ตอนที่ 387-2 เจ้าแฝดทั้งสาม
ยิ่นอ๋องลงมือทำรวดเร็วมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็รับแม่ชีน้อยทั้งสามมา ตอนแรกคุณหนูน้อยทั้งสามหลุดพ้นจากสภาพแม่ชีน้อยแล้ว แต่หลังจากพวกนางตามยอดหญิงงามกลับไปยังเผ่าเกาเย่ว์ พวกนางก็ติดเหากันมาถ้วนหน้าจนต้องโกนผมจนหัวน้อยๆ ล้านเลี่ยนอีกหน
แม้หลังจากกลับมาเมืองหลวง เส้นผมจะงอกขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่พอถักเป็นเปียอยู่ดี
ทั้งสามคนไม่ชอบสวมกระโปรง
มองอย่างไรก็ดูเหมือนแม่ชีน้อยกลุ่มหนึ่ง
แม่ชีน้อยทั้งสามคนถือถังหูลู่คนละไม้ ดูดเสียงดังแผล็บๆ ตามอยู่หลังยิ่นอ๋อง เดินเข้ามาในเรือนโดยไม่มองทางสักนิด
พระสนมอานเฟยเห็นทั้งสามคน ดวงหน้าก็มีสีหน้ายินดี กวักมือเรียก “มานี่เร็ว มาให้ย่าดูหน้าหน่อย!”
แม่ชีน้อยทั้งสามยืนนิ่งมองนาง ไม่ยอมขยับตัว
พระสนมอานเฟยสีหน้าแข็งทื่อ แต่ไม่นานก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกหน “ย่ามีลูกกวาดด้วยนะ”
แม่ชีน้อยทั้งสามก็ยังไม่ขยับ
ยิ่นอ๋องสีหน้าไม่ดีแล้ว ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากดุด่าสักสองสามประโยค พระสนมอานเฟยก็ห้ามไว้
พระสนมอานเฟยทำท่าบอกเขาว่าอย่าโมโห จากนั้นนางจึงตลบผ้าห่มบนขาออกแล้วยันเก้าอี้หวายลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า แล้วหยิบลูกกวาดน้ำผึ้งถาดหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะเดินมาตรงหน้าแม่ชีน้อยทั้งสามคนอย่างแผ่วเบา เอ่ยอย่างอ่อนโยน “กินลูกกวาดหรือไม่”
แม่ชีน้อยทั้งสามมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แล้วจู่ๆ แม่ชีน้อยคนที่เป็นพี่รองก็เอื้อมมือน้อยๆ ออกมาปัดถาดของนางจนคว่ำ!
ยิ่นอ๋องหน้าดำทะมึนทันที เขาหิ้วเจ้าลูกกระต่ายน้อยไม่รู้ความตัวนี้ขึ้นมาอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด
เจ้ารองมองบิดาของตนเองอย่างตกตะลึง นางเหมือนจะรู้แล้วว่าตนเองทำผิด นางเลิกกินถังหูลู่ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจท่าทางน่าสงสารทันที
ยิ่นอ๋องไม่มีทางถูกท่าทางของนางหลอก เขาเอ่ยเสียงเข้มงวด “รีบขอโทษท่านย่าเดี๋ยวนี้!”
เจ้ารองไม่ขอโทษ
ยิ่นอ๋องโกรธจนเงื้อมือขึ้นมา!
ดวงหน้างามของพระสนมอานเฟยถอดสี นางกอดแขนของเขาไว้แล้วรีบบอกว่า “เจ้าจะทำอะไร เด็กน้อยตกใจกลัวหมดแล้ว! นางยังอายุน้อยเท่านี้ แค่มือพลาดปัดถาดร่วงใบเดียวไม่ใช่หรือไร ข้ามีถาดเช่นนี้อีกมากไป!”
ความโกรธของยิ่นอ๋องลุกโหมมาจากหลายสิ่ง “นางนิสัยเสียเช่นนี้ ไม่สั่งสอนสักหน่อย นางคงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
เจ้ารองดูดนิ้วของตนเองท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง
พระสนมอานเฟยบอกเสียงเบา “วางนางลงมา!”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วถลึงตาใส่เจ้าลูกกระต่ายทีหนึ่ง แม้จะไม่พอใจนัก แต่สุดท้ายก็วางคนลงมา ลูกบ้านอื่นแต่ละคนๆ ล้วนเชื่อฟัง แต่ลูกสามคนนี้ของเขา วันๆ ซุกซนจนแทบปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา เขาใกล้จะถูกพวกนางทำให้โมโหจนอกแตกตายแล้ว “พวกเจ้าไปยืนตรงนั้น หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิด!”
แม่ชีน้อยทั้งสามไปยืนข้างกำแพงอย่างว่าง่าย แล้วหันหน้าเข้ากำแพงอย่างเชื่อฟัง
พระสนมอานเฟยเอ่ยอย่างปวดใจ “เฮ้อ เจ้า…”
ยิ่นอ๋องประคองนางกลับไปบนเก้าอี้หวาย “เสด็จแม่ ท่านอย่าตามใจพวกนางเลย พวกนางไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ สมควรเรียนรู้กฎเกณฑ์เสียบ้าง”
กล่าวจบ เขาก็หันไปมองเจ้าตัวน้อยสามคนที่เข้ามุมทบทวนความผิดอยู่ แต่เขากลับเห็นเพียงกำแพงเปล่าๆ มีคนอยู่เสียที่ไหนเล่า
ยิ่นอ๋องตกใจจนหน้าซีด
สิ่งใดเรียกว่าไม่ยอมให้คนสบายใจได้แม้แต่พริบตาเดียว คงเป็นเช่นนี้เอง
“ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย!” ยิ่นอ๋องเดินออกจากห้องบรรทมของพระสนมอานเฟยพร้อมกับใบหน้าดำทะมึน เขาเรียกขันทีที่เดินตระเวนอยู่หลายคนให้ตามหาในสวนอย่างบ้าคลั่ง
นี่ไม่ใช่หนแรกที่แม่ชีน้อยทั้งสามเล่นแล้วหายตัวไป หนก่อนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกนางอยู่ดีๆ ก็หายไป คนทั้งจวนอ๋องตามหากันตลอดทั้งคืน จนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว แต่ผลสุดท้ายพวกนางกลับนอนอยู่ในโพรงต้นไม้
พระราชวังใหญ่กว่าจวนอ๋องมากนัก หนนี้ไม่แน่ว่าจะต้องตามหากันกี่ชั่วยาม
ตอนที่ยิ่นอ๋องร้อนรนจนหัวแทบไหม้ เกือบจะไปกราบทูลฮ่องเต้ขอให้ส่งทหารราชองครักษ์ออกมาช่วยแล้วนั่นเอง เจ้าตัวน้อยทั้งสามก็ปรากฏตัว
พวนางนั่งยองๆ ล้อมอยู่รอบสตรีที่แต่งกายเหมือนสาวใช้คนหนึ่ง นางเช็ดหน้ากับมือให้พวกนางอย่างแผ่วเบา
หลังจากเช็ดเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เปิดกระเป๋าใบน้อยหยิบลูกกวาดหลายเม็ดแจกจ่ายให้พวกนาง
พวกนางรับมาอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นก็ไม่ยอมไปไหน คว้าแขนเสื้อของสตรีนางนั้น ทำท่าไม่ยอมให้นางจากไป
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเดินเข้ามา “ผู้ใดอยู่ตรงนั้น”
หญิงสาวได้ยินเสียงก็หมุนตัวกลับมา
ยิ่นอ๋องมองเห็นใบหน้าของนางก็ตกตะลึงทันที “ฮองเฮาเยี่ยหลัวหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวคิดไม่ถึงว่าจะพบ ‘คนคุ้นเคย’ ที่นี่ ชั่วขณะหนึ่งมือไม้สับสน แววตาลนลานเบี่ยงกายหลบ สองมือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ค่อยๆ ขยำผ้าเช็ดหน้าทีละน้อย
ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนรถม้า ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็มองเขาด้วยแววตาเช่นนั้น แล้วยังเกือบจะแตะต้องตัวเขาอีก เรื่องนี้ทำให้ยิ่นอ๋องมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อฮองเฮาองค์นี้อยู่ไม่มากก็น้อย เขาคิดว่านางแตกต่างจากภาพลักษณ์ที่เห็นภายนอก ภายนอกกิริยาท่าทางสง่างาม แต่ลึกลงไปกลับกระทำตัวเหลวไหล
วันนี้ยังแต่งตัวเป็นสาวใช้ปะปนเข้าวังมาอย่างลับๆ ล่อๆ อีก ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายที่บอกผู้คนไม่ได้ประการใด
ยิ่นอ๋องมองสำรวจนาง แล้วถามเสียงทุ้มเข้ม “ฮองเฮาไม่ได้พักอยู่ที่ตระกูลจีหรอกหรือ เข้าวังมาได้อย่างไร”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวหน้าซีด นางมองรอบด้านแล้วบอกเสียงเบา “ข้าอยากเข้าวังมารับหญิงรับใช้ของข้า”
ยิ่นอ๋องเอ่ยต่ออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “มารับหญิงรับใช้คนเดียวต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วยหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวก้มหน้าอย่างลำบากใจ ไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับถามว่า “เจ้าอย่าบอกผู้อื่นว่าเห็นข้าได้หรือไม่”
ยิ่นอ๋องตอบเรียบๆ “หากข้าจะบอกให้ได้เล่า”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบอย่างน่าสงสาร “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกเถิด”
“ข้าไม่สนใจบุญคุณความแค้นระหว่างฮองเฮา เยี่ยหลัวกับตระกูลจี วันนี้ข้าจะถือเสียว่าไม่ได้พบฮองเฮา” ยิ่นอ๋องกล่าวเสียงเรียบจบก็มองไปทางเจ้าตัวน้อยทั้งสามคน “พวกเจ้า มานี่!”
แม่ชีน้อยทั้งสามคนไม่เพียงไม่เดินมาหา แต่กลับไปกอดฮองเฮาเยี่ยหลัวไว้
ดวงหน้าหล่อเหลาของยิ่นอ๋องถมึงทึง เมินเสด็จย่าแท้ๆ ของตัวเอง แต่กลับมาสนิทสนมกับสตรีแปลกหน้าเช่นนี้ มีอย่างที่ไหน!
“มานี่! อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นหนที่สาม!”
แม่ชีน้อยทั้งสามคนกอดแน่นขึ้นอีก
นอกจากจิ่งอวิ๋น ทั้งสามคนก็ไม่เคยกอดผู้ใดเช่นนี้ แม้แต่ยิ่นอ๋องก็ไม่เคย
สีหน้าของยิ่นอ๋องไม่อาจใช้คำว่าย่ำแย่มาพรรณนาได้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาโกรธที่เจ้าตัวน้อยทั้งหลายไม่เชื่อฟัง หรือโกรธที่พวกนางเห็นคนนอกดีกว่า
เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนนี้หน้าตาเหมือนยิ่นอ๋องราวกับแกะ หากบอกว่าไม่ใช่ลูกของเขาน่ากลัวว่าคงจะไม่มีผู้ใดเชื่อ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวลูบศีรษะน้อยของทั้งสามคนแล้วยิ้มน้อยๆ บอกว่า “เป็นเด็กดี ไปหาบิดาทางโน้นนะ”
แม่ชีน้อยทั้งสามคนเดินจากไปอย่างไม่ใคร่จะยินยอม
คนเดินจากไปไกลแล้วก็ยังเหลียวกลับมามองนาง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็มองพวกนางอยู่เช่นกัน ในหัวใจมีความยินดีที่บรรยายออกมาไม่ถูก
พระสนมอานเฟยได้นางกำนัลประคองออกมาตามหา เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสามคน ใบหน้าก็ฉายแววยินดี นั่งย่อตัวลงมากอดทั้งสามคนไว้ในอ้อมแขน ทว่าศีรษะของทั้งสามคนกลับเหลียวมองไปด้านหลัง
พระสนมอานเฟยมองตามสายตาของทั้งสามคนไปก็เห็นฮองเฮาเยี่ยหลัวที่ยืนอยู่ไม่ไกล ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็มองเห็นนางแล้วเช่นกัน ทันใดนั้นในหัวใจก็มีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมา
พระสนมอานเฟยหลุบสายตาลงก่อน นางจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งแล้วว่า “พวกเราไปกันเถิด”
ยิ่นอ๋องจูงมือเด็กอีกสองคนไว้แน่น แล้วเดินออกไปจากที่แห่งนั้นพร้อมกันกับพระสนมอานเฟย
ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองแผ่นหลังของครอบครัวที่จูงมือกันจากไป แล้วยกมือลูบหน้าอกของตนเองอย่างงุนงง
จู่ๆ ก็เจ็บปวดขึ้นมานิดๆ เพราะเหตุใดกันเล่า…