ตอนที่ 392-1 ผู้ร้ายหลังม่าน (1)
ประตูวังหลวงไม่ใช่สถานที่เหมาะสำหรับพูดคุย หลังจากพวกเขาสนทนากับศิษย์เอกสั้นๆ ครู่หนึ่ง ขุนนางทั้งหลายก็ทยอยเดินมาทางด้านนี้ จีหมิงซิวปลดม่านลงแล้วให้รถม้าแล่นออกจากวัง
ระหว่างทางกลับ ยิ่งเฉียวเวยขบคิดถึงคำพูดของศิษย์เอกเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธ “หมิงซิว ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูตัวน้อยที่หลับสนิทไว้ในอ้อมแขน แล้วบอกว่า “ดูจากท่าทางของเขาแล้ว น่าจะมิได้พูดปด”
หากศิษย์เอกไม่ได้โกหกจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว
ความจริงพวกเขาเข้าใจดีว่าผู้ร้ายในอดีตคนนั้นเพียงกระทำตามคำสั่ง เขามิใช่ผู้ร้ายหลังม่านตัวจริง ต่อให้ไม่มีเขา องค์หญิงเจาหมิงก็คงถูกทำร้ายในมือผู้อื่นอยู่ดี สาเหตุสำคัญที่พวกเขาเหนื่อยยากลำบากเพื่อตามหาเขาก็เพราะเขาแก้พิษฝ่ามือในร่างหมิงซิวกับหมิงเยี่ยได้
แต่เมื่อครู่อาจารย์ไสยเวทผู้นั้นบอกอะไร
เขาตายแล้ว
ตายเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง
พวกเขาก็เริ่มออกตามหาคนผู้นั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เหตุไฉนจึงบังเอิญเช่นนี้เล่า
ราวกับว่า…จงใจไม่ให้พวกเขาหาพบอย่างไรอย่างนั้น
เป็นฝีมือผู้ใดกัน
จวนมู่อ๋องหรือว่าตำหนักราชครู
ปัญหาข้อนี้เกรงว่าจะต้องถามเอากับฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว
รถม้ามาถึงตระกูลจีอย่างรวดเร็วยิ่ง รถม้าของอาจารย์ตาฮั่ว ใต้เท้าเจ้าสำนักกับองค์ชายสามมาถึงก่อนนานแล้ว พวกเขาไม่รู้เรื่องที่ศิษย์เอกของราชครูมาพูดคุยกับพวกจีหมิงซิว แต่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยไม่คิดจะปิดบังพวกเขา ระหว่างทางที่ไปหาฟู่เสวี่ยเยียนจึงพาพวกเขาไปด้วย
องค์ชายสามเดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกวั่งซูที่ตื่นแล้วลากไปเล่นกับพวกเจ้าก้อนขนสีขาว
ท้องของฟู่เสวี่ยเยียนเริ่มจะปิดบังไม่อยู่แล้ว นางจึงลดจำนวนการออกไปเดินเล่นด้านนอก แต่ละวันพยายามอยู่แต่ในเรือน เมื่อเห็นพวกเฉียวเวยเดินเข้ามาก็กลัดกระดุมเสื้อคลุมผ้าแพรตัวหลวม ซ่อนหน้าท้องไว้กลายๆ
เฉียวเวยบอกผลลัพธ์ของการประลองกับตำหนักราชครูให้ฟู่เสวี่ยเยียนฟังก่อน พวกเขาไม่ผิดคาดกับผลลัพธ์เช่นนี้เท่าไรนัก ไม่ว่าอย่างไรเมื่อคืนทุกคนก็เห็นวั่งซูเล่นกับธนูคันโตมากับตาตนเอง สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือข่าวที่ศิษย์เอกนำมาบอกกล่าว เรื่องที่เขายอมแอบขโมยตำราลับมาเพื่อแลกกับการขอชีวิตอาจารย์ของตนยังพอทำเนา แต่ผู้ร้ายที่ถูกเผาตายคาบ้านคนนั้นช่างน่าสงสัยเสียจริง
“เอ๋ เขาไม่ใช่ยอดฝีมือแห่งยุทธภพหรอกหรือไร เหตุไฉนจึงถูกเผาตายคาบ้านได้เล่า เขาไม่รู้จักหนีออกมาหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดตรงเข้าประเด็น
เฉียวเวยพยักหน้า แล้วพูดอย่างมั่นใจ “คนที่ฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันถึงขั้นเก้าย่อมไม่ใช่พวกกระจอกงอกง่อย ไฟไหม้ธรรมดาย่อมทำอันใดเขาไม่ได้ ไฟไหม้หนนี้มีเงื่อนงำ เขาต้องถูกคนฆ่าตายแน่”
เร็วไม่ตาย ช้าไม่ตาย ดันมาตายตอนที่พวกเขาเริ่มออกตามหาตำราลับ บังเอิญจนน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
“จะเป็นฝีมือของจวนมู่อ๋องหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้าช้าๆ “ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนผู้นั้นเป็นอาจารย์ของมู่ชิวหยาง มู่ชิวหยางเคารพเขามาตลอด เขาไม่มีบุตรธิดาจึงดูแลมู่ชิวหยางเสมือนหนึ่งบุตรของตนเอง มู่อ๋องเองก็เคารพเขายิ่งนัก หวังว่าเขาจะถ่ายทอดวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันทั้งหมดให้แก่บุตรชายของตน ข้าคิดว่าก่อนมู่ชิวหยางร่ำเรียนวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันครบถ้วน จวนมู่อ๋องไม่มีทางส่งคนไปจัดการเขา”
คนสมัยโบราณนับถืออาจารย์เป็นคุณธรรมข้อสำคัญยิ่งกว่าคนสมัยปัจจุบันมากนัก ในสายตาของพวกเขาอาจารย์แทบเสมือนหนึ่งบิดาคนที่สอง ดูจากจุดนี้จวนมู่อ๋องคงไม่มีทางทำเรื่องอย่างการทำร้ายอาจารย์อย่างผิดหลักคุณธรรมเช่นนี้ได้จริงๆ
ต่อให้ดูจากแง่มุมของผลประโยชน์ มู่ชิวหยางก็ยังฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันไม่ถึงขั้นเก้า อาจารย์ของเขายังมีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์ จวนมู่อ๋องคงจะไม่ปล่อยให้เขาเกิดเรื่องง่ายๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตา “หรือว่าจะเป็นฝีมือของตำหนักราชครู อาจารย์ไสยเวทชั่วช้าฝูงนั้นรู้ว่าพวกเราจับตัวมู่ชิวหยางมาได้ จึงกลัวว่าจวนมู่อ๋องจะส่งอาจารย์ของมู่ชิวหยางมาแลกกับเขา จึงรีบร้อนสังหารของอาจารย์ของมู่ชิวหยางทิ้ง”
ข้อสันนิษฐานนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พวกมุสิกลวงโลกจากตำหนักราชครูฝูงนั้น แม้แต่นักรบมรณะที่ผิดหลักมนุษยธรรมพรรค์นั้นยังสร้างขึ้นมาได้ ยังจะมีเรื่องเลวทรามอันใดที่พวกเขาทำไม่ได้อีกเล่า
เพียงแต่ว่าตำหนักราชครูทำเช่นนี้ไม่ต่างจากสะบั้นสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับจวนมู่อ๋อง ตอนนี้ตำหนักราชครูยุ่งอยู่กับการจัดการตระกูลจี พวกเขาจะโง่เง่าถึงขนาดสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งให้ตัวเองที่ฝั่งเยี่ยหลัวก่อนที่จะจัดการตระกูลจีได้หรือ
เฉียวเวยครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วก็ยกมือลูบคางอย่างคลางแคลงใจ จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปเห็นจีหมิงซิวที่ไม่พูดไม่จาตั้งแต่เดินเข้ามาเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งอยู่ จึงอดไม่ได้ถามขึ้นมาว่า “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้ากำลังคิดถึงชางจิว”
เฉียวเวยถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจู่ๆ ท่านก็นึกถึงเขา ท่านสงสัยว่าเขาเป็นคนสังหารอาจารย์ของมู่ชิวหยางหรือ”
จีหมิงซิวส่ายศีรษะเงียบๆ “ยังไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้หรอก ข้าเพียงกำลังคิดว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนของผู้ใดกันแน่ เป็นของจวนมู่อ๋องหรือของตำหนักราชครู หากเป็นคนของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในหมู่พวกเขา การมาเยือนของเยี่ยหลัวอย่างเป็นทางการหนนี้ เขาก็สมควรจะปรากฏตัวด้วยถึงจะถูก”
เฉียวเวยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ตอนแรกเขาจับตัวจิ่งอวิ๋นไปเพื่อจะขอแลกตัวกับมู่ชิหยาง ทำให้ข้าคิดว่าเขาเป็นคนของจวนมู่อ๋อง แต่ดูจากตอนนี้แล้วก็เหมือนว่าจะไม่ใช่”
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ตอนพวกเจ้าไปซื้อชาด ชางจิวกับยิ่นอ๋องก็กำลังซื้อชาดเหมือนกัน หลังจากเรื่องนั้นข้าไปสืบมานิดหน่อย ยิ่นอ๋องต้องการชาดเพราะพระสนมอานเฟยจู่ๆ ก็ล้มป่วย พระสนมอานเฟยบอกยิ่นอ๋องว่า นางต้องใช้ชาดโลหิตหงส์จึงจะหายดี ยิ่นอ๋องจึงไปซื้อชาดเพื่อพระสนมอานเฟย ถ้าเช่นนั้นชางจิวเล่า เขาทำไปเพื่อสิ่งใด”
เฉียวเวยจับประเด็นอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว “เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเราได้ชาดมา! เพื่อให้พวกเราพ่ายแพ้ตำหนักราชครู! เขาแอบช่วยเหลือตำหนักราชครูอยู่! แต่เขาก็ไม่ใช่คนของตำหนักราชครู แปลกจริงเชียว”
จีหมิงซิวครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “เขาไม่ได้กำลังช่วยเหลือตำหนักราชครู เขากำลังลอบทำร้ายพวกเรา คนที่เขาต้องการจัดการคือพวกเราเสมอมา ตอนนั้นเขาลักพาตัวจิ่งอวิ๋นไปเพื่อขอแลกตัวกับมู่ชิวหยางไม่ใช่ทำไปเพื่อมู่ชิวหยาง แต่เพื่อทำให้พวกเราขาดแต้มต่อที่จะกดจวนมู่อ๋อง”
เฉียวเวยยกสองมือเท้าคาง กล่าวขึ้นว่า “เขาต้องการจัดการพวกเราถึงขนาดนี้ เขาจะเป็นคนสังหารอาจารย์ของมู่ชิวหยางหรือเปปล่า”
จีหมิงซิวไม่ตอบ แต่จู่ๆ ก็หันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “แม่นางฟู่คิดว่าอย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนจิบชาคำน้อย หลุบตาลงตอบว่า “ข้าไม่ทราบ”
เฉียวเวยพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว ไห่สือซานเดินทางไปเยี่ยหลัวแล้วไม่ใช่หรือ ให้เขาสืบหาสาเหตุการตายของอาจารย์ของมู่ชิวหยางมาด้วยก็แล้วกัน ดูซิว่าจะตามหาเงื่อนงำอะไรพบบ้างหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ชอบที่พี่ใหญ่มองฟู่เสวี่ยเยียนด้วยสายตาเช่นนั้น เขารีบเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วๆ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือเอาตำราลับมาให้ได้ก่อน ไม่รู้ว่าอาจารย์ไสยเวทน้อยคนนั้นจะลงมือสำเร็จหรือไม่”
…
ณ ตำหนักฉางฮวน สายลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเฉียบ
บรรดาทูตจากเผ่าซยงหนีว์ที่เมื่อคืนวานยังร้องเพลงเต้นรำอย่างครื้นเครง วันนี้กลับเงียบอย่าแปลกประหลาด ไม่ใช่เพราะเหตุใด แต่เป็นเพราะเยี่ยหลัวพ่ายแพ้แก่ต้าเหลียงแล้ว ยามนี้หากร้องเพลงเต้นรำรื่นเริงคงจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสุขยามมองความทุกข์ของผู้อื่นอยู่จริงๆ ก็ตามที
ผู้ใดใช้ให้เริ่มแรกคนเยี่ยหลัวคิดหลอกใช้พวกเขาก่อนเล่า ในใจพวกเขาเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้มาตลอด พอเยี่ยหลัวพ่ายแพ้ พวกเขาจึงยินดีแทบแย่
เพียงแต่ยินดีอยู่ในใจก็พอแล้ว เบื้องหน้ายังต้องเก็บงำแสร้งทำเป็นเจ็บปวด
ศิษย์เอกเดินเข้ามาในตำหนักฉางฮวน แล้วเดินเข้ามาในตำหนักหลังหลักที่พวกเขาพักอาศัย ศิษย์ทั้งหลายที่เดินลาดตระเวนก้าวเข้ามาทักทาย “ศิษย์พี่ใหญ่!”
ศิษย์เอกตอบรับด้วยสีหน้าดั่งเช่นปกติ เขาบอกคนทั้งหลายว่า “เมื่อครู่ข้าไปซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บจำนวนหนึ่งมาจากข้างนอก อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ลูกศิษย์คนหนึ่งตอบว่า “ตอบศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์สภาพไม่ค่อยดีนัก หมอหลวงของต้าเหลียงมาดูอาการแล้วสั่งยารักษาอาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อยมาให้”
“ยาเล่า” ศิษย์พี่ใหญ่ถาม
ศิษย์คนนั้นตอบว่า “อยู่ที่ห้องครัวขอรับ เพิ่งต้ม ต้องรออีกพักหนึ่งจึงจะเสร็จดี”
ศิษย์เอกบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะไปต้มยา พวกเจ้าเฝ้าตำหนักไว้ ไม่มีคำสั่งของข้า ผู้ใดก็ห้ามเข้ามาทั้งสิ้น”
“ขอรับ!”