ตอนที่ 386-1 ขยี้ตำหนักราชครู ชัยชนะ!
เขามาที่นี่ได้อย่างไร แล้วคิดจะซื้อชาดไปทำอะไร
ของสิ่งนี้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นที่แย่งชิงกันขนาดนี้สักหน่อย!
ก็เพราะว่าไม่ได้มีคนแย่งกันขนาดนั้น ราคาจึงไม่สูง ดังนั้นคนที่มองหามันจึงไม่มาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้จีหมิงซิวคิดว่าผ่านมานานหลายปีป่านนี้แล้ว มันก็อาจจะยังขายไม่หมด
ระหว่างที่เฉียวเวยขบคิด เสียงแก่ชราเสียงนั้นก็ขานราคาอีกหน “สามพันตำลึง!”
คุณพระช่วย!
ผู้อื่นเพิ่มราคาทีละห้าสิบหนึ่งร้อย พวกเจ้าสองคนเพิ่มกันครั้งละหนึ่งพัน!
“มากกว่าสามพันตำลึงยังมีอีกหรือไม่” หญิงรับใช้ถาม
“สามพัน…” เฉียวเวยตะเบ็งเสียงขึ้นมา ศีรษะคนมากมายคล้ายเงาดำทะมึนมองมาที่มุมด้านนี้ เฉียวเวยตีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างขึงขังว่า “สามพันหนึ่งร้อยตำลึง”
หลังจากราคาเพิ่มทีละหนึ่งพันตำลึงมาสองหน การเพิ่มราคาหนึ่งร้อยตำลึงหนนี้เห็นชัดว่าทำให้คนดูแคลนอยู่เล็กน้อย ผู้คนส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
เฉียวเวยถลึงตาหนวดกระดิก ถ้าหากว่านางมีหนวดล่ะก็นะ
“สี่พันตำลึง” ชายหนุ่มขานราคาอีกหน
“ห้าพันตำลึง” เสียงแก่ชราเสียงนั้นดังขึ้นอีกหน
เฉียวเวยรู้สึกว่าหลังจากนี้บางทีอาจจะไม่มีเรื่องของนางแล้ว ความเป็นจริงพิสูจน์ว่านางคิดถูก
ทั้งสองคนเพิ่มราคาครั้งละหนึ่งพันๆ จนไปถึงหนึ่งหมื่นตำลึง ลูกค้าทั้งหมดภายในห้องโถงด้านในเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
ชาดดีอีกเท่าใด มันก็เป็นเพียงชาดไม่ใช่หรือ มันจะกลายเป็นลูกท้อบนสวรรค์ได้หรือไร ของที่หรูหราแต่ไร้ประโยชน์ที่สุดก็คือมัน ต่อให้ไม่ขาดแคลนเงิน แต่จะทุ่มเงินเสียเปล่าไม่ได้สิ!
“ผู้ใดกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักพึมพำ
“ชางจิว” อาจารย์ตาฮั่วตอบ
เจ้าซื่อบื้อถามถึงบุรุษหนุ่มที่จะซื้อชาด แต่อาจารย์ตาฮั่วกลับตอบชื่อบุรุษอีกคนหนึ่งออกมา
เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักใช่ว่าจะไม่คุ้นกับนามนี้ บุรุษที่ลักพาตัวจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ไปเมื่อตอนนั้นก็คือเขานี่เอง คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะมาพบเขาที่นี่ บังเอิญหรือ เหตุไฉนเขาจึงต้องการชาด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนเยี่ยหลัว เหตุใดจึงรู้จักลานประมูลใต้ดินของต้าเหลียงด้วย
ไม่ว่าพวกเฉียวเวยจะสงสัยอะไร เสียงขานราคาของชางจิวก็ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไร้หนทางแล้ว พวกเขาต้องได้ชาดมาไว้ในมือให้ได้ แต่ชางจิวดูเหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาชาดมาให้ได้โดยไม่เสียดายสิ่งที่ต้องจ่าย เฉียวเวยเป็นแม่ค้า แม่ค้าไม่ทำการค้าที่ขาดทุน แม้ชาดจะสำคัญกว่าเงิน แต่หากจ่ายเงินน้อยลงหน่อยได้ ผู้ใดจะไม่ทำเล่า
“อาจารย์ตาฮั่ว ท่านกับหมิงเยี่ยรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน ไม่ต้องขานราคา ข้าจะไปทางโน้นสักหน่อย”
อาจารย์ตาฮั่วพยักหน้า
ใต้เท้าเจ้าสำนักคว้าแขนเสื้อของนาง “เจ้าจะไปที่ใด ข้าไปด้วย”
เฉียวเวยกดเขากลับลงไปนั่ง “รอให้หย่านมก่อนเถิด เด็กน้อย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักชอบพูดว่าองค์ชายสามยังไม่หย่านม นางดูแล้วเจ้าซื่อบื้อนี่ต่างหากที่ยังไม่หย่านม วันๆ ตามติดนางทั้งวัน ถ้าทำได้คงแปะตัวเองติดอยู่บนตัวนางแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าบูด
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน จากนั้นอ้อมเก้าอี้สองแถวด้านขวาสุดไปอย่างเงียบเชียบ ตรงนั้นบังเอิญมีเสาต้นหนึ่งบังอยู่พอดีจึงซ่อนตัวได้ หากมิใช่ว่าเฉียวเวยคุ้นเคยกับเสียงของคนผู้นี้มากจริงๆ นางคงไม่มีโอกาสรู้ว่าอีกฝ่ายมา
คนผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายของคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้จึงขมวดคิ้วเข้ม หันกลับมาถามอย่างเย็นชา “ผู้ใด
“ท่านอ๋อง ข้าเอง” เฉียวเวยกระซิบเบาๆ
ยิ่นอ๋องตะลึง
เฉียวเวยถอดหน้ากากบนใบหน้าออก
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเดิม “เหตุใดจึงเป็นเจ้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้วตอบว่า “คำพูดนี้ข้าควรถามท่านจึงจะถูก ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แห่งแว่นแคว้น เหตุไฉนจึงเดินทางมาเยือนสถานที่โกโรโกโสเช่นนี้”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “ระหว่างข้ากับสตรีนางหนึ่ง ผู้ใดมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้แล้วน่าแปลกกว่ากัน”
ก็ได้ เจ้าชนะ
เฉียวเวยกระแอม กดเสียงเบาเอ่ยว่า “ไม่เห็นต้องประชดกันเช่นนั้น ข้าไม่ได้ติดเงินท่านเสียหน่อย! ข้าจะถามท่านว่าท่านต้องการชาดเพราะเหตุใด”
“เกี่ยวอันใดกับเจ้าเล่า” ยิ่นอ๋องจ้องนางนิ่ง “เจ้าก็ต้องการหรือ”
เฉียวเวยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ใช่แล้ว ข้าก็อยากได้เหมือนกัน”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นสตรีนางหนึ่ง จะต้องการของสิ่งนั้นไปทำอะไร”
เฉียวเวยไม่ตอบคำเขา แต่ย้อนถามว่า “แล้วท่านเล่า ท่านต้องการมันไปทำอะไร”
ของที่เดิมทีผู้คนไม่เคยแย่งชิงกัน แต่นาง ชางจิวกับยิ่นอ๋องกลับวิ่งมาแย่งชิงมันพร้อมกันในวันเดียวกัน หากไม่รู้คงคิดว่าพวกเขานัดกันมา
ดูแปลกอย่างยิ่งจริงๆ
ยิ่นอ๋องกลับไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น
ไม่พูดก็ไม่พูด นางไม่ได้มาสืบข่าวเสียหน่อย
เฉียวเวยมองฝั่งขวาอย่างไวๆ “เห็นคนผู้นั้นที่ขานราคาแข่งกับท่านหรือไม่”
“เจ้ารู้จักหรือ” ยิ่นอ๋องถามด้วยสัญชาตญาณ
เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “เขาเคยจับตัวลูกชายข้าไป ข้ากับเขาไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า ก่อนจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ใด ข้าเคยคิดจะร่วมมือกับเขาจัดการท่าน แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว”
ยิ่นอ๋องโกรธจนมุมปากกระตุก “เจ้าช่างซื่อตรงจริงนะ! หากข้าไม่ยอมเล่า”
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องอดกลั้นสักหน่อย ร่วมมือกับเขาซื้อชาดมาให้ได้ เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้วว่าเขาตั้งใจจะเอาหินชาดมาให้ได้ กำลังทรัพย์ของท่านคงข่มให้เขาถอยไปไม่ง่ายถึงเพียงนั้น แต่หากรวมข้าเข้าไปด้วยก็จะไม่เหมือนกันแล้ว พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าพวกท่านฝ่ายใด หากนับรวมข้าเข้าไปด้วยก็จะชนะแน่นอน เป็นอย่างไร จะร่วมมือกันหรือไม่”
สายตาเย็นชาของยิ่นอ๋องจับจ้องใบหน้าของนาง “เจ้าข่มขู่ข้าหรือ”
เฉียวเวยผายมือ “หากท่านเข้าใจเช่นนั้นก็ใช่”
ยิ่นอ๋องกำหมัด หันไปมองหินชาดในมือหญิงรับใช้
เฉียวเวยไม่กลัวเขาจะไม่ตกลง คืนนี้เขากับคนผู้นั้นตั้งใจจะเอาหินชาดมาให้จงได้ เขาน่าจะเข้าใจว่าการได้นางมาร่วมเป็นพวกย่อมพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน อีกอย่างเขาไม่ใช่คนเลือดร้อนที่จะสละสิ่งที่ต้องการเพื่อโทสะเพียงเล็กน้อย เขารู้จักประมาณผลได้ผลเสีย
ไม่ผิดจากที่คาด เมื่อหญิงรับใช้ถามว่าไม่มีผู้ใดขานราคาอีกแล้วใช่หรือไม่เป็นหนที่สาม เขาก็เอ่ยออกมาเรียบๆ “คนละครึ่ง”
เฉียวเวยยิ้ม “แน่นอน”
ไม่ว่าหินหรือว่าเงินก็ตาม
ยิ่นอ๋องยกมือ “ห้าหมื่นตำลึง”
เฉียวเวยคว้าที่เท้าแขนของเก้าอี้ไว้แน่น ข้าจะอดทน ข้าจะอดทน ข้าจะอดทน อดทน อดทน!
ชางจิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้เขาจะตะโกนคำว่าหกหมื่นออกมาอย่างรวดเร็ว แต่จากการหยุดชะงักชั่วครู่นั้นก็เพียงพอทำให้เห็นแล้วว่าในใจเขาไม่มั่นใจเท่าก่อนหน้านี้
ดูท่าคงจะใกล้ถึงขีดจำกัดที่เขารับไหวแล้ว
ยิ่นอ๋องตะโกนคำว่าหนึ่งแสนออกไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ทุกคนตกใจจนตะลึงไปแล้ว เฉียวเวยทำหน้าเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้ นางสาบานว่าหลังจากเอาชนะพวกสารเลวของตำหนักราชครูได้แล้ว นางจะปล้นตำหนักราชครูให้เกลี้ยง!
ในที่สุดหินชาดก้อนนั้นก็ถูกยิ่นอ๋องประมูลไปในราคาแพงเท่าฟ้าหนึ่งแสนตำลึง
หัวใจของเฉียวเวยหลั่งเลือด ใช้เงินห้าหมื่นตำลึงซื้อหินผุๆ ครึ่งก้อน นางขายไข่เยี่ยวม้าค้ากำไรเกินควรมามากเกินไปใช่หรือไม่ สวรรค์ถึงให้กรรมตามสนอง ตอนนี้ผลัดถึงตานางถูกรีดเงินเกินควรบ้างแล้ว
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าต้องขายไข่มากเท่าใดจึงรวบรวมเงินห้าหมื่นตำลึงนี่มาได้” สองมือของเฉียวเวยกำตั๋วเงินแน่น น้ำตาเอ่อคลอท่าทางน่าสงสาร
ยิ่นอ๋องจับอีกฝั่งหนึ่งของตั๋วเงินไว้ พยายามดึงอยู่นานแล้วแต่ก็ดึงไม่หลุด เพลิงโทสะลุกท่วมสามจั้ง “เฉียวซื่อ!”
เฉียวเวยปล่อยมืออย่างปวดใจ
เป้าหมายในคืนนี้ของยิ่นอ๋องดูเหมือนจะมีเพียงหินชาดก้อนเดียวเท่านั้น หลังจากของมาถึงมือแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากไป พวกเฉียวเวยสามคนตามเขาขึ้นรถม้ามาด้วย ระหว่างนั้นมีคนไม่น้อยมองตามพวกเขามาด้วยสายตาแฝงเจตนาร้าย แต่ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักใช้ดวงตางามที่ขโมยดวงวิญญาณได้คู่นั้นถลึงตากลับไป
หลังจากขึ้นรถ เฉียวเวยก็ชักกริชเฟิ่นเทียนออกมาตัดหินชาดเป็นสองซีก
ยิ่นอ๋องมองกริชของนางอย่างฉงน “นี่มันของแม่ทัพน้อยมู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเจ้าได้”
แม่ทัพน้อยมู่เคยมาเยือนต้าเหลียง ตอนนั้นเขาคงจะเคยใช้กริชเล่มนี้ให้ยิ่นอ๋องเห็น
เฉียวเวยเก็บกริชกับชาดไป จากนั้นเอ่ยอย่างเฉยชา “ใช่แล้ว ของของเขา ข้าใช้ผลสองภพผลหนึ่งแลกกับเขา เป็นอะไร รู้สึกไม่ยินยอมหรือ”
ต้องขอบคุณราชครู ไม่เพียงฐานะโหราจารย์ของตระกูลจีที่ถูกเปิดเผย แม้แต่เรื่องที่เฉียวเวยเป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับก็ถูกเล่าลือออกไปแล้วด้วย
ยิ่นอ๋องมองนางด้วยสีหน้าถมึงทึง
เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “เสียใจที่ตอนนั้นแทงข้าแล้วใช่หรือไม่ หากถือโอกาสปล่อยให้ผิดแล้วผิดเลยไป ตอนนี้ท่านก็เป็นพระราชบุตรเขยของชนเผ่าลึกลับแล้ว! น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงเชียว!”
ยิ่นอ๋องถูกนางยั่วโมโหจนเกือบกระอักเลือด
ของมาถึงมือแล้ว เฉียวเวยจึงไม่พูดจาไร้สาระกับเขาต่อ หมุนตัวจะลงจากรถทันที แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เอง เรื่องคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น!
มีดบินคมกริบหลายเล่มบินออกมาจากเงามืด เฉียวเวยผลุบกลับเข้ามาในตัวรถอย่างรวดเร็ว มีดบินปักบนบานประตู มีดบินที่ ‘หลุดรอดจากตาข่าย’ มาได้เล่มหนึ่งบินเข้ามาในตัวรถ เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบ มีดบินจึงพุ่งไปยังยิ่นอ๋องที่อยู่ด้านหลัง
ยิ่นอ๋องยกสองนิ้วขึ้นมาคีบมีดบินไว้ หลังจากนั้นจึงถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างเย็นชา ท่าทางนั่นเรียกได้ว่าแค้นเคืองอย่างที่สุดไม่อาจจะแค้นเคืองได้มากกว่านี้แล้ว
มีดบินพุ่งเข้ามามากกว่าเดิม ยิ่นอ๋องสะบัดแขนเสื้อกว้าง กดเฉียวเวยไว้กับม้านั่ง มีดบินพุ่งเฉียดแขนของเขา ปราณเย็นยะเยือกน่าขนลุกทำให้เฉียวเวยที่ถูกปกป้องอยู่ในวงแขนของเขาขนลุกซู่
เมื่อมีดบินระลอกที่สามโจมตีเข้ามา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ลงมือ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ในเวลาเดียวกันชางจิวกับอาจารย์ตาฮั่วก็ประมือกัน
คนที่จู่โจมพวกเขาไม่ใช่คนของชางจิวทั้งหมด มีบางคนเป็นพวกที่มากวนน้ำขุ่นหวังจะจับปลา แต่คนพวกนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาใหญ่ยังคงเป็นชางจิว การจัดการเขาตึงมืออย่างยิ่ง
เฉียวเวยเปิดผ้าม่านจะเดินออกไปแต่ถูกยิ่นอ๋องลากกลับมา แล้วเหวี่ยงลงบนม้านั่งอย่างแรง “นี่เป็นเรื่องของบุรุษ เจ้าสตรีนางหนึ่งจะทะเล่อทะล่าเข้าไปยุ่งอะไรด้วย รออยู่ในรถดีๆ!”
กล่าวจบเงาร่างดุดันก็พุ่งเข้าไปหามือสังหารที่ลอบจู่โจมยามรัตติกาลกลุ่มนั้น
เห็นชัดว่าคนกลุ่มนี้มาเพื่อหินชาดของพวกเขา ไหนเลยนางจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้
นางชักกริชพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน
กำลังภายในของชางจิวด้อยกว่าอาจารย์ตาฮั่ว แต่ภายในสามสิบกระบวนท่า เขายังยืนหยัดต่อสู้ได้ไม่พ่ายแพ้ วันนี้ดูเหมือนเขาจะเตรียมตัวมาพร้อม เขาไม่แข็งขืนต่อสู้กับอาจารย์ตาฮั่ว แต่ล่ออาจารย์ตาฮั่วออกไป
คนที่เหลือต่อสู้กับยิ่นอ๋องและเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างชุลมุน
ส่วนพวกตัวเล็กตัวน้อยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำส่วนหนึ่งก็ถูกเฉียวเวยจัดการไปทีละคน
ในระหว่างที่สถานการณ์ค่อยๆ เอนเอียงมาข้างฝั่งพวกเฉียวเวยนั่นเอง เงาที่คล้ายกับภูตผีเงาหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาใต้เท้าเจ้าสำนัก
ลำคอของใต้เท้าเจ้าสำนักมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งพาดในชั่วพริบตา เขาตะโกนเสียงดัง “อ้ากกก พวกเจ้าจะทำอะไร”
มือสังหารตวาดเหี้ยม “หยุดเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเขาเสีย!”
เฉียวเวยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยุดนิ่ง
ยิ่นอ๋องตอบอย่างเฉยเมย “เจ้าก็สังหารไปสิ เขากับข้าไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขนในทันใด “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าทำไมเป็นเช่นนี้ ข้าเป็นท่านอาของเจ้านะ! เจ้าหลานคนนี้จะอกตัญญูเกินไปแล้ว!”
มือสังหารถามว่า “ชาดอยู่ในมือผู้ใดในหมู่พวกเจ้า”
“เขา!”
“นาง!”
เฉียวเวยกับยิ่นอ๋องตอบออกมาพร้อมกัน ขณะที่มือก็ชี้อีกฝั่งหนึ่ง
มือสังหารงงงันไปชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ว่าจะอยู่บนตัวผู้ใด ก็ส่งมาให้ข้าเสีย!”
“ข้าไม่มีวันมอบให้” ยิ่นอ๋องท่าทางประหนึ่งกำลังชมละครสนุกเรื่องหนึ่ง
เฉียวเวยแววตาวูบไหวมองไปทางมือสังหาร “ข้าขอต่อรอง ยกให้ครึ่งก้อนได้หรือไม่”
มือสังหารตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด “ไม่ได้! ส่งมาให้หมด!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านอ๋อง…”
ยิ่นอ๋องหน้าบึ้ง สตรีนางนี้ ไม่ลากเขาซวยไปด้วยสักหนจะไม่ได้เลยใช่หรือไม่!
ไม่ช่วยเจ้าซื่อบื้อย่อมไม่ได้ แต่จะดึงดันชิงตัวคนมาตรงๆ ก็เสี่ยงอันตรายเกินไป หากยกชาดให้อีกฝ่าย แล้วหลังจากนั้นค่อยแย่งกลับมา…
ในตอนที่เฉียวเวยขบคิดแผนการเล็กๆ อยู่ในใจนั่นเอง ร่มกระดาษน้ำมันสีขาววาดลายดอกท้อคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของมือสังหารอย่างเชื่องช้า
มือสังหารไม่ทันสังเกตแม้แต่นิดเดียว
เฉียวเวยเบิ่งตาขึ้นนิดๆ ร่มคันนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะของมือสังหาร แกว่งไกวไปตามสายลมของยามราตรี ดูอ่อนโยนจนชวนให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว ทว่าในพริบตาที่เฉียวเวยเผลอเหม่อมองนั่นเอง ร่มกระดาษน้ำมันก็พลันหยุดนิ่งกลางอากาศ จากนั้นส่งเสียงเสียดสีแหลมแสบแก้วหูออกมา
มือสังหารรู้ตัวทันที เขาเงยหน้าขวับแต่ไม่ทันมองเห็นชัดว่าของที่อยู่เหนือศีรษะคือสิ่งใดก็ถูกฝนเข็มสีเงินที่รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อปักจนพรุนเป็นเม่น
มือสังหารล้มตึงอยู่กับที่