เล่ม 1 ตอนที่ 387-1 เจ้าแฝดทั้งสาม

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 387-1 เจ้าแฝดทั้งสาม

ผลลัพธ์เช่นนี้ผิดจากที่ทุกคนคาดไว้อย่างสิ้นเชิง

ตามกฎแล้ว ต้องชนะสามคนจึงนับว่าชนะรอบนี้ แต่เมื่อครู่เฉียวเวยชนะเพียงสองคนเท่านั้น หากแพ้คนต่อไป ชัยชนะก่อนหน้าก็เท่ากับศูนย์เปล่า

ตำหนักราชครูยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้แท้ๆ เหตุไฉนจึงทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้เล่า

องค์ชายสามพึมพำอย่างไม่เข้าใจ “เอ๋ เหตุใดจึงยอมแพ้แล้วเล่า ไม่สมกับเป็นตำหนักราชครูเลย”

ใต้เท้าเจ้าสำนักว่าอย่างดูแคลน “เหอะ เจ้าไม่เข้าใจเสียแล้ว หากสู้ต่อไป นักรบมรณะทั้งหมดของพวกเขาคงถูกนางยักษ์สังหารตายจนเกลี้ยง”

นางยักษ์เป็นชื่อเล่นของเฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียน องค์ชายสามรู้แก่ใจดี ลึกๆ ในใจเขาคิดว่าคำเรียกขานเช่นนี้น่ารักยิ่งนัก จึงลอบสาบานว่าหลังจากนี้เขาจะเรียกพี่หมิงเยี่ยในใจว่าเจ้ายักษ์บ้าง!

“ฮัดเช้ย!” ใต้เท้าเจ้าสำนักจามอย่างไม่มีเหตุผล

“ท่านพี่ เพราะอะไรหรือขอรับ” องค์ชายสามถามอย่างสงสัย

ใต้เท้าเจ้าสำนักวางท่าสูงส่งมองเขา แล้วตอบว่า “ข้าอธิบายให้เจ้าฟังเช่นนี้ก็แล้วกัน หากประลองต่อ นางยักษ์จะต้องพ่ายแพ้นักรบมรณะที่ออกมาประลองคนต่อไปอย่างแน่นอน!”

องค์ชายสามกะพริบตา “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าพี่สะใภ้จะแพ้เล่า”

พูดเหลวไหล ข้าแอบฟังแผนการของพวกเขาสองคนมาข้าจะไม่รู้ได้หรือ!

แน่นอนว่าประโยคนี้ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่มีทางบอกให้เจ้าองค์ชายหน่อมแน้มฟัง ใต้เท้าเจ้าสำนักวางท่าสูงส่งหยั่งไม่ถึงแล้วถามว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่ากฎว่าไว้อย่างไร”

องค์ชายเกาศีรษะ “ชนะติดกันสามคนถึงนับว่าชนะไม่ใช่หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วอย่างเฉยชา “ถูกต้องแล้ว หากตรงกลางขาดช่วง ถ้าเช่นนั้นจำนวนสามคนก็ต้องนับใหม่อีกหน ถ้านางยักษ์สังหารสองคนแล้วจงใจแพ้หนึ่งคน หลังจากนั้นสังหารอีกสองคน แล้วจงใจแพ้อีกหนึ่งคน จนถึงสุดท้ายเจ้าว่านักรบมรณะของพวกเขาจะถูกนางยักษ์สังหารจนเกลี้ยงหรือไม่”

องค์ชายสามสีหน้าเหมือนเข้าใจขึ้นมาแล้ว “อ้อ พี่สะใภ้เจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้เชียว!”

กฎข้อนี้แต่เดิมตั้งขึ้นมาเพื่อนักรบมรณะที่มีพละกำลังให้ใช้ไม่หมดสิ้น แต่คิดไม่ถึงว่ากลับปล่อยให้เฉียวเวยฉวยโอกาสเสียได้

บางทีพวเขาอาจจะมีนักรบมรณะที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่จริง แต่นักรบมรณะแต่ละคนล้ำค่ายิ่งนัก จะมาตายเปล่าใต้คมอาวุธของเฉียวเวยย่อมทำให้คนแค้นใจมากเกินไป

ต่อให้ดันทุรังประลองต่อ แล้วพวกเขาชนะขึ้นมา นั่นก็ได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่พวกเขาไม่แน่ใจว่าจะชนะหรือไม่

เสียสละนักรบมรณะระดับสูงอันล้ำค่าเพื่อศึกที่ไม่แน่ใจในชัยชนะ ช่างไม่คุ้มค่าจริงๆ

ราชครูเยี่ยหลัวมองแผนการของเฉียวเวยออก เขาย่อมไม่รีบร้อนพุ่งเข้าใส่

เฉียวเวยชูธงคว้าชัยชนะ ฮ่องเต้ดีพระทัยอย่างยิ่ง การประลองหนนี้ฉากหน้าดูเหมือนตระกูลจีวัดฝีมือกับตำหนักราชครู แต่เมื่อครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน ไยมิใช่การประชันฝีมือระหว่างสองแคว้น เพียงแต่ว่าย้ายสนามรบจากดินแดนอันห่างไกลมาไว้บนสนามหญ้าก็เท่านั้น

ฮ่องเต้ดีพระทัยจึงออกคำสั่งให้จัดงานเลี้ยง!

ฝูกงกงเดินลิ่วไปยังห้องเครื่องหลวง

ศิษย์ทั้งหลายของตำหนักราชครูย่อมอยู่ในรายชื่อแขกที่ได้รับเชิญด้วย พวกเขาทยอยลุกขึ้นเตรียมตัวลุกออกจากที่นั่ง

เฉียวเวยกระโดดลงมาจากเวทีประลอง แล้วมองดูแผ่นหลังของราชครูกับศิษย์เอกของเขา “จะไปเช่นนี้หรือ ไม่หารือว่ารอบถัดไปประลองอะไรหรือ”

ราชครูชะงักเท้า ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา

แม้เฉียวเวยกับราชครูจะเคยเดินเฉียดผ่านกันไปสองหน แต่หนหนึ่งเป็นยามค่ำคืนจึงมองเห็นไม่ชัด ส่วนอีกหนหนึ่งราชครูได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าไม่เหลือเค้าสภาพเดิม หนนี้จึงนับว่าได้ยลโฉมของเขาอย่างจริงจังเป็นหนแรก

ไม่อาจไม่พูดว่าเขาหน้าตาธรรมดากว่าที่เฉียวเวยจินตนาการไว้เล็กน้อย

แต่ถึงแม้หน้าตาจะธรรมดาสามัญ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับทำให้คนมิอาจมองข้ามเขาได้

เขาเพียงมองเฉียวเวยนิ่งๆ เช่นนั้นก็ทำให้เฉียวเวยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

จีหมิงซิวก้าวเข้ามาหาอย่างสบายๆ แรงกดดันอันแข็งแกร่งข่มแรงกดดันของราชครูกลับไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด

หัวใจของเฉียวเวยรู้สึกเบาสบาย ความรู้สึกอึดอัดนั่นมลายหายไปแล้ว

สีหน้าของราชครูยังคงมองอารมณ์ไม่ออกเช่นเดิม

แต่ลูกศิษย์เอกผู้นั้นเคยอยู่อย่างมีหน้ามีตาในเยี่ยหลัวมาเนิ่นนาน มาถึงจงหยวนคิดว่าคนจงหยวนล้วนอ่อนแอ แต่พอเปิดการประลองมารอบแรกกลับตกเป็นฝ่ายปราชัยอย่างคิดไม่ถึง ดังนั้นเขาจึงหงุดหงิดอยู่บ้าง

เฉียวเวยเห็นความหงุดหงิดของเขาชัดเจน จึงเลิกคิ้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านศิษย์เอกท่านนี้ พวกเราชนะหนึ่งรอบแล้ว หากชนะอีกรอบหนึ่ง สามรอบชนะสองรอบคงไม่มีอะไรแย้งกระมัง”

ลูกศิษย์เอกตอบกลับมาด้วยภาษาฮั่นที่ถูกเป๊ะตามมาตรฐานและคล่องแคล่ว “รอบต่อไป พวกเจ้าจะไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว“

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ้อ เช่นนั้นหรือ รอบต่อไปประลองสิ่งใดกัน พวกเจ้าจึงมั่นใจในตัวเองเช่นนี้”

ลูกศิษย์เอกถลึงตามองเฉียวเวยอย่างเย็นชา เฉียวเวยแย้มยิ้มดั่งบุปผา แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ลูกศิษย์เอกกลับรู้สึกว่าหน้าอกของตนเองมีก้อนหินใหญ่ทับอยู่

เฉียวเวยรู้ดีว่าความสามารถด้านอื่นของนางอาจสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ฝีไม้ลายมือในการยั่วโมโหผู้อื่นให้อกแตกตายนั้นไว้ใจนางได้เลย

ราชครูกับลูกศิษย์เอกของเขาคุยกันอยู่หลายคำ หลังจากนั้นลูกศิษย์เอกก็ตาเป็นประกาย ตอนที่เขามองมาทางจีหมิงซิวกับเฉียวเวย อารมณ์ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก “อาจารย์ข้าบอกว่า รอบถัดไปท่านผู้เฒ่าจะลงประลองด้วยตนเอง อยากจะรับคำสั่งสอนจากกระบี่โหราจารย์ของตระกูลจีสักครา มิทราบว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจะกล้ารับคำท้าหรือไม่”

นี่หมายความว่าจะให้จีหมิงซิวขึ้นประลองด้วยตนเอง

เฉียวเวยไม่คิดว่าสภาพร่างกายในตอนนี้ของหมิงซิวเหมาะกับการประลองกับผู้อื่น เจ้าคนต่ำช้าไร้ยางอายคนนี้เห็นชัดว่าจะเอาเปรียบที่หมิงซิวบาดเจ็บอยู่คิดจะตีชิงตามไฟ แต่สาส์นท้ารบนี่ของเขา หมิงซิวจะปฏิเสธก็ไม่สะดวก…

เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอย่างกังวล จีหมิงซิวกุมมือนางโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ฝ่ามือกว้างหนากับสัมผัสอันอบอุ่นทำให้หัวใจของนางกลับมาสงบอีกครั้ง

จีหมิงซิวถามด้วยสีหน้าสบายๆ “ประลองอย่างไร”

“จะประลองจริงหรือ” เฉียวเวยกระซิบถาม “ตอนแรกตกลงกันแล้วว่า ฝ่ายหนึ่งเสนอหัวข้อประลอง อีกฝ่ายหนึ่งตกลงถึงจะให้ผ่านได้ พวกเราบอกปฏิเสธได้เต็มที่”

จีหมิงซิวยิ้มมองภรรยาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงตอบอย่างสบายใจ “มีคนไม่กลัวตาย พวกเราต้องให้เขาสมปรารถนาสิ”

สีหน้าของลูกศิษย์เอกดำทะมึนในพริบตา!

ไม่ทราบว่าราชครูฟังภาษาจงหยวนไม่ออกหรือเพราะสาเหตุอื่น แต่เขาสั่งลูกศิษย์เอกด้วยสีหน้าเฉกเช่นปกติสองสามประโยค ก่อนที่ลูกศิษย์เอกจะแปลออกมาว่า “อาจารย์ข้าบอกว่า เขาแก่กว่าเจ้าสองรุ่น เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเย้ยหยันว่าท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก เขาตั้งใจว่าขอเพียงเจ้ายืนหยัดอยู่ในค่ายกลสัตตบงกชได้ครึ่งก้านธูปก็จะถือว่าเจ้าชนะ”

จีหมิงซิวตอบรับอย่างฉับไว “ได้”

ลูกศิษย์เอกประสานมือคำนับ “ถ้าเช่นนั้นขอตัวก่อน วันพรุ่งพบกัน”

จีหมิงซิวผงกศีรษะนิดๆ

ราชครูกับลูกศิษย์เอกเดินจากไป

จีหมิงซิวกับเฉียวเวยไม่สนใจงานเลี้ยงในพระราชวัง หลังจากแยกกับศิษย์อาจารย์คู่นั้นแล้ว พวกเขาก็ออกจากพระราชวังไปขึ้นรถม้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน

วันพรุ่งนี้ยังมีศึกหนักที่ต้องสู้อีก ค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่หลับไม่ลง

หลังจากการประลองสิ้นสุด ฮ่องเต้ก็จัดงานเลี้ยงรับรองหมู่ขุนนางกับทูตจากทั้งสองแคว้นในตำหนักที่ว่าราชการ นอกจากพวกกจีหมิงซิว คนอื่นล้วนไปเข้าร่วมอย่างไว้หน้า ยิ่นอ๋องนั่งอยู่ตรงที่นั่งได้พักหนึ่งก็อ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายออกจากงานเลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเขาออกจากงานเลี้ยงก็ไม่ได้กลับจวนทันที แต่เดินอ้อมไปยังวังหลัง

พระสนมอานเฟยนอนอยู่ในตำหนักที่เย็นชื้น นางสีหน้าซีดเผือด หลับตาอยู่

ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด สายลมอบอุ่นยามเที่ยงวันพัดเข้ามา

พระสนมอานเฟยลืมตาขึ้นช้าๆ แสงที่จ้าแสบตาทำให้ดวงตาของนางปิดลงอย่างห้ามตนเองไม่ได้ แต่นางเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดแล้วจึงเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “เจ้ามาได้อย่างไร เมื่อวานบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าแวะมาหาข้าที่นี่บ่อยๆ ระวังเสด็จพ่อของเจ้าจะรู้เข้า”

ยิ่นอ๋องนั่งลงข้างเตียงของนางแล้วมองนางนิ่งนาน “เสด็จแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อาการป่วยดีขึ้นบ้างหรือยัง”

พระสนมอานเฟยยิ้มอย่างอ่อนแรง “ไหนเลยจะหายดีเร็วเช่นนั้น เมื่อวานเพิ่งจะได้ชาดมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรออีกสักสองสามวัน”

ยิ่นอ๋องมองนอกประตู “วันนี้อากาศไม่เลว ข้าจะพาท่านออกไปอาบแสงตะวันข้างนอก”

พระสนมอานเฟยตอบว่า “ไม่ต้องหรอก”

ยิ่นอ๋องกุมมือนาง “มือของท่านเย็นหมดแล้ว”

พระสนมอานเฟยชักมือกลับก่อนจะพลิกมือกลับมากุมมือเขา แล้วลูบอย่างทะนุถนอม แววตาเศร้าสร้อย “ข้าก็เป็นเช่นนี้เสมอ เอนกายนอนจะดีกว่าหน่อย เจ้ารีบไปเถิด หากเสด็จพ่อของเจ้ารู้เข้าจะดุด่าเจ้าอีก”

ยิ่นอ๋องตอบอย่างขุ่นเคือง “เขาจะด่าก็ให้เขาด่าไปสิ หลายปีที่ผ่านมาเขาด่าน้อยเสียเมื่อไร”

“พูดจาเหลวไหล!” พระสนมอานเฟยอารมณ์พลุ่งพล่านหนเดียวก็ไอโขลกๆ ไอจนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา

“เสด็จแม่” ยิ่นอ๋องรีบรินชาร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้นาง

พระสนมอานเฟยจิบหนึ่งคำ อาการก็ค่อยๆ ทุเลา นางดันถ้วยเบาๆ แล้วบอกว่า “อย่าพูดจาเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่”

ยิ่นอ๋องมองนางอย่างจนปัญญา “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พระสนมอานเฟยเอ่ยต่อว่า “เจ้ายังไม่รีบไปอีก”

ยิ่นอ๋องตอบว่า “วันนี้เสด็จพ่อจัดงานเลี้ยง ไม่มีเวลาสนใจข้าหรอก ท่านให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่นานสักหน่อยเถิด”

พระสนมอานเฟยถอนหายใจ “เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ยอมเชื่อฟังข้าสักครั้ง”

ยิ่นอ๋องอุ้มพระสนมอานเฟยออกจากห้องมานั่งบนเก้าอี้หวายตรงระเบียง อาบแสงตะวันอย่างสบายตัว

พระสนมอานเฟยกุมมือเขา ดื่มด่ำกับความสงบสุขอันหาได้ยาก พอคิดอะไรขึ้นมาได้ นางก็พึมพำแผ่วเบา “ไม่ได้พบเด็กสามคนนั้นตั้งนานแล้ว…”

ยิ่นอ๋องลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะไปรับพวกนางมา”

พระสนมอานเฟยคว้าแขนของเขาไว้ “ไม่ต้อง จริงๆ นะไม่ต้องหรอก! เมื่อครู่ข้าเพียงพูดไปอย่างนั้น…”

แต่ยิ่นอ๋องกลับคลุมผ้าห่มให้นาง จากนั้นเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา