้ามองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว ทหารของทางการไม่น้อยทนดูภาพอันโหดร้ายนั่นไม่ไหว อาเจียนเอาอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานออกมา ในตอนนั้นเองข้าก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งบุกฝ่าออกมาจากกลุ่มคน ทั่วทั้งตัวเขามีแต่เลือด มือถือดาบอยู่เล่มหนึ่ง เขาวิ่งมาจนถึงตรงหน้าข้าก่อนจะล้มดังตุ้บลงไปกับพื้น คนทั้งหมดล้วนเอาแต่เข่นฆ่ากัน มีเขาเพียงคนเดียวที่หนีออกมาจากที่แห่งนั้นอย่างไม่คิดชีวิต”

สมองของเฉียวเวยพยายามจินตนาการภาพเหตุการณ์วันนั้น เพียงชั่วพริบตานางก็รู้สึกขนลุก “เด็กคนนั้นก็คือสือชีหรือ”

จีหมิงซิวพยักหน้า “ข้าพาเขากลับมา รักษาเขาจนหายดี นับจากนั้นเขาจึงติดตามข้า”

มิน่าสือชีจึงไม่เหมือนกับคนอื่น นางคิดว่าเขาเกิดมาเป็นคนบกพร่องในการเข้าสังคม แต่ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นค่ายนักรบมรณะที่ทำให้คนกลายเป็นเช่นนี้

โชคดีที่เขายังรักษาสตินึกคิดของมนุษย์ที่มีชีวิตเอาไว้ได้อยู่ส่วนหนึ่ง

“ค่ายนับรบมรณะแห่งนั้น ผู้ใดเป็นคนสร้างขึ้นมา” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวตอบว่า “หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าให้คนไปสืบดู ภายในเขตต้าเหลียงสืบหาข่าวคราวใดไม่ได้ทั้งสิ้น ตอนนี้พอมาลองคิดดู น่าจะเป็นฝึมือของตำหนักราชครู”

เฉียวเวทุบกำปั้นลงบนเตียง “ฝึกคนจงหยวนมาจัดการคนจงหยวน ชั่วร้ายจริงๆ! นักรบมรณะพวกนั้น ท่านจะจัดการเช่นไร”

จีหมิงซิวยิ้มเย็นยะเยือก “ของขวัญที่ส่งมาถึงประตู ไม่รับไว้ก็น่าเสียดายแย่ เก็บไว้ก่อน วันนี้เขากล้าลงมือ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้เขานึกเสียใจที่มีมือสองข้างนี้!”