เล่ม 1 ตอนที่ 399 อ้อนวอนขอการรักษา

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 399 อ้อนวอนขอการรักษา

อินทรีทองคว้าตำราลับไว้ได้ก็ไม่บินกลับตระกูลจีทันที มันบินไปยังวังหลวง เมื่อเห็นตำราลับในมือกับได้ยินเสียงร้องเศร้าสลดของอินทรีทอง จีหมิงซิวก็ทราบว่าเกิดเรื่องกับเฉียวเวยแล้ว เขาตามอินทรีทองไปยังจุดเกิดเหตุในทันที

เฉียวเวยถูกคนเดินถนนที่จิตใจดีส่งไปโรงหมอแล้ว บังเอิญว่าใกล้ๆ มีหอหลิงจืออยู่สาขาหนึ่งพอดี

ผู้ดูแลของหอหลิงจือจำคุณหนูของตัวเองได้ เขาตะโกนเรียกให้คนแบกนางไปยังห้องที่ดีที่สุดอย่างไม่เสียเวลา จากนั้นเรียกหมอที่ทำงานมานานที่สุด วิชาแพทย์สูงที่สุดมารักษาคุณหนูของตัวเอง

ตอนที่จีหมิงซิวรีบเร่งเดินทางมาถึงหอหลิงจือ หมอชราผู้มีเส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งก็เพิ่งจับชีพจรของเฉียวเวยเสร็จ แล้วเขียนเทียบยาอยู่ด้านข้าง

จีหมิงซิวเห็นเฉียวเวยนอนไม่ได้สติอยู่ อาภรณ์เปื้อนเลือดบนร่างนางถูกหญิงรับใช้ถอดเปลี่ยนไปแล้ว แต่ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดนั่นก็ยังทำให้จีหมิงซิวเห็นแล้วหัวใจหนาวยะเยือก

“ท่านเขย” ท่านหมอจำจีหมิงซิวได้จึงลุกขึ้นคำนับ

จีหมิงซิวร่างกายเย็นเฉียบเดินเข้าไปนั่งข้างกายนาง ปลายนิ้วสัมผัสใบหน้า เอ่ยออกมาอย่างข่มกลั้น “อาการนางเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอถอนหายใจตอบว่า “ไม่ปิดบังท่านเขย ข้าเป็นเด็กในร้านยาตั้งแต่อายุสิบปี อายุสิบเจ็ดติดตามอาจารย์ออกตรวจคนไข้ อายุยี่สิบห้าออกมาเป็นหมอเอง ตลอดช่วงเวลาหลายปีข้าเคยเห็นโรคประหลาดรักษายากมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นอาการเหมือนของคุณหนูมาก่อน นางไม่มีบาดแผลภายนอก แต่กลับกระอักเลือดออกมา ดังนั้นน่าจะบาดเจ็บภายใน แต่ข้าจับชีพจรของนางแล้วกลับไม่พบการบาดเจ็บอะไรทั้งสิ้น”

ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเฉียวเวยบาดเจ็บได้อย่างไร รู้เพียงว่าจู่ๆ แม่นางคนนั้นก็โยนตำราในมือขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นร่างกายก็แข็งทื่อ คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างปักตรึง ต่อมาก็มีสภาพเป็นเช่นนี้

มีบางคนบอกว่านางถูกผีร้ายเล่นงาน แล้วก็มีคนบอกว่านางถูกยอดฝีมือสักคนลอบเล่นงาน ผู้คนต่างพูดกันไปต่างๆ นานา สุดจะคาดเดา

ฝ่ามือหนาของจีหมิงซิวสัมผัสหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา คนที่ชั่วพริบตาก่อนหน้ายังกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเจ้า จู่ๆ ชั่วพริบตาต่อมากลับล้มหมอนนอนเสื่อ หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ประโยคที่ว่า “ข้าไม่โกรธแล้ว พวกเราดีกันเถิด” จะเอ่ยออกมายากเย็นนักหรือไร

นิสัยอย่างอินทรีทองที่ชอบปกป้องเจ้าของ ไม่มีทางทิ้งเฉียวเวยไปง่ายๆ นอกเสียจากเฉียวเวยสั่งให้มันไป

มันบังการโจมตีหนนี้ให้นางได้ แต่นางกลับสั่งให้มันเอาตำราลับจากไป

เพื่อตำราลับ ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ

จีหมิงซิวกำตำราลับแน่น เพราะออกแรงมากเกินไปข้อนิ้วจึงกลายเป็นสีขาวอยู่เลือนราง

ตอนนั้นเองเขาก็ยกมือขึ้นโยนตำราลับเข้าไปในกระถางไฟ!

“เฮ้ย! ท่านทำอะไร!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินข้ามธรณีประตูมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี เขากระโจนเข้ามาฉวยตำราลับกลับมาได้ทันเวลา จากนั้นก็ตบสะเก็ดไฟที่ลุกให้ดับแล้วใช้แขนเสื้อเช็ด “ท่านบ้าไปแล้ว! นี่เป็นสิ่งที่นางใช้ชีวิตแย่งกลับมา! ท่านบอกจะทิ้งก็ทิ้งหรือ!”

จีหมิงซิวกำหมัดแน่น น้ำเสียงสั่นเทา “หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ นางก็คงไม่เกิดเรื่อง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโบกตำราลับในมือ “นี่ไม่ใช่ความผิดของมันสักหน่อย! ท่านพาลโกรธมันอย่างไม่ยุติธรรม! มันถูกปรักปรำแล้ว!”

อินทรีทองบนขอบหน้าต่างร้องสองหนอย่างเห็นด้วย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยติดตามจีหมิงซิวมาหลายปี เข้าใจนิสัยของเขาดี รู้ว่าเขาเป็นคนฉลาดเกินใคร แม้แต่ในช่วงเวลาที่ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเขาก็ยังไม่เคยสับสนเช่นนี้มาก่อน แต่พอเจอกับเรื่องของแม่หนูคนนี้กลับสูญเสียสติปัญญาไปเสียได้

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจแล้วบอกเสียงเบา “ท่านอย่าเพิ่งกังวลไปก่อนเลย ข้าแจ้งจีอู๋ซวงแล้ว เขาจะรีบมา”

จีอู๋ซวงไม่ใช่หมอธรรมดาทั่วไป บางทีเขาอาจมีหนทาง

จีอู๋ซวงมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลายวันนี้เขาอยู่ในเมืองหลวงตลอด พอได้รับข่าวจึงเดินทางมาจากพรรคโลหิตพิฆาตในทันที

เขาจับชีพจรให้เฉียวเวย จากนั้นตรวจสอบบาดแผล แต่ก็ได้ความเหมือนหมอของหอหลิงจือ เขาตรวจไม่พบเช่นกันว่าสาเหตุมาจากอะไร

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไก่เฒ่า เจ้าพูดอะไรสักคำสิ!”

จีอู๋ซวงสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้ว แล้วเลิกเปลือกตาของเฉียวเวยดูนัยน์ตาของนาง จากนั้นก็จับข้อมือของนางอีกหน “แปลก แปลกจริงๆ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างร้อนใจ “แปลกตรงที่ใดเล่า เจ้าก็พูดมาสิ!”

จีอู๋ซวงไม่รีบร้อนตอบแต่ถามว่า “เมื่อครู่นางเลือดออกหรือไม่”

“อืม ข้าเห็นเองกับตา!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้อาภรณ์เปื้อนเลือดในอ่างด้านข้าง

สองตาของจีหมิงซิวจ้องเขม็ง!

คิ้วของจีอู๋ซวงขมวดเป็นปม “เลือดออกมากถึงเพียงนี้ก็น่าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ข้าไม่เห็นอาการอะไรจากชีพจรของนางเลย”

คำพูดนี้เหมือนกับหมอของหอหลิงจือทุกประการ หากไม่ใช่ว่าทั้งสองคนนี้ไม่รู้จักกัน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เกือบจะคิดว่าทั้งสองคนสมคบกันแล้ว

“เจ้าก็ไม่มีหนทางอย่างนั้นหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

จีอู๋ซวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “อาการของนางประหลาดจริงๆ ขอนายน้อยโปรดอภัยที่ข้าไร้ความสามารถ”

จีหมิงซิวกอดร่างกายที่ค่อยๆ สูญเสียไออุ่นทีละน้อยของเฉียวเวยขึ้นมาในอ้อมแขน แววตาเย็นยะเยือกราวกับทะเลน้ำแข็ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเกาศีรษะ “นี่ นี่….แล้วนี่จะทำอย่างไรดี แม้แต่เจ้ายังไม่ไหว แล้วผู้ใดจะทำได้กันเล่า หรือว่า…หรือว่าต้องให้นายท่านเฉียวมาถึงจะช่วยนางได้” แต่นายท่านเฉียวไปที่ใดแล้วเล่า…

จีอู๋ซวงส่ายหน้า “นายท่านเฉียวก็ไม่แน่ว่าจะมีหนทาง นางไม่ได้เจ็บไข้ธรรมดาทั่วไป”

แต่แท้จริงเจ็บตรงที่ใดกันแน่ เขาก็ตอบไม่ได้อีก

จีหมิงซิวใช้ผ้าห่มผืนบางห่อตัวเฉียวเวยไว้ จากนั้นอุ้มนางขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกไปด้านนอกโดยไม่พูดอันใดทั้งสิ้น

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงตกตะลึงไปพร้อมกัน แล้วถามเป็นเสียงเดียวว่า “ท่านจะไปที่ใด”

จีหมิงซิวตอบว่า “มีคนผู้หนึ่งอาจจะช่วยนางได้”

ตอนแรกทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงผู้ใด แต่เมื่อสมองแล่นจนครบรอบ พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ใดแล้ว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเท้าสะเอวถอนหายใจ “โอย นายน้อยจะไปหาเจ้าหมอนั่น ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ”

จีอู๋ซวงขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา “ไปเถิด”

คนทั้งคณะก้าวขึ้นรถม้า เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงนั่งอยู่ด้านนอกตัวรถ ตลอดทางไม่มีผู้ใดเอ่ยคำพูด เห็นชัดว่าพวกเขาไม่คาดหวังกับการกระทำที่จะพาตัวเองไปถูกหยามหมิ่นของนายน้อย ในอดีตคนผู้นั้นเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันทำเรื่องใดให้นายน้อยทั้งสิ้น นายน้อยไปเยี่ยมเยือนขอร้องอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีเรื่องอะไรดีๆ รออยู่

รถม้าจอดนอกหอคณิกา

แม่เล้าแย้มรอยยิ้มเดินออกมาต้อนรับ “โอ๊ะ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ นายท่านของตระกูลใดว่างเว้นมาเที่ยวเล่นสำเริงสำราญกันเจ้าคะ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระชากนางออกไปด้านข้างอย่างไม่มีความอดทน “ไปๆ!”

แม่เล้าถูกกระชากก็ถอยหลังไปหลายก้าว นางถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างขุ่นเคืองจากนั้นสายตาก็จับบนร่างของจีอู๋ซวง เทียบกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่หน้าตาดุร้ายโฉดชั่ว จีอู๋ซวงผู้สวมอาภรณ์สีเขียวเห็นชัดว่าดูอ่อนโยนสง่างามกว่ากันมาก

แม่เล้าฉีกยิ้มกำลังจะเข้าไปชวนจีอู๋ซวงคุยบ้าง แต่แล้วจีอู๋ซวงกลับกระโดดลงจากรถม้าไปเปิดม่านรถ

บุรุษผู้สวมอาภรณ์ขุนนางสีม่วงเข้มคนหนึ่งอุ้มสตรีนางหนึ่งก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของนางซุกอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ถูกชายหนุ่มปกป้องไว้อย่างดีที่สุด ชายหนุ่มผิวขาวประหนึ่งหยก สวมหน้ากากทำจากหยกปิดบังครึ่งใบหน้า ดวงตาเย็นยะเยือกล้ำลึกดุจทะเลสาบ เพียงมองหนเดียว แม่เล้าก็ถูกข่มขวัญทันที

นอกจากนายท่านที่อยู่เบื้องหลังนาง นางก็ไม่เคยพบคนที่น่าหวั่นเกรงเท่านี้อีก

เขาเหมือนจักรพรรดิ แต่ก็เหมือนมัจจุราชด้วย

นางเพียงมองอยู่เช่นนี้ แข้งขาก็อ่อนไปหมด

แม่เล้าอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีถึงเพียงนี้ ความสามารถที่สมควรมีอย่างทักษะการมองคนย่อมไม่ขาดตกบกพร่อง รัชสมัยนี้บังคับกฎหมายเข้มงวด ห้ามขุนนางเที่ยวนารี แน่นอนว่าขุนนางจะไม่เที่ยวนารีเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้อื่นต่างแอบๆ ซ่อนๆ มา ผู้ใดสวมชุดขุนนางมากันเล่า

สวมชุดขุนนางมาเยือนหอคณิกา ไม่ใช่มาพังร้านก็มีแต่มาพังร้านเท่านั้น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ แข้งขาของแม่เล้าก็ยิ่งอ่อนแรงกว่าเดิม

รัชสมัยนี้สีชุดของขุนนางขั้นเก้าคือสีคราม ขั้นแปดคือสีครามเข้ม ขั้นเจ็ดคือสีเขียวอ่อน ขั้นหกคือสีเขียวเข้ม ขั้นห้าคือสีแดงอ่อน ขั้นสี่คือสีแดงเข้ม ขุนนางขั้นสามขึ้นไปถึงจะมีสิทธิสวมอาภรณ์สีม่วง

ไม่เช่นนั้นจะพูดกันว่าสวมแดงม่วงเป็นใหญ่เป็นโตหรือ!

ส่วนคนที่สวมสีม่วงเข้มได้ ทั่วทั้งต้าเหลียงมีเพียงคนผู้นั้นที่อยู่บนสุดของหมู่ขุนนางเพียงคนเดียว…นั่นก็คืออัครมหาเสนาบดีของยุคนี้

อัครมหาเสนาบดีมาพังร้านด้วยตนเองเชียวหรือ นางคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง

ไม่ถูกต้องสิ มาพังร้านจะพาแม่นางที่สลบอยู่มาด้วยทำอะไร

ระหว่างที่แม่เล้าขบคิดสารพัดแต่ไม่ได้คำตอบอยู่นั่นเอง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “หลีกไป!”

“…เจ้าค่ะ” แม่เล้าตัวสั่นระริกหลีกทางให้ หลังจากนั้นก็ต้องแปลกใจที่ไม่มีเรื่องอะไรกับนางอีกแล้ว!

สมัยก่อนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยรังเกียจที่เจ้าหมอนั่นไม่ยอมเชื่อฟังจึงชูธงบุกมาหาเรื่องหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนถูกเจ้าหมอนั่นจัดการจนสภาพอเนจอนาถ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นแอบมาเงียบๆ แต่จนปัญญาที่ถูกเจ้าหมอนั่นจับได้ทุกครั้ง สรุปก็คือเขาไม่เคยช่วงชิงผลประโยชน์อะไรมาจากอีกฝ่ายได้เลย หากจะมีสิ่งหนึ่งที่เขาได้มา คงจะเป็นการรู้จักลู่ทางเป็นอย่างดีเพราะเคยมาเยือน (มาถูกซ้อม) อยู่หลายหน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาขบวนคนลัดเลาะไปตามทางในหอคณิกาจนมาถึงหออีกหลังหนึ่ง

แม้หอแห่งนี้จะไม่มีป้ายแขวนอยู่ แต่คนในวงการต่างรู้จักชื่อของมันดี มันมีนามว่าหอเมามาย

หอเมามายไม่เปิดกิจการยามกลางวัน ภายในห้องโถงใหญ่จึงเงียบเหงาวังเวง แม้แต่เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูก็ยังไม่มี

“เขาไม่กลัวมีคนขโมยของบ้างเลยนะ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงดูแคลน ก่อนจะเอื้อมมือออกไปฉกโคมทองคำใบจิ๋วบนโต๊ะขึ้นมา คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันยัดเข้าไปในแขนเสื้อ จู่ๆ โคมทองคำก็ระเบิด เข็มเงินเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากในตัวโคม

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกใจจนหัวใจขึ้นมาจุกที่คอ!

หากไม่ใช่ว่าตัวเขาใช้อาวุธลับอยู่เป็นประจำเหมือนกัน ตอนนี้เขาคงถูกเสียบพรุนเป็นกระชอนแล้ว

จีอู๋ซวงว่าอย่างขัดใจ “เสียท่ามาตั้งหลายครั้งขนาดนั้นแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าวของของเขาแตะต้องไม่ได้”