ตอนที่ 398-2 ความพิโรธของจักรพรรดิ (2)
หลังจากวังหลวงค้นหาตำราลับจบ ก็เริ่มต้นออกค้นหาพระสนมอานเฟยขนานใหญ่ เฉียวเวยช่วยอะไรไม่ได้จึงกลับตระกูลจีอย่างเชื่อฟัง
หลังกลับไปถึงแล้ว นางก็หยิบสมุดเล่มเล็กที่หาพบเมื่อวานออกมาเป็นอย่างแรก สมุดเล่มน้อยถูกเย็บขึ้นอย่างสดใหม่ รอยเย็บกับเส้นด้ายล้วนใหม่เอี่ยม เฉียวเวยนับอย่างละเอียด ทั้งหมดมีแปดหน้า เมื่อรวมกับหนึ่งหน้าที่ได้มาจากศิษย์เอกของราชครู ทั้งหมดก็เก้าหน้าพอดี
รอหมิงซิวฝึกวิชาเก้าหน้านี้จนสำเร็จ พิษฝ่ามือในร่างก็จะมีทางแก้แล้ว!
เฉียวเวยวางกระดาษเก้าแผ่นไว้บนโต๊ะอย่างอารมณ์ดี นางตั้งใจจะหาเข็มกับด้ายมาเย็บพวกมันเข้าด้วยกันใหม่
นางเดินไปถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดึงลิ้นชักน้อยออกมาเพื่อจะหยิบกรรไกรกับม้วนด้ายและเข็ม ทว่าตอนที่สนเข็มเสร็จกลับต้องแตกตื่นเมื่อพบว่าสมุดน้อยบนโต๊ะหายไปแล้ว เหลือแต่กระดาษแผ่นเดียวที่ไม่ทันถูกเย็บเข้าไปวางเดียวดายอยู่ตรงนั้น
เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือกในพริบตา เมื่อครู่ไม่มีคนเข้ามาแท้ๆ เวลาเพียงชั่วพริบตาของจะหายไปได้อย่างไร!
“เสี่ยวไป๋!”
เสี่ยวไป๋ไม่อยู่ มันไปวิ่งเล่นในสวนดอกไม้
“ต้าไป๋!”
ต้าไป๋ก็ไม่อยู่ มันก็ไปวิ่งเล่นในสวนดอกไม้เหมือนกัน
จูเอ๋อร์กับอาจารย์ตาฮั่วเองก็ไปนั่งอาบแดดบนรถเข็นที่ริมทะเลสาบ
ไม่ใช่เจ้าสัตว์น้อยทั้งสามเล่นพิเรนทร์ แล้วฝีมือผู้ใดกัน!
เฉียวเวยสาวเท้าเร็วๆ ออกจากห้องแล้วมองบนท้องฟ้าอย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็เห็นเหยี่ยวเลี้ยงสีดำสนิทตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกเสียงดังพรึ่บพรั่บ ในปากของมันคาบบางสิ่งที่เป็นสีขาวเอาไว้
ของชิ้นนั้นคือตำราลับของนางไม่ใช่หรือ!
เฉียวเวยกำหมัดแน่น “ใครก็ได้! ยิงเหยี่ยวตัวนั้นเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์ในจวนได้ยินเสียงก็หยิบธนูขึ้นมาเล็งเหยี่ยวบนท้องฟ้า แล้วยิงลูกธนูออกไปสุดแรงในทันใด
ทว่าเหยี่ยวตัวนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่เหยี่ยวธรรมดา มันเร็วจนน่าโมโห แวบเดียวก็บินฉวัดฉวียนผ่านท่ามกลางห่าลูกธนูออกนอกตระกูลจีไปได้สำเร็จ
เฉียวเวยฉวยธนูมาจากมือขององครักษ์คนหนึ่ง จากนั้นไล่ตามเหยี่ยวตัวนั้นออกไป!
เหยี่ยวบินสูงอยู่ตลอด มันเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง เฉียวเวยยิงลูกธนูไปหลายหน มันก็หลบได้อย่างว่องไวทุกครั้ง
เฉียวเวยก้าวสองสามก้าวก็ดีดตัวขึ้นไปบนยอดหลังคา ไล่ตามเหยี่ยวจากบนหลังคาแทน
ผู้คนบนท้องถนนต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง
เฉียวเวยมีเวลาสนใจคนบนท้องถนนชี้นิ้วซุบซิบเสียที่ไหน นางหาชายหลังคาที่ได้มุมดีที่สุดแห่งหนึ่งแล้วเล็งเหยี่ยวตัวนั้น ยิงลูกธนูหนึ่งดอกออกไปดัง ฟึบ!
ลูกธนูยิงไปถูกตัวตำราลับ พละกำลังมหาศาลสะบัดเหยี่ยวที่ไม่ยอมปล่อยจงอยปากออกไปอีกทางหนึ่ง เหยี่ยวพุ่งไปปะทะหอคอยหลังหนึ่ง ความเจ็บปวดบนร่างทำให้จงอยปากคลายออก ตำราลับร่วงลงมา!
เหยี่ยวเลี้ยงร้องอย่างโกรธเกรี้ยว มันสยายปีก พุ่งโฉบลงมาหาตำราลับที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็ว
เฉียวเวยเกำลังจะคว้าตำราลับได้อยู่แล้ว แต่ก็ถูกเหยี่ยวน่าชังตัวนั้นชิงคาบได้เสียก่อน!
แต่เหยี่ยวเลี้ยงตัวนั้นยังไม่ทันได้บินไปไกล เงาดำใหญ่โตที่แข็งแกร่งกว่าเหยี่ยวเลี้ยงหลายสิบเท่าร่างหนึ่งก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างดุดันน่าเกรงขาม จิกถูกตำราลับได้ในครั้งเดียว
เหยี่ยวเลี้ยงหรือจะเป็นคู่ต่อกรของอินทรีทอง
อินทรีทองสะบัดหัว กระชากตำราลับมากกว่าครึ่งกลับมาได้!
เหยี่ยวเลี้ยงโกรธจนขนพอง!
อินทรีทองเหวี่ยงตำราลับใส่อ้อมแขนของเฉียวเวย แล้วหันกลับไปแย่งแผ่นสุดท้ายที่เหลือ
ทว่าเวลานี้เองเรื่องที่คาดไม่ถึงก็พลันเกิดขึ้น
ฝูงชนบนถนนถูกการต่อสู้ของวิหคขนาดใหญ่บนท้องฟ้าดึงความสนใจไปจนหมด จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าด้านหลังกลุ่มคนที่ยืนออเบียดเสียด มีเงาคนสวมผ้าคลุมสีเทาร่างหนึ่งยกธนูคันหนึ่งขึ้นอย่างเชื่องช้า
ธนูคันนั้น สีดำแวววาวและไร้ลูกธนู
มือที่จับคันธนูคู่นั้นสวมถุงมือทักถอด้วยไหมสีเงินอันวิจิตรประณีต
ไม่รู้สิ่งใดดลใจเฉียวเวย จู่ๆ นางก็มองไปกลางฝูงชน แล้วก็เห็นถุงมือคู่นั้นกับธนูคันนั้น
ภาพนั้นให้ความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ถูก สง่างาม เย็นยะเยือก อันตราย…
เฉียวเวยยนิ่งงันอยู่เสี้ยววินาที ทันใดนั้นคิ้วก็กระเด้งพรวด หากนางมองไม่ผิด ธนูคันนั้นน่าจะเป็นธนูจันทร์โลหิต!
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ธนูจันทร์โลหิตอยู่ที่ตระกูลจีไม่ใช่หรือ
คนผู้นั้นคือผู้ใด
เหตุใดจึงมีธนูจันทร์โลหิตคันหนึ่ง
คนผู้นั้นเล็งอินทรีทองกลางท้องฟ้า แล้วง้างสายธนูช้าๆ
เฉียวเวยเหนี่ยวลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากกระบอกลูกธนูบนแผ่นหลังอย่างฉับไว ก่อนจะยกขึ้นพาดสายเล็งไปที่อีกฝ่าย
ตอนที่นางกำลังจะปล่อยลูกธนูนั่นเอง ผ้าคลุมหน้าของอีกฝ่ายก็ถูกสายลมเย็นโชยพัดเบาๆ เฉียวเวยมองมุกมปากที่ยกโค้งอย่างเย็นชาของอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ มันให้ความรู้สึกเย็นชาไร้ที่สิ้นสุด และแฝงไปด้วยความเหยียดหยัน
ทันใดนั้นเองอีกฝ่ายก็หันกลับมาเล็งธนูใส่เฉียวเวย
อีกฝ่ายสวมหมวกของผ้าคลุมแล้วยังผูกผ้าคลุมหน้าคาดทับ ปิดบังทั้งใบหน้าและเส้นผม เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันนิ่งสงบคู่หนึ่ง
เฉียวเวยรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นเคยเล็กน้อย เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน
เพียงชั่วพริบตาที่หยุดนิ่งไป อีกฝ่ายก็ปล่อยลูกธนูออกมา พลังมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งลูกธนูอันเย็นเฉียบนับพันหมื่นดอกจู่โจมเข้าห้อมล้อมเฉียวเวย อินทรีทองกลางท้องฟ้ากรีดร้องก้องยาว มันทิ้งเหยี่ยวเลี้ยง เลี้ยวโฉบกลับมาหาเฉียวเวยในบัดดล
ชั่วเวลาสะเก็ดไฟแลบนั้น เฉียวเวยโยนตำราลับในมือขึ้นไปแล้วสั่งว่า “กลับจวน!”
อินทรีทองคว้าจับตำรับเอาไว้ มันหยุดพุ่งดิ่งลงมาอย่างฝืนใจ แล้วสยายปีกสองข้างบินจากไปพร้อมกับเสียงร้องอันโศกเศร้า
ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยต้องลูกธนูดอกนั้น โลกทั้งใบราวกับจะหยุดนิ่ง
ผู้คนบนถนนแตกฮือ แต่ละคนล้วนมองมาหานาง โบกไม้โบกมือไม่รู้ว่าพูดอะไรกันบ้าง นางฟังไม่ได้ยินแม้สักคำ
“แม่นาง! แม่นางเจ้าเป็นอะไรไป เจ้ารีบลงมาเร็วเข้า!”
“เจ้ายืนโงนเงนหมดแล้ว เจ้ารีบลงมาเถิด!”
“บันได! ใครไปเอาบันไดมาเร็วสิ”
หยาดโลหิตหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงตกต้องหลังคากระเบื้อง
เฉียวเวยเดินโซเซได้สองสามก้าว ในที่สุดก็ฝืนต่อไปไม่ไหว ดวงตาสองข้างมืดดับล้มฟุบลงบนแผ่นกระเบื้องทั้งอย่างนั้น…