ตอนที่ 391-2 ซัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ (2)
จีหมิงซิวกล่าวขึ้นว่า “โอ๊ะ คงไม่ใช่ว่าท่านราชครูกลับมาขึ้นเวทีไม่ไหวแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า เวลาหนึ่งก้านธูปยังไม่หมดเลย พวกเราฝ่าค่ายกลกันต่อดีหรือไม่”
ยังจะฝ่าค่ายกงค่ายกลอะไรอีก!
ค่ายกลแปดคน ไม่มีดวงตาค่ายกลแล้ว เหลือแต่ศิษย์เอกเพียงคนเดียว
ค่ายกลเช่นนี้ยังต้องฝ่าอีกหรือ
นี่มันแตกไปแล้วชัดๆ ไม่ใช่หรืออย่างไร!
ศิษย์เอกโกรธจนอกจะแตกตายแล้วจริงๆ
ไม่ว่าคนของตำหนักราชครูจะไม่ยินยอมอย่างไร รอบนี้พวกเขาก็พ่ายแพ้แล้ว
ตำหนักราชครูอันยิ่งใหญ่ของเยี่ยหลัวต้องพ่ายแพ้ในมือแม่นางน้อยคนหนึ่ง หกาเล่าลือออกไปคงถูกหัวร่อจนฟันร่วงแล้วจริงๆ
จีหมิงซิวกล่าวขึ้นว่า “สามรอบชนะสอง อีกรอบหนึ่งก็คงไม่ต้องแข่งแล้ว พวกเราเป็นฝ่ายชนะ สิ่งที่อาจารย์ของเจ้ารับปากจะเดิมพันกันก่อนหน้านี้ก็สมควรส่งมอบมาให้เรียบร้อยใช่หรือไม่”
ใบหน้าของศิษย์เอกแดงก่ำเป็นสีตับหมู เขากำหมัดดังกรอด
จีหมิงซิวเก็บสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์กลับไป ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง “กล้าเดิมพันก็ต้องกล้าแพ้ หากตำหนักราชครูของพวกเจ้ากล้าเบี้ยว อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพของศิษย์ร่วมสำนัก!”
ใบหน้าของศิษย์เอกซีดเผือดในทันใด
บุรุษผู้นี้มักจะแสดงท่าทางเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายเสมอ แต่ความโหดเหี้ยมชั่วพริบตาเมื่อครู่ทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าเรื่องใดจีหมิงซิวคนนี้ก็ทำได้ทั้งสิ้น! หากพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้ จีหมิงซิวจะต้องทำให้พวกเขาได้ชดใช้ด้วยเลือด!
จีหมิงซิวก้าวมาหาศิษย์เอกอย่างเชื่องช้า เขาเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่ดังมาก ทว่าแต่ละคำกลับทำให้คนใจสั่นขวัญผวา “กลับไปบอกราชครูของพวกเจ้า ข้าให้เวลาเขาสั่งเสียสามวัน หลังจากนี้สามวันข้าจะไปเยือนด้วยตนเองเพื่อรับสิ่งที่เขาแพ้เดิมพันให้ข้า”
ศิษย์เอก…รู้สึกประหนึ่งตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง!
จีหมิงซิวหมุนตัวเดินไปถึงขอบเวที จากนั้นอุ้มวั่งซูที่ตั้งตาคอยราชครูขึ้นมา
วั่งซูกอดธนูจันทร์โลหิตในอ้อมแขน แล้วถามบิดาว่า “เมื่อใดท่านผู้เฒ่าจะกลับมาเจ้าคะ เหตุใดเพียงพริบตาเดียวเขาก็หายไปแล้วเล่า”
ยังเล่นไม่หนำใจเลยนะ!
จีหมิงซิวลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่ “ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว”
วั่งซูผายมือ “แต่ข้ายังอยากเล่นอยู่เลย ท่านพ่อ ท่านเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิเจ้าคะ”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเกือบจะสะดุดล้มหน้าทิ่มพื้น!
เด็กน้อย รังแกราชครูน่ะได้ แต่รังแกบิดา ไม่ได้นะ!
…
การประลองรอบนี้น่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่เคยจินตนาการไว้มากนัก แม้จะไม่ได้เห็นการดวลกันระหว่างกระบี่โหราจารย์กับธนูจันทร์โลหิต แต่สิ่งที่ได้เห็นวันนี้ก็นับว่าน่าตื่นตาเสียยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่จะได้เห็นในชั่วชีวิตนี้แล้ว
เด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มนางนั้นถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของอัครมหาเสนาบดี มือน้อยจ้ำม่ำสองข้างเล่นพู่ห้อยที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกขุนนางของอัครมหาเสนาบดี ดวงหน้าของนางดุจภาพวาด งามวิจิตรประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องที่เพียงสัมผัสก็แตกร้าว
ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้จะคว่ำราชครูแห่งเยี่ยหลัวได้อย่างง่ายดาย
จวบจนกระทั่งเดินออกมาจากวังหลวงแล้ว ขุนนางทั้งหลายก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง
พวกจีหมิงซิวเดินไปขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าแช่มชื่น
ตอนแรกที่ราชครูท้าสู้กับตระกูลจี เงื่อนไขที่ตระกูลจีเรียกร้องก็คือการคืนพระศพขององค์หญิงเจาหมิงมาพร้อมกับชีวิตของท่านราชครู วันนี้พวกเขาชนะแล้ว ในที่สุดองค์หญิงเจาหมิงก็จะได้นอนหลับใหลใต้พสุธาอย่างสงบสุขเสียที ส่วนราชครูผู้หยิ่งยโสคนนั้น…
“ท่านโหราจารย์!”
จังหวะที่รถม้ากำลังจะแล่นออกจากประตูวัง เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังรถ
จีหมิงซิวเลิกม่านตรงหน้าต่างรถอย่างเชื่องช้า
ศิษย์เอกวิ่งเหงื่อท่วมศีรษะเข้ามาหา ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เขาประสบพบสิ่งใดมา แต่บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน
เมื่อเขาเห็นจีหมิงซิว ลูกกระเดือกก็ขยับขึ้นลงเสร็จแล้วก็คุกเข่าลงไปเป็นอย่างแรกโดยไม่พูดพร่ำอะไรทั้งสิ้น
จีหมิงซิวแย้มรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มถามขึ้นว่า “อาจารย์ไสยเวทนี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
ศิษย์เอกก้มหน้าลงไปตอบว่า “อาจารย์บาดเจ็บหนักมาก กำลังภายในที่สั่งสมมาครึ่งชีวิตหายไปหมดสิ้นแล้ว ขอท่านโหราจารย์ผู้สูงส่งโปรดเมตตา ละเว้นชีวิตของอาจารย์ข้าด้วย!”
เฉียวเวยจิ๊ปาก ดูไม่ออกเลยว่าลูกศิษย์ผู้นี้จะเป็นคนกตัญญูถึงเพียงนี้
จีหมิงซิวตอบอย่างเฉยชาว่า “หากข้าไม่ละเว้นเล่า”
ศิษย์เอกตอบว่า “ข้ามีสิ่งที่โหราจารย์ต้องการ หากท่านโหราจารย์ยอมละเว้นอาจารย์ของข้า ข้ายินดีประเคนของสิ่งนั้นมอบให้!”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างเฉยเมย “ของสิ่งใดจะมีค่าเท่ากับชีวิตของราชครูแห่งเยี่ยหลัว”
ศิษย์เอกตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าทราบว่าสมบัติธรรมดาคงไม่อยู่ในสายตาของท่านโหราจารย์แต่หากเป็นชีวิตของตัวท่านโหราจารย์เองกับน้องชายของท่านเล่า สองชีวิตแลกกับชีวิตอาจารย์ข้าคนเดียว การแลกเปลี่ยนหนนี้ ท่านโหราจารย์คิดว่าคุ้มค่าหรือไม่”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยถามแทรกขึ้นมา
ศิษย์เอกถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านโหราจารย์กับจั๋วหม่าน้อยเคยขอตัวคนร้ายที่ทำร้ายองค์หญิงเจาหมิงจากมู่ชิวหยาง แต่มู่ชิวหยางไม่ยอมรับปากท่านโหราจารย์ใช่หรือไม่ ความจริง ไม่ใช่เพราะมู่ชิวหยางไม่อยากตอบตกลง แต่เพราะเขาไร้หนทางจะทำให้ได้ นั่นก็เพราะคนร้ายผู้นั้นโชคร้ายสิ้นใจไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแล้ว เขาเป็นคนสุดท้ายที่ฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันจนถึงขั้นที่เก้า นอกจากเขาแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดแก้พิษฝ่ามือบนร่างของท่านโหราจารย์กับน้องชายของท่านได้อีกแล้ว”
เฉียวเวยมองออกว่าเขาไม่ได้โกหก จึงเลิกม่านขึ้นจนกว้างสุด “เขาตายแล้วไม่สำคัญ ตำราลับเล่า”
ศิษย์เอกได้ยินคำนี้ก็ทราบว่าอีกฝ่ายตั้งใจจจะฝึกฝนวรยุทธ์เพื่อแก้พิษด้วยตัวเอง เขาตอบอย่างจริงจัง “สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือเรื่องนี้ ยามนั้นเขาถูกคนเผาตายอยู่ในบ้าน ตำราลับจึงถูกเผาสิ้นสูญไปพร้อมกัน แต่ในมืออาจารย์ข้ามีตำราลับฉบับลายพิมพ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ชุดหนึ่ง ขอเพียงพวกท่านรับปากว่าจะละเว้นอาจารย์ของข้า ข้า…ข้าจะขโมยตำราลับมาให้พวกท่านเอง!”