เล่ม 1 ตอนที่ 388-1 หลอกต้มราชครู

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 388-1 หลอกต้มราชครู

จีหมิงซิวกับเฉียวเวยพาเจ้าก้อนตังเมมนุษย์กลับมาถึงบ้านก็พบว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่อยู่ เฉียวเวยเรียกปี้เอ๋อร์มาถาม “ท่านน้าของข้าเล่า”

ปี้เอ๋อร์รับเสื้อคลุมกันลมที่เฉียวเวยถอดจากตัวแล้วยิ้มตอบว่า “เข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ”

“เข้าวังไปแล้วหรือ” เฉียวเวยพึมพำ

ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านกับท่านเขยออกไปไม่นาน ฮองเฮาก็ให้ข้ายืมป้ายของหมิงอันมาให้”

หมิงอันเป็นผู้ติดตามของจีหมิงซิว เขาจึงมีป้ายคำสั่งพิเศษชิ้นหนึ่งที่ทำให้เข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ

เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “นางไปคนเดียวหรือ แล้วไปทำอันใด”

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ได้ยินว่าไปรับหญิงรับใช้ชื่อเฉี่ยวหลิง อาจารย์ตาฮั่วก็ไปด้วยเจ้าค่ะ”

มีอาจารย์ตาฮั่วอยู่ด้วยก็คงไม่มีสิ่งใดต้องห่วง

หญิงรับใช้นามว่าเฉี่ยวหลิงคนนั้นดูแล้วก็นิสัยไม่เลว อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ คงจะมีความผูกพันกันอยู่บ้าง วันนั้นจากมาอย่างรีบร้อนจึงไม่ทันพานางมาด้วย ก็สมควรไปรับนางมาอยู่ด้วยจริงๆ

หลังจากต่อสู้กับนักรบมรณะมาสองยก เสื้อผ้าก็เปียกโชกไปหมด เฉียวเวยจึงไปแช่น้ำจนสบายตัว พอออกมาอาจารย์ตาฮั่วกับฮองเฮาเยี่ยหลัวก็กลับมาแล้ว

ฮองเฮาเยี่ยหลัวสีหน้าแปลกพิกล หลังจากเดินเข้าห้องมานางก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วยกสองมือเท้าคาง ท่าทางกลัดกลุ้มยิ่งนัก

เฉียวเวยรินชาร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้นาง “เป็นอะไรไปหรือท่านน้า รับเฉี่ยวหลิงมาไม่สำเร็จหรือเจ้าคะ”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้าแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ นางก็เบิกตาโต “จริงด้วย ข้าลืมไปรับเฉี่ยวหลิง!”

เฉียวเวยเหงื่อตก ท่านเข้าวังไปรับนางไม่ใช่หรือ ขนาดนี้แล้วยังลืมได้อีกหรือไร

ฮองเฮาเยี่ยหลัวตบหน้าผากตัวเองแล้วเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “สมองของข้านี่ช่าง! เหตุใดจึงลืมนู่นนี่อยู่เรื่อยกันนะ”

เฉียวเวยว่าตามนาง “ใช่แล้วท่านน้า ท่านคิดอะไรอยู่กัน เหตุใดแม้แต่เรื่องสำคัญเช่นนี้ก็ยังลืม”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวถอนหายใจ แล้วพูดเหมือนคนหมดสิ้นหนทาง “เสี่ยวเวยเอ๋ย เจ้าว่าก่อนหน้านี้ข้าคือผู้ใดกันแน่ ก่อนข้ากลายเป็นคุณหนูแห่งเผ่าหลีซี ข้าเคยใช้ชีวิตมาอย่างไร นอกจากหญิงชราผู้นั้นแล้ว ในครอบครัวของข้ายังมีผู้อื่นอีกหรือไม่”

เฉียวเวยถามอย่างแปลกใจ “เหตุใดจู่ๆ ท่านน้าจึงถามเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเล่า”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวหลุบตาลง “ข้าเพียงแต่…อยากถามขึ้นมากะทันหันก็เท่านั้น”

จู่ๆ ก็อยากถามเพราะฉะนั้นถึงแปลกอย่างไรเล่า นางต้องพบอะไรในวังหลวงมาเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุไฉนก่อนหน้านี้ไม่ถาม หลังจากนี้ไม่ถาม ดันต้องมาถามเอาตอนนี้

แต่ในเมื่อนางไม่ยอมพูด เฉียวเวยก็ไม่สะดวกใจจะบีบบังคับนาง รอวันใดนางอยากเล่าแล้ว นางย่อมบอกเฉียวเวยเอง

หลังจากอากาศเย็นลง ท้องฟ้าก็มืดเร็วขึ้น เจ้าตัวน้อยทั้งหลายทานอาหารเย็นเสร็จก็อยากจะแล่นไปวิ่งเล่นในสวนอีกรอบ แต่ถูกเฉียวเวยบังคับต้อนเข้าห้องไปคัดอักษรโดยมีองค์ชายสามคอยเฝ้าจับตามอง

จีหมิงซิวเดินทางไปเขตต้องห้ามจนได้ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเยี่ยหลัวมาจำนวนหนึ่ง ทว่าข้อมูลมีมากเกินไปและยุ่งเหยิงเกินไปจึงยังไม่ทราบว่าจะมีบันทึกเกี่ยวกับตำหนักราชครูสักหน้าสองหน้าหรือไม่ เขานั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือแล้วอ่านอย่างอดทน

ใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้ามาในห้องด้านหน้า อาจารย์ตาฮั่วกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็อยู่ที่นี่ด้วย

เฉียวเวยเล่าเรื่อง ‘เดิมพัน’ ที่ท่านราชครูสัญญาไว้อย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว “…เขาบอกให้หมิงซิวทนอยู่ในค่ายกลสัตตบงกชให้ได้หนึ่งก้านธูป ขอเพียงผ่านเวลาหนึ่งก้านธูปแล้วหมิงซิวยังมีชีวิตอยู่ และยังยืนอยู่ได้ก็จะถือว่าหมิงซิวชนะ…เรื่องนี้ยากมากหรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียนสูดลมหายใจเบาๆ อย่างตกใจ “เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่าค่ายกลสัตตบงกชคือค่ายกลอะไรสินะ”

เฉียวเวยยกมือสองข้างมาเท้าคางแล้วบอกว่า “ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลสัตตบงกชมาก่อนนี่ แต่ข้าเคยเห็นค่ายกลสังหารของตำหนักธิดาเทพตอนอยู่ชนเผ่าลึกลับ ค่ายกลนั้นประกอบด้วยคนจำนวนหนึ่งร้อยแปดคน ทรงพลังอย่างยิ่ง เล่ากันว่าในอดีตเคยใช้หนึ่งค่ายกลต้านทหารนับพันจนได้ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ว่าค่ายกลที่ร้ายกาจขนาดนั้นก็ยังถูกมารดาของข้าทำลายในกระบวนท่าเดียวไม่ใช่หรือ”

หวนนึกถึงภาพมารดาของนางพุ่งหอกเสียบร่างสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองลอยไปปักตรึงกับตัวรถม้า เลือดลมในร่างก็ไหลพลุ่งพล่าน

หากมารดาของนางอยู่ด้วยก็คงดี มารดาของนางจะต้องมีหนทางจัดการราชครูคนนั้นให้ถึงที่ตายอย่างแน่นอน!

ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้าเบาๆ “ค่ายกลหนึ่งร้อยแปดสังหารที่เจ้าพูดถึงนั่น ข้าเคยเห็นมาก่อน มันเป็นค่ายกลที่ตกทอดมาจากอดีตเมื่อนานมาแล้ว แม้จะทรงพลังมากก็จริง แต่ก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิตอยู่จุดหนึ่ง นั่นก็คือตรงดวงตาค่ายกล ดวงคาค่ายกลของค่ายกลทั่วไปจะอยู่ตรงตำแหน่งที่เร้นลับที่สุด ทว่าดวงตาค่ายกลของค่ายกลนั้นกลับอยู่ด้านหน้าสุด ดังนั้นจึงเปิดเผยให้ศัตรูเห็นง่ายดายอย่างยิ่ง แม้จะบอกว่าคนที่เป็นดวงตาค่ายกลมักจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุด แต่หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า การทำลายค่ายกลย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”

เฉียวเวยพอจะเข้าใจความหมายของฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว สรุปก็คือค่ายกลสังหารของตำหนักธิดาเทพจะทรงพลังมากก็ต่อเมื่อใช้ต่อสู้กับคนหมู่มาก มันต่อกรกับศัตรูที่จำนวนมากกว่าฝั่งตัวเองได้ถึงสิบเท่า แต่ในขณะเดียวกันจุดอ่อนของมันก็ใหญ่หลวงเช่นกัน

แต่ในเมื่อฟู่เสวี่ยเยียนพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าค่ายกลสัตตบงกชของราชครูเยี่ยหลัวคนนั้นไร้จุดอ่อนอย่างนั้นหรือ

ฟู่เสวี่ยเยียนเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “มันก็ไม่เชิงว่าไร้จุดอ่อน เพียงแต่ว่าจุดอ่อนนั้น พวกเจ้าทำลายไม่ได้”

“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยถาม

“เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นกำเนิดของค่ายกลสัตตบงกช”

สิ่งใดที่มิได้จมหายไปกับสายธารแห่งประวัติศาสตร์มักจะถูกยุคสมัยแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งความลึกลับและมนตร์ขลัง ตำหนักราชครูเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ตัวอย่างเช่นค่ายกลสัตตบงกชอันนี้ เล่าลือกันว่ามันเป็นค่ายกลที่ใช้สังหารฉีฉยง[1]ในยุคโบราณ

ฉีฉยงเป็นสัตว์ร้ายในตำนาน มันมีขนาดตัวเท่าวัว รูปร่างคล้ายเสือ มีขนเหมือนเม่นกับปีกยาวหนึ่งคู่ มีเสียงร้องคล้ายกับสุนัขและดำรงชีวิตด้วยการกินมนุษย์เป็นอาหาร มันมีนิสัยแปลกประหลาดคือชอบขัดขวางความดีและยุยงส่งเสริมความชั่ว ไม่ว่าฉีฉยงไปเยี่ยมเยือนแดนดินแห่งหนใด โลกล้วนปั่นป่วนโกลาหล หายนะบังเกิดทั่วทุกหนแห่ง

มีฉีฉยงอยู่ตัวหนึ่งบินมายังสถานที่แห่งหนึ่งในดินแดนของเผ่าเยี่ยหลัว สถานที่แห่งนั้นมีนามว่าเขาชีเหลียน มันกินชาวบ้านที่ตีนเขาไปมากมาย จนกระทั่งนักพรตพเนจรคนหนึ่งเดินทางผ่านมายังที่แห่งนี้ เห็นฉีฉยงกำลังก่อเภทภัยแก่สรรพชีวิตเข้า เขาจึงเกรี้ยวโกรธ ขึ้นเขาไปขับไล่ฉีฉยง คิดไม่ถึงว่าฉีฉยงกลับไม่สำนึก มันไม่เพียงไม่ยอมจากไป แต่ยังจะกินนักพรตกับชาวบ้านทั้งหมดให้เกลี้ยงอีกด้วย

นักพรตไหนเลยจะยอม ด้วยเหตุนี้เขาจึงต่อสู้กับฉีฉยง

หนึ่งมนุษย์หนึ่งเดรัจฉานต่อสู้กันยาวนานถึงเจ็ดวัน ท้องนภามีอสนีบาตฟาดไม่ขาดสาย ท้องธารามีสายธารไหลบ่าไม่หยุดพัก ทั้งหมู่บ้านย่อยยับจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย โชคยังดีที่สุดท้ายนักพรตเป็นฝ่ายได้ชัยชนะสังหารฉีฉยงตกตายบนภูเขาสำเร็จ

แม้ว่านักพรตจะชนะแล้ว แต่เขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพราะเรื่องนี้ เขาบาดเจ็บหนักมาก ตอนขึ้นภูเขาไปเขาเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์คนหนึ่ง แต่ยามลงจากภูเขามาเขากลับกลายเป็นผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลน

ชาวบ้านซาบซึ้งน้ำตานองหน้า พากันมาอ้อนวอนให้เขาอยู่ที่หมู่บ้านต่อด้วยหวังว่าจะดูแลเขาตราบจนห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

แต่นักพรตกลับไม่ยอมรับความหวังดีของชาวบ้าน เขาจากไปตามลำพังอย่างเดียวดาย

ผ่านไปหลายปีก็ค่อยๆ มีข่าวแพร่กระจายออกมาว่านักพรตผู้นั้นมิใช่ใครอื่น แต่เป็นราชครูจากตำหนักราชครูนั่นเอง

ราชครูใช้ปราณกำเนิดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากหวนกลับไปได้ไม่นานก็เดินทางสู่สวรรคาลัย

แต่ค่ายกลนั้นถูกเขาบันทึกเอาไว้ คนรุ่นหลังจึงเรียกมันว่าค่ายกลสัตตบงกช

เฉียวเวยขนแขนลุกพรึ่บ “จิ๊ๆ เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายเท่านี้! ข้ากล้าพนันว่าค่ายกลสัตตบงกชอะไรนี่จะต้องเป็นค่ายกลที่อาจารย์ของบรรพบุรุษราชครูกับบรรพบุรุษโหราจารย์ส่งต่อมาให้อย่างแน่นอน! ตอนนั้นที่ทั้งสองคนแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกัน บรรพบุรุษของราชครูชนะไม่ใช่หรือไร นอกจากเขาจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมาแล้วก็คงได้สืบทอดของสิ่งอื่นมาด้วยไม่น้อย หนึ่งในนั้นคงมีค่ายกลสัตตบงกชอยู่ด้วยแน่!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักว่าอย่างดูแคลน “หากเป็นเช่นนั้นจริง คนของตำหนักราชครูนั่นก็หน้าไม่อายเกินไปแล้ว! หน้าไม่อายยิ่งกว่านางปีศาจเฒ่าฝูงนั้นของตำหนักธิดาเทพเสียอีก!”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “กินกันไม่ลงเลยทีเดียว”

ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เป็นผู้คร่ำหวอดในยุทธภพ สิ่งที่เขาสนใจย่อมแตกต่างจากคนหนุ่มสาวทั้งสอง เขาประสานหมัด ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แม่นางฟู่ สิ่งเหล่านี้ที่ท่านเล่ามาเกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำลายค่ายกลไม่ได้หรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนถอนหายใจเบาๆ “แม้จะบอกว่า ฉีฉยงอะไรเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่เสกสรรปั้นแต่งเล่าต่อกันมา แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย แต่…เหตุใดค่ายกลอื่นจึงไม่มีเรื่องเล่าถึงความร้ายกาจเช่นนี้ มีแต่ค่ายกลสัตตบงกชที่มี เรื่องนี้ไม่ใช่จะไร้เหตุผล ตอนที่สังหารฉีฉยงราชครูผู้นั้นใช้ธนูจันทร์โลหิต ธนูจันทร์โลหิตสังหารได้แม้แต่สัตว์ร้ายในตำนาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ตัวเป็นๆ แล้ว”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำท่าครุ่นคิด “หากกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าค่ายกลในวันพรุ่งนี้ก็จะใช้ธนูจันทร์โลหิตสินะ”

“ถูกต้องแล้ว” ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “นี่เป็นสิ่งที่ข้ากังวล ข้าเคยเห็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่เก่งกาจยิ่งกว่ามู่ชิวหยางถูกธนูจันทร์โลหิตสังหารในกระบวนท่าเดียวกับตาตนเอง ราชครูให้ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีอดทนอยู่ในค่ายกลธนูจันทร์โลหิตเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักนิด”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยสัมผัสฝีมือของมู่ชิวหยางมาก่อนแล้ว คนที่เก่งกาจกว่าเขายังถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว…นายน้อยน่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว!

ใต้เท้าเจ้าสำนักทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์! นี่เขาจะประลองที่ไหน เขาคิดจะฆ่าคนชัดๆ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก “ธนูจันทร์โลหิต…ร้ายกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนถอนหายใจ “หากเจ้าเคยเห็นกับตาตนเองจะไม่สงสัยคำพูดของข้าเลย”

ทุกคนถอนหายใจตาม

[1]ฉีฉยง หรือปกติเรียกกันว่าฉยงฉีเป็นสัตว์ร้ายในตำนานโบราณของจีน มีหน้าตาคล้ายเสือ ขนาดตัวเท่าวัวและมีปีกสองข้าง มีนิสัยดุร้าย ชอบกินมนุษย์