ตอนที่ 2785 เกาะอมตะชั้นสูง…เกาะหลัก!

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ตอนที่ 2,785 : เกาะอมตะชั้นสูง…เกาะหลัก!

ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปเมื่อครู่ ทั้งหมดเป็นแค่การหยั่งเชิงไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อีเท่านั้น เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอย่างไร จะเลือกคนที่พบกันครั้งแรกอย่างเขามั้ย…

แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าประมุขนิกายอมตะไท่อี ไป๋ผิง ผู้นี้จะกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนัก เพื่อรักษาตัวเขาไว้ ถึงขั้นตัดใจละทิ้งปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ที่ว่าได้…!

ถึงแม้เขาจะพอทราบเหตุผลที่ไป๋ผิงเลือกเขา ว่าไม่พ้นเป็นเรื่องที่เขาหลอมโอสถหลัวเทียนได้ ทำให้มีคุณค่ามากกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3…แต่ความกล้าหาญนี้ของไป๋ผิงก็ทำให้เขาประทับใจไม่น้อย!

ท้ายที่สุดแล้วปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ที่ว่า ก็สมควรอยู่ในนิกายอมตะไท่อีมานาน! ต่างจากเขาที่พึ่งมาถึงนิกายอมตะไท่อีได้ไม่ถึงวัน!!

หากเขาเป็นไป๋ผิง และลองถามตัวเองดูเขาก็ตอบได้ทันที ว่าเขาอาจไม่กล้าตัดสินใจอย่างไป๋ผิง!

“ประมุขนิกายไป๋ผิง ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้นเอง…”

“รบกวนท่านช่วยนัดปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ให้ข้าพบด้วย…”

เมื่อเสียงพูดต้วนหลิงเทียนดังจบคำ สีหน้าเป็นกังวลของเถี่ยไท่เหอ ผู้พิทักษ์ซ้ายแห่งนิกายอมตะไท่อี ก็สลายหายไปทันที มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตายังฉายความขอบคุณออกมาเล็กน้อย

ด้านประมุขนิกายอมตะไท่อี พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนมันก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่ลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างลับๆ รู้สึกโล่งใจนัก!

การเลือกต้วนหลิงเทียน ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่สามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้ โดยสละปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอีก 3 ท่านที่เป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของนิกายอมตะไท่อีมานานนั้น…

สำหรับไป๋ผิงแล้ว ช่างเป็นการตัดสินใจเลือกที่บีบคั้นหัวใจเหลือเกิน! เรียกว่าในใจมันเมื่อครู่บังเกิดแรงกดดันอันใหญ่หลวงจริงๆ!

เพราะต้วนหลิงเทียนนั้น มันยังไม่รู้แม้แต่ความเป็นมา รวมถึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนจะอยู่นิกายอมตะไท่อีนานแค่ไหน…

จึงกล่าวได้ว่า หากต้วนหลิงเทียนคิดลงหลักปักฐานที่นิกายอมตะไท่อีเป็นเวลานาน การเลือกต้วนหลิงเทียนโดยสละทั้ง 3 ไปก็ถือว่าคุ้มค่า! เพราะด้วยความสามารถของต้วนหลิงเทียน ต้องทดแทนปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ได้แน่!!

แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนไม่อาจอยู่ในนิกายอมตะไท่อีได้นานเล่า?

หากเป็นแบบนั้นขึ้นมา นับว่าการเลือกรั้งต้วนหลิงเทียนเอาไว้โดยสละปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ไป…นิกายอมตะไท่อีก็ไม่ต่างอะไรจากเฉือนเนื้อเถือหนังตัวเองแล้วจริงๆ!

“ย่อมได้! ข้าจักไปจัดการเรื่องนี้ทันที!”

ไป๋ผิงเร่งกล่าวเห็นด้วยกับต้วนหลิงเทียนเร็วไว แถมอาการมันยังคึกคักออกหน้าออกตา คล้ายทนรอไปจัดการเรื่องราวไม่ไหวแล้ว ช่างไม่เหมือนตัวตนขุนนางอมตะ 7 ดาราแม้แต่น้อย…

“ผู้พิทักษ์เถี่ย ข้าจักไปเข้าพบปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 ท่านเพื่อนัดวันให้ปรมาจตารย์โอสถต้วนได้พบปะสนทนากันโดยเร็ว…รบกวนท่านไปจัดการเรื่องที่พักให้ปรมาจารย์โอสถต้วนแทนข้าด้วย”

จากนั้นไป๋ผิงก็เร่งหันไปกล่าวกับเถี่ยไท่เหอ และพูดออกมารวดเดียวจบ

และพอกล่าวถึงท้ายประโยค ไป๋ผิง ก็หันไปมองเกาะอมตะชั้นสูงด้านหลัง อันเป็นเกาะที่มันพักอาศัยและใช้บ่มเพาะ พลางกล่าวเพิ่มกับเถี่ยไท่เหออีกประโยคหนึ่ง “แล้วก็ให้ทั้งคู่พักในเกาะอมตะชั้นสูงเกาะนี้เลยเถอะ”

“ปรมาจารย์โอสถต้วน แม่นางฮ่วนเอ๋อ ข้าประมุขไปก่อน แล้วค่อยกลับมาหาพวกท่าน!”

หลังกล่าวลาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ไป๋ผิง ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทันที ราวกับคนคล้ายหายไปในอากาศธาตุ!

ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ มีแต่เถี่ยไท่เหอเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นร่างไป๋ผิงได้ชัดถนัดตา จึงเห็นว่าไป๋ผิงพุ่งตรงไปที่เกาะอมตะชั้นสูงอีกเกาะหนึ่งด้วยความเร็วสูง

“ปรมาจารย์โอสถต้วน ดูเหมือนท่านประมุขจะให้ความสำคัญกับท่านอย่างยิ่ง”

หลังไป๋ผิงเหินร่างจากไป เถี่ยไท่เหอก็กล่าวชักชวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะเหินร่างนำไปยังเกาะอมตะชั้นสูงด้านหน้าพลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “เกาะอมตะชั้นสูงทั้ง 9 เกาะของพวกเรา มี 1 เกาะหลัก ซึ่งก็คือเกาะที่ท่านเห็นด้านหน้า…”

“แม้หากเปรียบเทียบเรื่องสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะแล้ว เกาะอมตะชั้นสูงอีก 8 เกาะก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเกาะนี้มากนัก…แต่ความหมายของเกาะหลักในบรรดาเกาะอมตะชั้นสูง ก็มิใช่อะไรที่เกาะอมตะชั้นสูงอีก 8 เกาะจะเทียบได้…”

“เนื่องเพราะเกาะอมตะชั้นสูงอันเป็นเกาะหลักเบื้องหน้าพวกเรา เป็นสถานที่พำนักของประมุขนิกายอมตะไท่อีและผู้อาวุโสสูงสุดมาโดยตลอด นอกจากท่านประมุขกับท่านผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ก็มีแต่อาคันตุกะที่มีเกียรติที่สุดของนิกายอมตะไท่อีเท่านั้น ที่จักสามารถพักอาศัยอยู่บนเกาะหลักแห่งนี้ได้…”

“กระทั่งตอนที่ประมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้ง 3 คนที่ว่ามาถึงตอนแรก ท่านประมุขก็มิได้จัดให้ทั้ง 3 พักอาศัยบนเกาะหลัก”

ระหว่างกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา เถี่ยไท่เหออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่หลายรอบ

“ถ้างั้นข้าต้องรู้สึกภาคภูมิใจให้มากๆหน่อย…”

ได้ยินคำของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มกล่าว

“ท่านปรมาจารย์โอสถต้วนมีอารมณ์ขันยิ่ง…อาศัยความสามารถของท่าน ก่อนที่ท่านจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะไท่อีเราอย่างเป็นทางการ ท่านก็เป็นดั่งอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติสูงสุดของนิกายอมตะไท่อีเรา เช่นนั้นท่านได้พักอาศัยบนเกาะหลักก็นับว่าสมควรแล้ว”

เถี่ยไท่เหอยิ้มกล่าวตอบ

และภายใต้การจัดการของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ได้ที่พักบนเกาะหลักในบรรดาเกาะอมตะชั้นสูงทั้ง 9 ของนิกายอมตะไท่อี และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงความหนาแน่นบริบูรณ์ของพลังวิญญาณฟ้าดิน

‘สมแล้วที่ถือครองชีพจรผลึกอมตะระดับต่ำ…สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่นี่ นับว่าห่างไกลเกินกว่าสถานที่แห่งใดที่ข้าเคยอยู่มาจะเทียบได้’

หลังสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินในห้องพัก ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

‘แถม..พลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่ยังเหนือกว่าขีดจำกัดสูงสุดที่ข้าดูดซับได้เสียอีก กล่าวได้ว่าต่อให้ข้าบ่มเพาะพลังที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากบ่มเพาะในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นจากผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ’

ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ในเวลาเดียวกัน

ตอนนี้เขายังเป็นแค่ต้าหลัวจินเซียนเท่านั้น สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดของเขาจึงไม่จำเป็นต้องดีถึงขนาดนี้ก็ได้ และต่อให้พลังวิญญาณฟ้าดินจะหนาแน่นมากเกินไป ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเลย

พลังวิญญาณฟ้าดินที่เขาดูดซับได้ยังมีขีดจำกัดไม่สูง

‘แต่อย่างน้อยๆ พอได้มาอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อในการบ่มเพาะ…แต่หากด่านพลังข้าก้าวหน้า สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่นี่ ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้า ถึงตอนนั้นก็ต้องย้อนกลับไปพึ่งผลึกเทพของฮ่วนเอ๋ออยู่ดี’

ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจน

เหมือนดั่งฮ่วนเอ๋อ

ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อก็คือยอดเซียนอมตะ แม้เกาะหลักของเกาะอมตะชั้นสูงทั้ง 9 แห่งนิกายอมตะไท่อีจะมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดี แต่ก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดที่นางจะดูดซับได้

เช่นนั้นกล่าวได้ว่าฮ่วนเอ๋อบ่มเพาะด้วยสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากผลึกเทพ ก็ยังดีกว่าบ่มเพาะโดยอาศัยสภาพแวดล้อมที่นี่…

“พี่หลิงเทียน…แล้วหลังจากนี้ฮ่วนเอ๋อไม่ต้องใส่ผ้าปิดหน้าอะไรแล้วเหรอ”

หลังจากเถี่ยไท่เหอจากไป ฮ่วนเอ๋อก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียน สองตาดั่งสารทฤดูของนางบัดนี้ใสกระจ่างนัก

“ข้าก็ไม่รู้…”

พอต้วนหลิงเทียนตอบออกมา ฮ่วนเอ๋อก็ชักสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอนางได้ยินวาจาประโยคถัดมาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีอานุภาพบดบังทัศนียภาพโดยรอบทันตาเห็น

“แต่อย่างน้อยๆในแดนร้างแห่งนี้ ต่อไปฮ่วนเอ๋อก็ไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดปากกับหมวกงอบคลุมหน้าแล้ว”

และนี่คือคำพูดต่อมาของต้วนหลิงเทียน

ยังเป็นอะไรที่ทำให้ฮ่วนเอ๋อมีความสุขมาก!

ถึงแม้ว่าหากเดินทางออกจากแดนร้างไปยังต้องปกปิดหน้าตาเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยๆหากอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องใส่มันอีก ทำให้ฮ่วนเอ๋อบังเกิดความพึงพอใจไม่น้อย เรียกว่าเป็นความสุขเล็กๆของนาง

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ และฉินอวี่เริ่มลงหลักปักฐานในนิกายอมตะไท่อี ทางด้านเมืองไท่อีที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ก็บังเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่

“ผู้ดูแลอาวุโสของนิกายอมตะไท่อี หวงเชา ผู้คุมกฏนิกายอมตะเชียนจี เชวียลั่ง และผู้อาวุโสของนิกายอมตะหวู่หลง เถิงชิ่ง…ทั้ง 3 ไปปรากฏตัวในเขตที่พักของประเทศอมตะเถิงหลงที่ทางนิกายอมตะไท่อีจัดให้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยไม่ได้นัดหมาย?”

“แถมทั้ง 3 ยังจงใจไปหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามไร้ที่ติผู้นั้น?”

“ทั้ง 3 คนไม่ใช่มักมีข่าวฉาวเรื่องสตรีหรอกหรือ…ลองแห่กันไปแบบนั้น โฉมงามนั่นไม่ตายหยังเขียดแล้วหรือไร?”

“ช่างน่าเสียดายยิ่ง…”

ในขณะที่ผู้คนในเมืองไท่อีเริ่มได้รับทราบเรื่องราวการเดินทางไปเยือนโฉมงามอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาของตัวตนฉาวโฉ่ทั้ง 3 ทั้งหมดก็พากันรู้สึกว่า…บัดนี้โฉมงามในฝันมิแคล้วต้องยับเยินเป็นบุปผาชอกช้ำแล้วแน้แท้! เพราะอย่างไรทั้ง 3 ที่ว่าก็เป็นถึงขุนนางอมตะอันทรงพลัง!!

“หวงเชา เชวียลั่ง เถิงชิ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะอันทรงพลัง แถมทั้งหมดยังมิใช่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่อ่อนแอที่สุด แต่ร้ายกาจเหนือกว่าขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั้งสิ้น!”

“ด้วยพลังฝีมือที่กินกันไม่ลงของทั้ง 3 ข้าว่าป่านนี้โฉมงามคงถูกทุกคนผลัดกันเชยชมแล้วล่ะ…”

“เหอะๆ ผลัดกันเชยชม? ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ไหนเลยจะตกลงเรื่องแบ่งสันปันส่วนโฉมงามกันได้?”

“มิผิด เรื่องเช่นนี้ไหนเลยจะแบ่งปันหรือผลัดกันเชยชมได้…ข้าเชื่อว่าทั้ง 3 ต้องหาวิธีตัดสินกันให้รู้ชัด ว่าหนึ่งเดียวที่จะได้ครอบครองโฉมงามเป็นใคร!”

“สมควรเป็นเช่นนั้น”

“น่าเสียดายก็แต่โฉมงามผู้นั้น มิน่าต้องมาตกอยู่ในอุ้งมือมารของทั้ง 3 เลย…”

ผู้คนในเมืองงไท่อีที่ยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พอได้รับทราบเรื่องดังกล่าว ต่างก็พากันเห็นใจโฉมงามในภาพเหมือนทั้งสิ้น

“หึหึ! สหายทั้งหลาย…ข่าวของพวกเจ้ามันล้าหลังไปแล้ว…ข้ากลัวว่าทั้ง 3 คงมิมีวาสนาเชยชมโฉมงามอีกแล้วล่ะ เพราะมิว่าจะเป็นหวงเชา เชวียลั่งหรือเถิงชิ่ง ก็ล้วนถูกเข่นฆ่าสังหาร…ไปเมืองผีกันหมดสิ้นแล้ว!!”

และในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันด้วยความเสียดาย เสียงเย็นชาหนึ่งก็ดังขึ้นในมุมหนึ่งของเหลาอาหาร เปลี่ยนบรรยากาศคึกคักในเหลาให้กลายเป็นเงียบงันทันใด

เรียกว่าก่อนหน้าที่เสียงนี้จะดังขึ้น ผู้คนในโถงรวมที่นั่งดื่มกินกันในเหลายังแข่งกันถอนหายใจดังเฮือกๆ เพราะเห็นใจชะตาอนาถของโฉมงามที่สุดแสนจะน่าเวทนาอยู่หยกๆ

ทว่าพอเสียงเย็นชาในมุมหนึ่งของเหลาดังขึ้น ทุกผู้คนก็พร้อมใจกันเงียบกริบ เรียกว่าต่อให้มีเข็มร่วงตกลงพื้นสักเล่มยังได้ยิน!

ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!

และครู่ต่อมาทุกผู้คนในโถงรวมของเหลาอาหาร ก็หันขวับไปจับจ้องมองหาเจ้าของเสียงอย่างพร้อมเพรียง จึงพบว่าผู้ที่พูดออกมาเมื่อครู่เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมผ้าแพรหรูหรา ลักษณะแลดูไม่คล้ายผู้คนธรรมดา

“น้องชายท่านนี้…ที่ท่านพูดเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือ?”

ชายชราคนหนึ่งที่ในมือยังถือตะเกียบ กล่าวถามชายวัยกลางคนออกมาด้วยความสงสัย

“ข้าเป็นองค์ชายคนหนึ่งของประเทศอมตะเถิงหลง…แล้วพวกเจ้าว่าเรื่องที่ข้าพูดไปมันจริงหรือเท็จเล่า? ที่สำคัญข้าจะบอกอะไรให้ ตอนที่หวงเชา เชวียลั่ง และเถิงชิ่งตกตาย ข้าที่อยู่ในเหตุการณ์ยังเห็นมากับตา!”

ชายวัยกลางคนพอเห็นว่าทุกคนหันมามองสนใจตัวเอง ก็กล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

และข้างๆโต๊ะที่ชายวัยกลางคนนั่งดื่มกินอยู่คนเดียว ก็ปรากฏร่างชายชรา 2 คนยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เพียงดูก็รู้ว่าเป็นผู้คุมกันของมัน

ควบคู่ไปกับลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา และชุดคลุมผ้าแพรหรูหรานั่น ก็มีไม่กี่คนที่สงสัยในวาจาของมัน!

“มิทราบว่าองค์ชายท่านนี้…ช่วยเล่ารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้น้องชายและสหายในเหลารับทราบได้หรือไม่?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาในชุดหรูปักลายพร้อย แลดูบอกยี่ห้อคุณชายบ้านใหญ่ผู้หนึ่ง หันไปประสานมือกล่าวถามชายวัยกลางคนที่อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายของประเทศอมตะเถิงหลงด้วยความสงสัย

สิ้นคำกล่าวของมัน ดวงตาของเหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาก็ลุกวาวขึ้นทันที หลายคนยังยกนิ้วโป้งให้ชายหนุ่มที่เป็นผู้กล้ากล่าวถามแทนทุกคนออกไป ก่อนที่จะหันไปมองจ้องชายวัยกลางคนมาดองค์ชายเป็นสายตาเดียวกัน

ตอนนี้พวกมันทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน…

ว่าขุนนางอมตะจากนิกายอมตะอันยิ่งใหญ่ในแดนร้างทั้ง 3 ตายตกลงได้อย่างไร?