ตอนที่ 385-1 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (4)
การประลองฝีมือจึงกำหนดลงเช่นนี้
ทั่วทั้งราชสำนักฮือฮา สาเหตุที่พวกเขาฮือฮาไม่ใช่เพราะการประลองฝีมือที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะประโยคนั้นที่ลูกศิษย์เอกของราชครูบอกว่าบรรพบุรุษตระกูลจีกับบรรพบุรุษของราชครูเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ตระกูลจีไม่ใช่คนต้าเหลียงหรอกหรือ พวกเขาไปมีความสัมพันธ์กับเยี่ยหลัวตั้งแต่เมื่อใด
ไม่ว่าอย่างไรกระดาษก็ห่อไฟไม่มิด นับตั้งแต่กลับมาจากชนเผ่าลึกลับ จีหมิงซิวก็จงใจปิดบังตัวตนของตระกูลจีกับเฉียวเวยมาตลอด แต่เห็นชัดว่าราชครูรังเกียจที่น้ำในสระยังขุ่นไม่พอ เขาจึงพูดให้ความสัมพันธ์ดูคลุมเครือเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ตระกูลจีปัดความน่าจะเป็นที่พวกเขาอาจเป็นสายลับของเยี่ยหลัวออกจากตัวได้ จีหมิงซิวจึงทำได้เพียงเปิดเผยสายเลือดชนเผ่าถ่าน่าออกไป
เรื่องนี้ย่อมจุดคลื่นลูกใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของคนส่วนมาก ชนเผ่าลึกลับก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ในตำนาน ผู้ใดจะคิดว่าเขากลับเป็นคนของชนเผ่าลึกลับโบราณที่หายสาบสูญไปกับสายธารแห่งประวัติศาสตร์เมื่อเนิ่นนานมาแล้วกันเล่า
ในหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกไว้หรือว่าชนเผ่าถ่าน่าถูกราชวงศ์เยี่ยหลัวฆ่าล้างบางไปจนหมดสิ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าในต้าเหลียงจะยังมีสายเลือดของพวกเขาเหลืออยู่หนึ่งคน!
มิน่าตระกูลจีถึงร้ายกาจถึงเพียงนั้น ที่แท้ก็เป็นทายาทของโหราจารย์นี่เอง
เมื่อข่าวแพร่ออกไป คนที่อิจฉาตาร้อนก็มีไม่น้อย แต่มันก็ตัดความเป็นไปได้ที่ตระกูลจีจะสมคบกับคนเยี่ยหลัวได้อย่างหมดจด เพราะไม่ว่าอย่างไรหากสืบย้อนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชนเผ่าถ่าน่าก็เป็นชนเผ่าที่ถูกเยี่ยหลัวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ความแค้นล้ำลึกดุจทะเลเลือดเช่นนี้ ต่อให้เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแล้วอย่างไร ไม่สังหารอีกฝ่ายให้ตายก็นับว่าไม่เลวแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นชนเผ่าโบราณที่เก่งกาจเช่นนั้นเป็นคนของต้าเหลียงของพวกเขา คิดๆ ดูแล้วความจริงก็สมควรภาคภูมิใจอยู่หน่อยๆ!
แน่นอนว่าก้อนหินร่วงลงในน้ำ ไม่ว่าอย่างไรย่อมต้องเกิดระลอกคลื่น ตำหนักราชครูเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกมาไปเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อให้ราชสำนักกับชาวบ้านชาวเมืองวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น แท้จริงแล้วพวกเขามุ่งหวังสิ่งใดตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึง พูดถึงการประลองฝีมือก่อน
หลังจากต้าเหลียงกับเยี่ยหลัวหารือร่วมกันก็กำหนดให้การประลองฝีมือแบ่งออกเป็นสามรอบ รอบที่หนึ่งคือการประลองยุทธ์
การประลองยุทธ์เป็นหัวข้อประลองที่ฮ่องเต้เสนอขึ้นมาเอง ในสายตาของฮ่องเต้ ด้วยความสามารถของสือชีกับอาจารย์ตาฮั่วยอดฝีมือแห่งชนเผ่าลึกลับ ย่อมปราบองครักษ์เผ่าเยี่ยหลัวได้อย่างราบคาบ ไหนเลยเขาจะรู้ว่าผู้อื่นมีนักรบมรณะที่ฆ่าไม่ตายอยู่
ดังนั้นหากอัครมหาเสนาบดีพ่ายแพ้ขึ้นมา ต้องบอกเลยว่าเพราะถูกฮ่องเต้วางยาแท้ๆ
ต้าเหลียงเป็นฝ่ายกำหนดหัวข้อการประลองรอบแรกแล้ว เยี่ยหลัวย่อมมีสิทธิกำหนดการประลองรอบต่อไป ส่วนการประลองรอบที่สามเพื่อความยุติธรรม เผ่าซยงหนีว์ที่เป็นฝ่ายที่สามจึงได้สิทธินั้นไปครอบครอง
ทั้งสามฝ่ายต่างส่งตัวแทนออกมาจับฉลาก จนได้ผลว่าการประลองรอบแรกคือการประลองยุทธ์
ราชครูทำมือส่งสัญญาณ
ศิษย์เอกของเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ของข้าตกลง แต่อาจารย์ของข้ายังบอกอีกว่า กฎต้องให้ฝ่ายเราเป็นคนกำหนด เช่นเดียวกันหากผลัดถึงรอบที่พวกเราเป็นคนเสนอหัวข้อการประลอง พวกเจ้าก็เป็นฝ่ายกำหนดกฎ เช่นนี้จึงจะยุติธรรมอย่างแท้จริง อัครมหาเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร”
จีหมิงซิวย่อมไม่ถูกคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายข่มขวัญ เขาตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “แล้วแต่เจ้า”
ตำหนักราชครูกำหนดกฎมาว่าคนผู้หนึ่งต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สามคนติดกันจึงนับว่าชนะการประลองรอบนี้
กฎข้อนี้ก็ไม่นับว่าเกินไป การประลองฝีมือในยุทธภพในอดีต คนผู้หนึ่งท้าประลองกับคนแปดคนสิบคนก็ไม่ใช่ปัญหา หากพวกเฉียวเวยไม่เคยเห็นนักรบมรณะของตำหนักราชครู ก็คงคิดว่าพวกเขาต้องชนะแน่ แต่เมื่อนึกถึงเจ้าพวกกึ่งคนกึ่งผีพวกนั้น พวกนางก็รู้สึกว่าศึกที่กำลังจะมาถึงคงเป็นศึกที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ณ บ้านชิงเหลียน หลิวเกอร์มือซ้ายอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวก้อนหนึ่ง มือขวาอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวอีกก้อนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงโถงทางเดินอย่างเป็นเด็กดี ในลานหลังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา จิ่งอวิ๋นกับองค์ชายสามกำลังแปรงขนให้กับอินทรีทอง ส่วนบนชิงช้าที่อยู่ด้านข้าง วั่งซูกับจูเอ๋อร์นั่งอยู่เรียงกัน ฮองเฮาเยี่ยหลัวกำลังหวีผมถักเปียให้พวกนางอย่างอดทน
วันเวลาอันสงบสุขก็ผ่านไปเช่นนี้
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยนั่งอยู่ในห้องที่หน้าต่างเปิดโล่ง คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉียวเวยคือเจ้าซื่อบื้อ ดวงตากลมโตกับดวงตาคู่เล็กถลึงตาใส่กัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองทั้งสองคน แล้วหันไปมองอาจารย์ตาฮั่วกับฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ด้านข้าง “ข้าว่าพวกเจ้าเลิกเงียบกันสักทีเถิด คุยกันสิ! ว่าจะแก้ไขอย่างไรดี อย่าเอาแต่นั่งนิ่งไม่ทำอะไร ถึงเวลาหากว่า…”
“หุบปาก!”
จีหมิงซิว เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักพูดเป็นเสียงเดียวกัน
หลังจากเคยลิ้มลองรสชาติความปากซวยของเจ้าหมอนี่มาแล้ว พวกเขาย่อมไม่กล้าปล่อยให้เจ้าหมอนี่พูดจาส่งเดชอะไรออกมาอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหุบปากอย่างฮัดฮัด
ฟู่เสวี่ยเยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยปากว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะส่งนักรบมรณะออกมา”
ทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากปล่อยอาวุธลับที่ร้ายกาจเช่นนั้นไว้ไม่ใช้ย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ
แต่คนกลุ่มนั้นเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง จัดการยากเกินไปแล้วจริงๆ พวกเขาไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่กลับถูกทำลาย เป็นเหมือนกับศพ ผู้ใดจะจัดการได้เล่า แล้วยังต้องสู้สามคนติด กำลังกายของผู้ใดจะทนได้ขนาดนั้น!
“นอกจากนั้น…” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสริม “จากที่ข้ารู้จักตำหนักราชครูมา นักรบมรณะที่ใช้มาข่มขู่พวกเราเมื่อครั้งก่อนพวกนั้นเกรงว่าคงเป็นระดับต่ำสุดเท่านั้น รอถึงวันประลองจริง คนที่ถูกส่งออกมาคงจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าพวกนั้นหลายเท่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าดำทะมึนในพริบตา “ไม่กระมัง เจ้าพวกนั้นเมื่อหนก่อนก็จัดการยากพอแล้ว!ยังจะร้ายกาจกว่านั้นอีกหรือ ผู้ใดจะสู้ไหวกันเล่า”
นิ้วชี้ของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ บนผิวโต๊ะสองสามหน “ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนมีจุดอ่อน ขอเพียงหาจุดอ่อนของพวกเขาพบ ศัตรูแข็งแกร่งอีกเพียงใดก็กลับกลายเป็นอ่อนแอไม่ทนสักการโจมตี”
ใต้เท้าเจ้าสำนักคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาพลันเป็นประกายระยิบระยับ “ข้ารู้แล้ว! อินทรีทองตัดการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขากับเจ้านายได้!”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “นักรบมรณะระดับล่างจำเป็นต้องใช้เจ้านายควบคุมอยู่ตลอดเวลา แต่ข้าดูแล้วสือชีไม่เห็นจำเป็นต้องให้ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีออกคำสั่งเขา”
คนทั้งห้องต่างทราบเรื่องที่สือชีเป็นนักรบมรณะแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปากอย่างกลัดกลุ้ม “เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ดี หรือว่า…รอบแรกจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขาหรือ”
“ชาดโลหิตหงส์” อาจารย์ตาฮั่วที่เงียบอยู่ตลอดเอ่ยปาก
เฉียวเวยลูบคาง “ข้ารู้จักชาด มันเป็นยาชนิดหนึ่งที่กลั่นปรอทออกมาได้ แต่ชาดโลหิตหงส์…มันคือสิ่งใดกัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืดหน้าอกเล็กๆ อย่างหยิ่งยโส “เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ ชาดก็แบ่งลำดับสูงต่ำได้เหมือนกัน ชาดธรรมดาที่ซื้อหาได้ตามร้านเครื่องประทินโฉมทั่วไปเป็นชาดชั้นสาม ส่วนชาดที่ใช้กันในร้านยาอย่างเช่นหอหลิงจือของพวกเจ้าค่อนข้างดีหน่อยเป็นชาดชั้นสอง ส่วนชาดชั้นดีที่สุดที่ขายกันอยู่ในตลาดเป็นชาดชั้นหนึ่งมักจะถูกนำไปกลั่นโอสถให้เชื้อพระวงศ์ ส่วนชาดโลหิตหงส์ที่ว่านี้ แทบจะเป็นสิ่งของที่มีแต่ในตำนาน ตอนอยู่บนเกาะนิรนามข้าเคยได้ยินพวกตาแก่พวกนั้นเอ่ยถึงอยู่สองสามครั้ง ได้ยินว่าป้องกันสิ่งชั่วร้ายขับไล่ภูตผีได้ แล้วยังเพิ่มพลังปราณได้อีกด้วย”
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “พักนี้ไม่ได้สระผมหรืออย่างไร”
“ทำไมหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างไม่ใส่ใจ
เฉียวเวยยิ้ม “น้ำไม่เข้าสมองแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าดำทะมึนในพริบตา!
ล้อเล่นพอแล้ว เฉียวเวยก็หันไปมองอาจารย์ตาฮั่ว “อาจารย์ตา มีของสิ่งนี้แล้วจะจัดการเจ้าพวกนั้นได้หรือ”
“อืม” อาจารย์ตาฮั่วตอบรับ
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียว “จัดการ…อย่างไรได้บ้าง”
อาจารย์ตาฮั่ว “ฆ่าให้ตาย”
ถึงกับสังหารนักรบมรณะได้เชียวหรือ ถ้าเช่นนั้นต่อให้ต้องปีนภูเขาคมดาบลุยทะเลเพลิงก็ต้องเอามาไว้ในมือให้จงได้ เงื่อนไขก่อนหน้าก็คือหากมันมีอยู่จริง แล้วก็มีพอให้ใช้ตอนถึงเวลาจริงๆ
จีหมิงซิวเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “สือชีก็ดูไม่ชอบชาดจริงๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำร้ายเขาได้”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือ สิ่งที่อยู่ในตำนานชิ้นนี้ไม่รู้ว่าจะมีผลน่ามหัศจรรย์กับนักรบมรณะถึงเพียงนั้นจริงหรือไม่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “ถึงเวลาเอาสือชีมาทดลองก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวตวัดสาตาเย็นชามาทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหดคออย่างหวาดผวา เขาพูดผิดอีกแล้วหรือ
“ก่อนอื่นคิดหาวิธีหาสิ่งนี้มาให้ได้ก่อนเถิด พอจะหามาได้หรือไม่” เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว
จีหมิงซิวถอนหายใจเหมือนจนปัญญาเล็กน้อย “ข้ารู้มาว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งเคยมีมันอยู่ ตอนนี้คงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว”
…