เล่ม 1 ตอนที่ 397-1 ความพิโรธของจักรพรรดิ (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 397-1 ความพิโรธของจักรพรรดิ (1)

เรื่องที่ยิ่นอ๋องขโมยตำราลับไปทำให้ฮ่องเต้พิโรธอย่างยิ่ง หลังจากเห็นหน้ายิ่นอ๋อง ฮ่องเต้ก็ด่าทอยิ่นอ๋องอย่างรุนแรง “…เจ้ารู้ฐานะของตนเองบ้างหรือไม่! เจ้าเป็นองค์ชายของต้าเหลียง! แต่เจ้ากลับกล้าสมคบกับคนเยี่ยหลัวขโมยตำราลับไป! เจ้าจะทำให้ข้าโกรธตายใช่หรือไม่!”

เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยิ่นอ๋องทราบแล้วว่าสิ่งที่ถูกขโมยไปคือสิ่งใด แล้วก็ทราบเรื่องที่จีหมิงซิวมีพิษฝ่ามืออยู่ในร่างแล้ว เรื่องประหลาดทั้งหลายที่เคยขบคิดไม่ตก เวลานี้ล้วนเปิดเผยกระจ่าง มิน่าร่างกายของจีหมิงซิวถึงแปลกประหลาดเช่นนั้น มิน่าจีหมิงซิวจึงมักจะสวมหน้ากากอยู่ตลอด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะถูกพิษของคนเยี่ยหลัวนี่เอง

แล้วก็ไม่แปลกที่เฉียวซื่อจะแย่งชิงตำราเล่มนั้นสุดชีวิต

ยิ่งไม่แปลกที่เสด็จพ่อของเขาจะโกรธจนควันลอยออกจากเจ็ดทวาร

“เจ้าพูดมา! ผู้ใดให้เจ้าทำเช่นนี้ พรรคพวกของเจ้าคือผู้ใด! อย่ามาทำบื้อใบ้ใส่ข้า! เจ้าเป็นโอรสของข้า หากข้าจะลงโทษเจ้าขึ้นมาจะลงโทษไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้ตรัสอย่างโกรธจัด

ยามตกใจจนเลยขีดจำกัด คนกลับนิ่งสงบ ยิ่นอ๋องยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสีหน้านิ่งสงบ ก็ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใด แต่เขาก็ประจันหน้ากับสายตาเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้อย่างดื้อรั้น “ข้าไม่มีพรรคพวก ทุกสิ่งข้าทำคนเดียว”

ฮ่องเต้พิโรธจนกัดฟันกรอด “ทำคนเดียวหรือ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร ตอนที่ตำราลับถูกขโมยเจ้าอยู่ที่กรมกลาโหม! เจ้าลองบอกข้าซิว่าเจ้าหายตัวมาได้อย่างไร!”

ยิ่นอ๋องหลุบตาลง “พวกเขาคิดว่าข้าอยู่ที่กรมกลาโหม แต่ความจริงข้าใช้วิชาตัวเบาออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกต”

ฮ่องเต้ขว้างถ้วยข้างมือจนแตกกระจาย “โกหก เจ้าแต่งเรื่องมาหลอกข้าอีกสิ!”

ไม่ว่าอย่างไรยิ่นอ๋องก็ไม่เปลี่ยนคำพูด

เดิมทีฮ่องเต้ไม่ใช่คนโกรธง่าย แต่เวลานี้พระองค์ถูกยิ่นอ๋องทำให้โกรธจนแทบอกแตกตาย “เจ้าอย่าคิดว่าเป็นโอรสของข้าแล้ว ข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้! สมคบกับเยี่ยหลัวมีโทษประหาร! ข้าสั่งริบศีรษะของเจ้าได้!”

ยิ่นอ๋องตอบว่า “ลูกเพียงแต่หยิบตำรามาเล่มหนึ่งเท่านั้นก็ถูกเสด็จพ่อใส่ร้ายว่าสมคบกับคนเยี่ยหลัวแล้ว จีหมิงซิวเป็นถึงลูกชายของคนเผ่าเยี่ยหลัว เหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่บอกว่าเขาสมคบกับศัตรูทรยศแผ่นดินบ้าง”

ฮ่องเต้ลมหายใจสะดุด “เจ้า…นี่เจ้ายังจะมาตำหนิข้าอีก!”

ยิ่นอ๋องตอบเสียงเฉยชา “พระทัยของเสด็จพ่อลำเอียง ลูกพูดมากอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าลูกจะทำดีมากสักเพียงใด ในสายพระเนตรของเสด็จพ่อก็มีเพียงรัชทายาทกับจีหมิงซิว รัชทายาทเป็นโอรสในสายเลือดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะรักเขาถึงเพียงนั้นก็ช่างเถิด แต่จีหมิงซิวเป็นอะไร เขาอาศัยอะไรมาครอบครองความโปรดปรานของเสด็จพ่อ ข้าริษยาเขา ข้าเกลียดชังเขา ข้าไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีกต่อไป! ดังนั้นเมื่อข้าทราบว่าพิษฝ่ามือในร่างเขาต้องใช้ตำราลับมาแก้พิษ ข้าจึงขโมยตำราลับมาเสีย”

“เจ้าโกหก!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างโกรธเกรี้ยว

ยิ่นอ๋องตอบอย่างเฉยชา “ลูกเปล่า”

ฮ่องเต้สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “เจ้า…เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่สารภาพใช่หรือไม่ ดี เจ้าไม่ยอมสารพภาพ ข้าก็มีวิธีให้เจ้าสารภาพ! ทหาร! ลากเขาไปไว้ในคุกใต้ดิน! ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ง้างปากเขาออกมาให้จงได้!”

นี่หมายความว่าจะใช้การทรมานเค้นให้ยิ่นอ๋องสารภาพแล้ว

ทหารราชองครักษ์ลากคนออกไปอย่างจำใจ

คนทำงานเช่นพวกเขามีหลายเรื่องก็จนใจมากเหลือเกิน ผู้ที่ถูกขังคุกอย่างอยุติธรรมในวันนี้ ใช่ว่าวันหน้าจะไม่ได้คืนความบริสุทธิ์ หลังจากได้รับความยุติธรรมแล้วผู้ใดจะกล้าตำหนิว่ากล่าวฮ่องเต้เล่า ก็มีแต่พวกเขาคนที่รับบัญชาทำงานเหล่านี้ที่ต้องพบกับเคราะห์ร้าย

แต่หากไม่ทำตามพระบัญชาของฝ่าบาท พวกเขาก็คงประสบกับเคราะห์ร้ายตั้งแต่เวลานี้เลย

คนทั้งกลุ่มจึงได้แต่จับยิ่นอ๋องไปขังในคุกใต้ดินอย่างจนหนทาง จากนั้นตรึงสองมือกางออกมัดไว้ในห้องทรมาน เครื่องทรมานทั้งหลายผลัดกันมาเยี่ยนเยือนจนครบ

ยิ่นอ๋องถูกแส้ฟาดจนหนังฉีกเนื้อแตก แต่เขากลับกัดฟันปิดปากสนิท

ทุกคนพอมองออกแล้วว่ายิ่นอ๋องเป็นพวกหัวแข็งคนหนึ่ง ต่อให้วันนี้เฆี่ยนเขาจนตาย เขาก็ไม่มีวันเปิดปากพูดแม้แต่ครึ่งคำ

ในตอนที่ทุกคนร้อนรนหัวแทบไหม้อยู่นั่นเอง ขันทีน้อยคนหนึ่งก็เข้ามารายงานด้านในว่าฮูหยินอัครมหาเสนาบดีมา

เฉียวเวยเพิ่งเคยเข้ามาในห้องทรมานของยุคโบราณเป็นครั้งแรก มันเย็นกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากนัก กลิ่นคาวเลือดที่ชวนให้คนอาเจียนอบอวลไปทั่วห้องขัง โชคดีที่นางเป็นหมอจึงคุ้นชินกับกลิ่นเช่นนี้แล้ว หากเปลี่ยนเป็นแม่นางธรรมดาคนอื่น เกรงว่ายังไม่ทันเดินได้สองก้าวก็คงเป็นลม

“ฮูหยิน” ทุกคนคำนับนาง

เฉียวเวยมองยิ่นอ๋องที่ถูกมัดอยู่บนเสาไม้ แล้วเอ่ยกับองครักษ์ว่า “เอาเขาลงมา ข้ามีอะไรจะพูดกับเขา”

“เรื่องนี้…” หัวหน้าองครักษ์ลังเลครู่หนึ่ง ในใจชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องน่ากลัวที่อาจจะตามมาหากล่วงเกินจวนอัครมหาเสนาบดีกับการถูกลงโทษสถานเบาโบยไม่กี่ไม้หากถูกพบว่ายอมผ่อนปรนสักหน สุดท้ายเขาก็ปล่อยยิ่นอ๋องลงมา

เฉียวเวยบอกว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ก่อนข้าออกไปอย่าได้เข้ามา”

“ขอรับ!” ทุกคนขานรับ จากนั้นเดินออกจากคุกใต้ดินตามหลังหัวหน้าองครักษ์ไป

คุกใต้ดินแห่งนี้เดิมทีเป็นคุกลับ เอาไว้ใช้บีบผู้ต้องสงสัยที่กระทำความผิดในวังให้สารภาพ ขนาดของมันจึงไม่ใหญ่นัก มีห้องขังเพียงเจ็ดแปดห้องกับห้องทรมานสองห้อง ยิ่นอ๋องเป็นคนเพียงคนเดียวที่กำลังถูกบีบให้สารภาพในคุกใต้ดินแห่งนี้ หลังจากองครักษ์ออกไปแล้ว ภายในห้องอันหนาวเย็นจึงเหลือแต่เขากับเฉียวเวย

เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าเขา กระโปรงขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งเมฆมงคลเคลื่อนคล้อยลอยมาถึงเบื้องหน้าเขาอย่างเชื่องช้า

เขาปรือตาขึ้นช้าๆ สายตาที่พร่ามัวเล็กน้อยมองเห็นเพียงเงาร่างสีขาวเลือนรางร่างหนึ่ง

เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไยต้องทำเช่นนี้ด้วย ของไม่ใช่เจ้าเป็นคนขโมย เหตุใดเจ้าต้องรับความผิดมาแบกไว้กับตัว เจ้ารู้ว่าคนร้ายคือผู้ใดใช่หรือไม่”