เล่ม 1 ตอนที่ 385-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (4)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 385-2 การจู่โจมยามราตรี รวบจับ (4)

หนึ่งเค่อหลังจากนั้นเฉียวเวย อาจารย์ตาฮั่ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็ก้าวขึ้นรถม้าเดินทางออกจากจวน แผนการเดิมไม่มีเจ้าซื่อบื้อไปด้วย แต่เจ้าหมอนี่ไม่เคยเห็นสถานที่มหัศจรรย์เช่นนั้นจึงหน้าหนาจะตามมาด้วยให้ได้ ด้วยความจนปัญญาจึงได้แต่พาเขาไปด้วยกัน

เจ้าหมอนี่ตอนไม่มีความคิดพิเรนทร์ก็ไม่ได้ทำให้คนเหนื่อยใจเท่าใดนัก

เฉียวเวยปลดม่านลง “พวกเราจะไปที่ใดกันแน่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้ม “ถึงแล้ว ท่านก็รู้เอง”

เฉียวเวยเหล่ตามองเขา “ทำตัวลึกลับไปได้ จะว่าไปแล้วเหตุใดหมิงซิวจึงไม่มาด้วยกัน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เขาไม่กล้ามาหรอก หากมาชาดนี่มีก็เหมือนไม่มีแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยไม่เข้าใจ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบยิ้มๆ “ท่านน่าจะทราบว่าใต้บัญชาของเจ้าเด็กคนนั้นมีคนเจ็ดคนคอยตรากตรำทำงานรับใช้ใช่หรือไม่”

เฉียวเวยมองสำรวจเขา ตรากตรำทำงานรับใช้…พูดเช่นนี้เหมาะสมจริงหรือ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้ม “ท่านไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดจึงเคยพบพวกเราแค่หกคน อีกคนหนึ่งไม่เคยโผล่หน้ามาสักที แม้แต่เอ่ยถึง พวกเราก็ไม่ค่อยจะเอ่ยถึงเขาเท่าใดนัก”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ว่านางไม่เคยนึกสงสัย ตอนเตรียมผลสองภพให้ทั้งเจ็ดคนตอนอยู่ชนเผ่าลึกลับ นางยังตั้งใจเก็บผลหนึ่งไว้ให้คนที่เจ็ดผู้ไม่เคยพบหน้าคนนั้นอยู่เลย

สาเหตุที่นางไม่เคยถามว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ประการที่หนึ่งเพราะต่างฝ่ายต่างไม่คุ้นเคยกัน นางจึงไม่สนใจ ประการที่สองก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาที่สมควรพบหน้าย่อมได้พบหน้ากันเอง เหมือนอย่างพวกเขาทั้งหกคน นางก็ไม่เคยถามถึงมาก่อน แต่สุดท้ายก็รู้จักทุกคนแล้วไม่ใช่หรือ

“คนที่พวกเราจะไปพบวันนี้…คงไม่ใช่เขาหรอกกระมัง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “ถูกแล้ว เขานั่นแหละ”

เฉียวเวยถามอย่างฉงน “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงบอกว่า…ถ้าหมิงซิวมาด้วย ต่อให้มีชาดอยู่ก็เหมือนไม่มีเล่า หรือเขาไม่คิดจะมอบของให้หมิงซิวหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “เฮ้อ ท่านคิดว่าใครๆ ก็ยินยอมพร้อมใจติดตามเจ้าเด็กคนนั้นเหมือนพวกเราหกคนหรือ”

เฉียวเวยตวัดตามองเขาอย่างเย็นชา “พวกเจ้ายินยอมพร้อมใจหรือ เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าพูดออกมาจากใจจริง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกมือขึ้นแตะหัวใจของตนเอง “ก็ได้ พวกเราถูกบังคับ”

เจ้าเด็กคนนั้นใส่พิษไสยเวทในร่างของพวกเขา ชีวิตของพวกเราดันผูกติดอยู่กับตัวเจ้าเด็กนั่น แล้วจะไม่ขายชีวิตให้เจ้าเด็กคนนั้นได้หรือ

ทว่าถึงแม้ทุกคนจะถูกบีบบังคับ แต่อีกคนหนึ่งนั่นถูกบังคับมาเพราะความผิดพลาด

ในตอนนั้นคนที่จีหมิงซิวต้องการให้ยอมมาสวามิภักดิ์ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนในยุทธภพอีกคนหนึ่ง แต่จนปัญญาที่วางยาผิดคน แม้พวกเขาหกคนก็นับว่าถูกบังคับให้สาบานเลือดเหมือนกัน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนติดหนี้ชีวิตจีหมิงซิวอยู่จริง ดังนั้นการจะมอบชีวิตให้เขาก็ไม่นับว่าถูกเอาเปรียบอะไร แต่เจ้าหมอนั่นกับจีหมิงซิวไม่เคยเกี่ยวข้องกันสักนิด จู่ๆ จีหมิงซิวกลับวางยาพิษในชาของผู้อื่นเช่นนี้ ผู้อื่นจะกล้ำกลืนโทสะหนนี้ได้หรือ

ยิ่งไปกว่านั้นพิษไสยเวทชนิดนี้ไม่ใช่ว่าบอกจะแก้ก็แก้ได้ จีหมิงซิวในตอนนี้อาจจะทำได้ แต่จีหมิงซิวในตอนนั้นไม่มีความสามารถนั้นอยู่อย่างแน่นอน

คนผู้นั้นไล่ล่าจีหมิงซิว จะลากหมิงซิวให้ลาโลกไปด้วยกันให้จงได้

ต่อมาไม่รู้ว่าจีหมิงซิวใช้วิธีการใดทำให้เขาสงบ สุดท้ายเขาก็เลิกก่อเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ทิ้งถ้อยคำมาดร้ายไว้ บอกว่าชีวิตนี้อย่าหวังจะให้เขาทำงานอะไรให้จีหมิงซิว

เฉียวเวยกลั้นขำไม่ไหวหันไปมองเจ้าซื่อบื้อแล้วบอกว่า “สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ”

ซื่อบื้อจริง!

หลังจากนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กำชับเรื่องที่ต้องระวังอีกเล็กน้อย ไม่นานรถม้าก็จอดลงนอกตรอกเส้นน้อยที่คึกคักแห่งหนึ่ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำชับว่า “ถึงแล้ว ข้าไม่เข้าไปด้วย เขารู้จักข้า หากเห็นข้าจะต้องรู้แน่นอนว่านายน้อยมาซื้อของ เขาไม่มีทางขายให้ จำเรื่องที่ข้าบอกท่านให้ดี อย่าเชื่อผู้ใดทั้งสิ้น แล้วก็อย่าไปตีสนิทกับผู้ใด ของมาถึงมือแล้วก็รีบออกมาเสีย”

เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า “เข้าใจแล้ว ข้าก็ใช้ชีวิตอยู่บนถนนมาจนโตเหมือนกัน ลูกไม้สกปรกอะไรไม่เคยพบเจอบ้าง เจ้าวางใจเถิด”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลอกตาใส่นาง ใช้ชีวิตบนถนนมาจนโตที่ไหนกัน ท่านโตมาในจวนหลังใหญ่ของตระกูลเฉียวไม่ใช่หรือ

เพื่อซ่อนตัวตน เฉียวเวยจึงเปลี่ยนมาแต่งตัวอย่างสาวใช้ แปลงโฉมจนกลายเป็นใบหน้าของปี้เอ๋อร์ อาจารย์ตาฮั่วเป็นนายท่าน ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นหลานชายของเขา

ทั้งสามคนเดินผ่านตรอกอันคึกคัก แล้วเลี้ยวขวามาถึงเรือนอี๋หงที่สภาพไม่น่าดูอย่างยิ่งหลังหนึ่ง คนที่พาสตรีมายังที่แห่งนี้ล้วนมิได้มาเพื่อดื่มสุราบุปผา

แม่เล้ายิ้มตาหยีเข้ามาต้อนรับ พอเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าตาสง่างาม หัวใจก็หวามไหวเป็นระลอก ยิ้มกว้างจนเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าร่วงกราวลงมา “โอ๊ะ แขกสูงศักดิ์จากที่ใดกันเจ้าคะ เหตุไฉนข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักรังเกียจนางแทบสำลัก แต่ก็ยังปั้นหน้าอย่างจีหมิงซิว เอ่ยตอบอย่างเฉยชาว่า “มีของดีๆ หรือไม่”

แม่เหล้าได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตนเอง นางยิ้มแย้มนำทางพวกเขาไปยังห้องหนึ่ง แล้วกดกลไกที่อยู่บนกำแพง พื้นแยกออกเป็นช่องช่องหนึ่งทันที “ลูกค้าทั้งหลาย เชิญตามข้ามา”

เฉียวเวยส่งสายตาให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยว่า “เจ้าลงไปก่อน”

แม่เล้ายิ้มหวาน เดินกรีดกรายลงไปเบื้องล่าง

พวกเฉียวเวยสามคนเดินตามลงไป

ที่นี่เป็นอุโมงค์ทางเดินเส้นหนึ่ง รอบด้านมืดสนิท ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าใด จู่ๆ เบื้องหน้าก็มีแสงสว่างจุดเล็กๆ ปรากฏขึ้น

แม่เล้าเปิดประตูศิลา เสียงเอะอะโถมเข้ามาใส่ใบหน้า นางคลี่ยิ้มบอกว่า “ลูกค้าทั้งหลาย เชิญเจ้าค่ะ ข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

อาจารย์ตาฮั่วเดินนำหน้าเข้าไปก่อน เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักตามมาติดๆ อยู่ด้านหลังเขา

พวกเขาเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่คึกคักอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่เหมือนกับพวกเขารอคอยอยู่ในห้องโถงใหญ่ก่อนแล้ว ในหมู่คนเหล่านี้มีคนที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ธรรมดา แต่บางคนก็แต่งตัวซอมซ่อ แต่คำโบราณกล่าวไว้ดีนัก คนเราดูจากหน้าตาไม่ได้ ‘คนจน’ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสินค้าดีๆ ‘คนรวย’ ก็ไม่แน่ว่าจะมีเงินจริงๆ

ทั้งสามคนพยายามทำให้พวกเขาดูไร้ตัวตน แต่ไม่ว่าจะทำตัวเลือนรางอย่างไร ดวงหน้าหล่อเหลาที่แม้แต่หน้ากากก็ปิดบังไม่อยู่ของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ดึงดูดสายตาผู้คนมามากเกินไปอยู่ดี ลูกค้าทั้งหลายทยอยมองมาทางด้านนี้ โชคดีที่เวลานี้ประตูใหญ่ด้านในก็เปิดออก สตรีผู้แต่งกายอย่างหญิงรับใช้หลายคนนำทางคนทั้งหลายเข้าไปในห้องโถงด้านใน

เฉียวเวยเพิ่งเคยมาประมูลของในสถานที่เช่นนี้เป็นครั้งแรก ได้ยินว่าของที่ประมูลในนี้ส่วนใหญ่ได้มาอย่างไม่ขาวสะอาด ไม่กล้าเปิดเผยโจ่งแจ้งเพราะไม่ต้องการให้ถูกทางการจับได้ แต่ข้าวของในนี้ล้วนเป็นของจริง มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้คนสารพัดแบบเช่นนี้แห่แหนมาเยือน

พวกเขาหาที่นั่งที่อยู่ตรงมุมสุดแล้วนั่งลง ที่ตรงนี้แสงไฟส่องมาไม่ถึง เหมาะจะอำพรางตัวที่สุด ทั้งยังสังเกตสถานการณ์รอบด้านได้อีกด้วย

การประมูลเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ถูกนำออกมาแสดงชิ้นแรกสุดคือปิ่นหงส์หางห้าเส้นที่พระสนมในรัชสมัยก่อนคนหนึ่งเคยใช้ ราคาเปิดประมูลที่ยี่สิบตำลึง

ข้าวของของพระสนมรัชสมัยก่อนหายากตรงไหนกัน ในห้องลับของตระกูลจีมีแม้แต่สมบัติสมัยราชวงศ์เทียนฉี่ด้วยซ้ำ

ใจเฉียวเวยพะวงถึงแต่ชาด จึงไม่ได้สนใจข้าวของธรรมดาเหล่านี้สักเท่าใด

ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ชอบเช่นกัน ของโบราณอะไรพวกนี้ ไม่ใช่ของที่ผู้อื่นเคยใช้แล้วหรอกหรือ ของที่เคยถูกใช้มาแล้วจะมีอะไรดี หากเขาจะให้ฟู่เสวี่ยเยียนก็ต้องซื้อของใหม่เท่านั้น!

ก่อนหน้าเดินทางมาพวกเขาไม่แน่ใจว่าวันนี้จะพบชาดชนิดนั้นหรือไม่ ไม่อย่างนั้นจะพูดว่าเสี่ยงดวงได้อย่างไร

แต่ดวงของพวกเขาดูเหมือนจะไม่เลวทีเดียว หลังจากมีของออกมาประมูลสิบกว่าชิ้น หญิงรับใช้ก็ถือกล่องไม้ท้อที่ดูโบราณแต่หรูหราใบหนึ่งออกมา นางยิ้มน้อยๆ มองทุกคนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ของชิ้นต่อไปที่จะประมูลเป็นยาชนิดหนึ่ง รักษาโรคได้ ปรุงโอสถได้ แล้วยังยกระดับลมปราณได้อีกด้วย”

นางพูดพลางเปิดกล่องออกช้าๆ แสงสีแดงสุกใสเล็ดลอดออกมา ราวกับอัญมณีสีแดงกองรวมกันเป็นทะเลสาบ ส่องดวงหน้าของหญิงรับใช้จนกลายเป็นสีแดง

ทุกคนพากันชะเง้อคอจนยืดยาว

หญิงรับใช้หยิบก้อนชาดสีแดงใสแวววาวก้อนหนึ่งออกมาอย่างเปิดเผย

เฉียวเวยศึกษาเรื่องชาดมาไม่มาก แต่ฟังจากเสียงสูดหายใจตกตะลึงรอบด้านแล้ว สิ่งนี้น่าจะเป็นของที่พวกเขาหาอยู่

ของสิ่งนี้แม้จะบอกว่าเป็นของชั้นเลิศ แต่คนที่ต้องการมันกลับมีไม่มาก อย่างไรเสียมันก็เป็นยาชนิดหนึ่ง จะรักษาโรคก็ดี เพิ่มลมปราณก็ดี ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ใช้แทนกันได้ ทั้งยังไม่แพงอักโขขนาดนี้

สรรพคุณที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดของมันน่าจะเป็นการสยบนักรบมรณะ แต่นักรบมรณะไม่ใช่ว่าจะหาเจอได้ตามถนนทั่วไป ผู้ใดจะทุ่มเงินไปเปล่าๆ เพื่อป้องกันสิ่งที่ชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ได้พบเจอกันเล่า

แต่หากไม่ขาดแคลนเงินแล้วคิดจะเก็บสะสมเป็นของล้ำค่า ก็ถือว่ามีหน้ามีตาพอสมควร

เพียงครู่เดียวราคาก็พุ่งจากยี่สิบตำลึงไปถึงสองร้อยตำลึง

เงินสองร้อยคำลึงที่เมืองหลวงทำอันใดได้ ปิ่นทองเล่มเดียวยังซื้อไม่ได้เลย

“สี่ร้อยตำลึง!”

“สี่ร้อยห้าสิบตำลึง!”

“ห้าร้อยตำลึง!”

หญิงรับใช้ถามขึ้นว่า “มีสูงกว่าห้าร้อยตำลึงหรือไม่ หากไม่มี ชาดก้อนนี้จะเป็นของคุณชายท่านนี้แล้ว”

“หกร้อยตำลึง” เฉียวเวยขานราคา

ล้างผลาญ ล้างผลาญเงินตระกูลจริงแท้! หากไม่ใช่ว่าพวกเขารีบใช้ชาดล่ะก็ ตีนางให้ตายนางก็ไม่มีวันจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อซื้อหินผุๆ ก้อนหนึ่ง

“หนึ่งพันตำลึง”

อีกมุมหนึ่ง เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งขานราคา

เฉียวเวยสูดลมหายใจอย่างตกตะลึง ขึ้นราคาทีเดียวตั้งสี่ร้อยตำลึง มันจะเกินไปแล้วหรือไม่ การที่นางต้องทุ่มเงินเสียเปล่ากับสิ่งนี้ยังพอเข้าใจได้ แต่เหตุไฉนยังมีผู้อื่นคิดจะทุ่มเงินเสียเปล่ากับสิ่งนี้ด้วยเล่า

“สองพันตำลึง”

เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งขานราคาต่อ

เฉียวเวยอยากจะเป็นลมคาเก้าอี้ เงินของพวกเจ้าร่วงลงมาจากฟ้าหรืออย่างไรกัน!

“คุณชาย ท่านแน่ใจหรือว่าสองพันตำลึง” แม้แต่หญิงรับใช้ก็รู้สึกประหลาดใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหินก้อนนี้ก็มีราคาไม่ถึงขนาดนั้น…

“แน่ใจ” ชายหนุ่มตอบ

เฉียวเวยตะลึงงัน หากนางฟังไม่ผิด เสียงนี้มัน…