ตอนที่ 390-2 ซัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ (1)
การเปลี่ยนทิศทางหนนี้เร็วจนน่าเหลือเชื่อ น่ากลัวว่าต่อให้จีหมิงซิวร้ายกาจอีกเท่าใดก็คงไม่มีทางตอบสนองได้ทัน
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าตอนที่กำลังภายในสายนั้นกำลังจะเข้าจู่โจมใบหน้าของจีหมิงซิวนั่นเอง ร่างน้อยอวบอ้วนของวั่งซูก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจีหมิงซิวราวกับโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
หนนี้นางใช้หน้าอกเล็กๆ อันนุ่มนิ่มรับลูกธนูดอกนี้ไว้
นางก้มหน้าลงมองตรงหน้าอกราวกับว่ามีลูกธนูอยู่จริงๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างเศร้าเสียใจ “”ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า…เจ้าจะสังหารข้า…เพราะเหตุใด…เพราะ…เหตุ…ใด…”
กล่าวจบ ทั่วทั้งร่างก็ชักกระตุกสองที จากนั้นจึงฟุบลงบนพื้นอย่างสิ้นหวัง ศีรษะห้อยพับ หลับตาลงชั่วนิรันดร์
ทุกคนตกใจอย่างยิ่งเป็นหนที่สอง
ด้วยเหตุที่ตกใจมากเกินไป แม้แต่คำพูดที่เหมือนบทละครอย่างร้ายกาจกับสีหน้าที่ดูเกินจริงนั่นก็ถูกมองข้ามไปอย่างไม่ทันสังเกต
ฝูกงกงตะลีตะลานวิ่งไปทางเวทีประลอง เพิ่งวิ่งไปได้ครึ่งทาง…
“ท้าดา!”
วั่งซูก็กระโดดดึ๋งขึ้นมาอีกหน!
ฝูกงกงตกใจจนสะดุด ตัวเซหน้าทิ่มลงไปในแอ่งน้ำ!
ราชครูกำหมัดแน่น เขากำหมัดแน่นจนหัวไหล่สั่นระริก
ศิษย์ทั้งหลายมองความผิดปกติออกแล้ว แม่นางน้อยผู้นี้…ดูเหมือนจะไม่กลัวธนูจันทร์โลหิตของอาจารย์ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า
ท่านราชครูเริ่มถือคันธนูย่างเท้าบนเวทีอย่างเชื่องช้า เขาเดินมาจนถึงตรงกลางระหว่างวั่งซูกับจีหมิงซิว แล้วยิงวั่งซูหนึ่งดอก ชั่วพริบตาที่วั่งซูแกล้งตายล้มลงกับพื้น เขาก็หมุนตัวด้วยความเร็วประหนึ่งอสนีบาต หันไปยิงจีหมิงซิวอย่างแรงหนึ่งดอก!
“อ๊า”
จู่ๆ วั่งซูก็ปรากฏตัวขึ้นมากุมหัวใจเอาไว้
ท่านราชครูตกใจจนตัวสั่น เขาหันไปมองที่ว่างด้านหลังแล้วหันมามองวั่งซู สาวน้อยคนนี้โผล่มาได้อย่างไรกัน!
ท่านราชครูโกรธจนอกจะแตกตายแล้ว เลือดลมแล่นขึ้นไปบนกระหม่อม ชั่วพริบตานั้นสมองเขาพลันกลายเป็นสีขาวโพลน
เขาง้างสายธนูยิงไปทางตะวันออกที่ไม่มีคนหนึ่งดอก!
“อ้ากกก ข้าตายแล้ว!”
วั่งซูล้มลงบนพื้นเวทีฝั่งตะวันออกอย่างเจ็บปวด
ท่านราชครูยิงไปทางขุนนางบุ๋นบู๊ของราชสำนักหนึ่งดอก!
“อ้ากกก ตายอีกแล้ว!”
วั่งซูกางสองแขน ล้มอยู่เบื้องหน้าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยอย่างคับแค้น
ท่านราชครูยิงธนูขึ้นฟ้าอีกหนึ่งดอก!
“อ้ากกก” ร่างเล็กจ้อยของวั่งซูกระโดดตัวลอย เหินข้ามศีรษะของเขาไปรับลูกธนูดอกนี้เต็มๆ
ท่านราชครูโกรธสุดจะประมาณ เล็งธนูยิงลงพื้นอีกหนึ่งดอก!
“อ้ากกก” ร่างเล็กจ้อยของวั่งซูกลิ้งหลุนๆ เข้ามารับธนูดอกนี้โดยไม่หลบสักนิด!
ท่านราชครูไม่เข้าใจสักนิดว่าสาวน้อยคนนี้ทำได้เช่นไร!
ตรงไหนๆ ก็มีนางอยู่! ทิศทางไหนก็ไร้จุดบอด!
ผู้อื่นยิงธนูให้เข้าเป้า!
แต่เขายิงธนู เป้ากลับเข้ามาหาเอง!
ท่านราชครูไม่รู้ว่าตนเองยิงธนูออกไปกี่ดอกกันแน่ สี่ทิศแปดทางเขายิงจนทั่วถ้วนแทบทุกทิศทาง ยิงจนเจ็ดทวารของตนแทบจะมีควันลอยโชยขึ้นมา โมโหจนศีรษะบวมเกือบจะใหญ่เท่าศีรษะของคนสองคนแล้ว
ผู้คนด้านล่างเวทีมองดูอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นี่เป็นการประลองที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น…
สุดท้ายท่านราชครูก็แยกไม่ถูกแล้วว่าตนเองเล็งไปยังทิศทางใดกันแน่ เขาง้างสายธนูจนเวียนหัวสมองบวม
ตอนนั้นเองหูก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเลือนราง “อาจารย์ อย่า…”
ท่านราชครูเบิกตาโพลง ตอนที่สติกลับคืนมาก็เห้นว่าตนเองดันเล็งไปทางลูกศิษย์ทั้งหลาย
เขาอยากจะรั้งมือกลับ ทว่าสายไปเสียแล้ว
นอกจากศิษย์เอกที่อาศัยวิชาท่าเท้าจนโชคดีหนีรอดพ้นภัย ลูกศิษย์หกคนที่เหลือล้วนถูกกำลังภายในมหาศาลสายหนึ่งซัดกระแทกจนตัวลอย
ทั้งหกคนร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง พวกเขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำก็หมดสติไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป
ท่านราชครูนิ่งอึ้งอย่างสมบูรณ์
ด้านล่างเวทีเกิดเสียงอื้ออึง ประลองไปประลองมาซัดคนฝั่งตัวเองจนลงไปกอง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ลูกศิษย์เอกมองราชครูอย่างหวาดผวา ส่วนราชครูหันไปมองจีหมิงซิวอย่างเกรี้ยวกราดจากความอับอาย เขาใช้ภาษาเยี่ยหลัวแผ่วเบาทุ้มต่ำเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาอย่างโกรธแค้น แต่จีหมิงซิวตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ “ข้าไม่ใช่คนบอกให้เจ้ายิงมั่วซั่วเหมือนไม่มีตาสักหน่อย!”
ท่านราชครูโกรธจนเกือบจะกระอักเลือดแก่ๆ ออกมา!
จีหมิงซิวยิ้มอย่างสบายอารมณ์แล้วพูดขึ้นมาว่า “ราชครูยิงธนูมานานถึงเพียงนี้น่าจะเหนื่อยแล้ว ต่อจากนี้ผลัดถึงตาพวกเราบ้าง”
ราชครูขมวดคิ้วในทันใด
ทุกคนหันขวับไปทางจีหมิงซิว อัครมหาเสนาบดีจะเอากระบี่โหราจารย์ออกมาหรือ ในที่สุดก็จะได้ยลสุดยอดการประลองระหว่างกระบี่โหราจารย์กับธนูจันทร์โลหิตแล้วใช่หรือไม่
ทุกคนต่างเบิกตาโตกันถ้วนหน้า เกิดกลัวว่าจะพลาดชั่วพริบตาของเรื่องสนุกไป
จีหมิงซิวส่งสัญญาณมือ
ผู้ติดตามสองคนยกกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งขึ้นมาบนเวที
จีหมิงซิวเปิดฝากล่องอย่างช้าๆ จากนั้นจึงหยิบอาวุธชิ้นหนึ่งด้านในออกมา ทว่ามันไม่ใช่กระบี่ แต่กลับเป็นธนู
ธนูสีดำวาววับเหมือนกันกับในมือท่านราชครูทุกประการ
ดวงตาของท่านราชครูฉายแววฉงนวูบหนึ่ง
จีหมิงซิวกล่าวต่ออย่างสบายอารมณ์ “ท่านราชครูอาจจะยังไม่รู้ ความจริงแล้วตระกูลจีของพวกเราก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่คันหนึ่ง ไม่สู้วันนี้ให้ลูกสาวของข้าใช้ธนูจันทร์โลหิตของตระกูลจีมาน้อมรับคำสั่งสอนจากธนูจันทร์โลหิตของตำหนักราชครูดูสักหนเป็นเช่นไร”
ท่านราชครูมองธนูของจีหมิงซิว จากนั้นหันมามองธนูในมือของตัวเอง ในชั่วพริบตานั้นเขาพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขากำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่วั่งซูฉวยธนูอันหนักอึ้งในมือบิดาไปเสียแล้ว
“ฟู่! ฟู่! หนักจริงเชียว!”
วั่งซูอุ้มธนูจันทร์โลหิตขึ้นมาจนเหงื่อชุ่มโชกศีรษะ
ตอนท่านราชครูอยู่ในสภาพพร้อมเต็มร้อยยังไม่อาจรับพลังของมันได้ ยามนี้ตัวเขาถูกพิษ เหลือกำลังภายในเพียงเจ็ดส่วนจะทานรับการโจมตีดุจอสนีบาตนี่ได้อย่างไร
ท่านราชครูไม่อาจสนใจสิ่งใดได้มากมายเพียงนั้นอีกแล้ว เขาชักขาได้ก็วิ่งทันที!
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าราชครูผู้สง่างามดุจเทพเซียน จะทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล พวกเขาตกใจจนคางเกือบจะร่วงลงมา
กล่าวตามตรงฝีมือการยิงธนูของวั่งซูไม่ได้ดีสักเท่าใด ในสิบหนมีเสียเก้าหนครึ่งที่พลาดเป้า หนก่อนที่ยิงธนูถูกเป้าในวังหลวง เป็นเพียงหนเดียวที่นางยิงถูกเป้านับตั้งแต่เริ่มเรียนมา
วันนี้นางไม่โชคดีขนาดนั้นแล้ว
นางยิงพลาดเป้าออกไปไกล
ทว่าประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ ตัวเป้ามันดันวิ่งไปทางเดียวกัน
ท่านราชครูยังไม่รู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานมาหาตนเอง เขาสับขาวิ่งเร็วกว่าผู้ใดทั้งสิ้น!
เฉียวเวยทนดูไม่ได้แล้ว เจ้าจะวิ่งหนีไปทำอะไร ถ้าไม่วิ่งก็ยิงไม่ถูกเจ้าแล้วแท้ๆ